เจ้าสำนักเฒ่าเอนกายพิงเตียง เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น ก็อดที่จะเบ้ปากมิได้
“เหอะ พูดราวกับว่าเจ้าไม่ได้หลานสะใภ้ที่ดีเสียอย่างนั้น”
คำพูดของเจ้าสำนักเฒ่าเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน เว้นก็แต่ซูมู่ที่ยังไม่เห็นด้วยกับงานแต่งนี้ เพียงแต่ให้ความเคารพเจ้าสำนักเฒ่า จึงไม่อยากทำให้เขาไม่พอใจ
“อันที่จริง หากจะพูดว่าใครมีวาสนาที่สุด ก็ต้องเป็นเจ้าหนุ่มเจียงอวี้” เจียงอวิ๋นเฮ่อหันไปหยอกเย้าเจียงอวี้ต่อ
เจียงอวี้ที่ปกติจะสุขุมกลับหูแดงขึ้นมาอย่างหาได้ยาก เขายิ้มอย่างขวยเขิน
ซูหว่านเองก็อยากจะพูดว่า นางยังไม่ได้ตกลงจะแต่งให้เขา แต่เมื่อเห็นแก่หน้าเจ้าสำนักเฒ่าแล้ว จึงเลือกที่จะไม่เอ่ยค้านออกไป
ทางด้านซูมู่ อดที่จะกระแอมไอออกมาสองครั้งมิได้ ก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่อสิ่งใด
แต่เจียงอวิ๋นเฮ่อกลับไหวตัวทันในทันที แย่แล้ว พี่ชายของนางยังอยู่ตรงนี้ คงจะไม่พอใจที่ได้ยินเช่นนั้นเป็นแน่
“ดูข้าสิ ลืมบอกไปเลยขอรับ ท่านอาจารย์อาจจะยังไม่ทราบ ซูมู่คือพี่รองของคุณหนูซูขอรับ!”
เจ้าสำนักเฒ่าไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน เพิ่งจะมารู้วันนี้เอง เมื่อได้ฟังดังนั้น เขาจึงมองไปยังซูหว่าน แล้วหันไปมองซูมู่
“ที่แท้ก็เป็นพี่น้องกัน มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกว่าพวกเจ้าสองคนมีกลิ่นอายคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน อวิ๋นเฮ่อ ต่อไปนี้เจ้าอย่าได้พูดหยอกเย้าเรื่องหลานสะใภ้อะไรอีก สองตระกูลเรายังไม่ได้ผ่านสามหนังสือหกพิธี ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรมเนียม”
“ขอรับ ท่านอาจารย์ ข้าจะระวังให้มากขึ้น” เจียงอวิ๋นเฮ่อเองก็ตระหนักได้ว่าตนล้อเล่นเกินไปแล้ว
สีหน้าราวกับน้ำแข็งของซูมู่จึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง เขาเดินเข้ามาจับชีพจรให้เจ้าสำนักเฒ่า
“เจ้าสำนัก ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่านขอรับ”
“ได้ ลำบากเจ้าแล้ว!” เจ้าสำนักเฒ่ายิ้มอย่างเบิกบานแล้วยื่นแขนออกไปให้เขา
หลังจากซูมู่ตรวจชีพจรแล้ว ก็รู้สึกได้ว่าชีพจรในยามนี้แข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อวานมากนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่ตรวจ ชีพจรของเจ้าสำนักเฒ่าแผ่วเบายิ่งนัก ดูท่าแล้วโลหิตหัวใจนี้จะเป็นของวิเศษที่ใช้บำรุงส่วนที่พร่องไปได้จริง ๆ เพียงแต่ผู้ที่ให้โลหิตนั้นต้องบาดเจ็บอย่างสาหัส
“เจ้าสำนัก ชีพจรของท่านคงที่ขึ้นมากแล้ว แต่โลหิตหัวใจนี้ทำได้เพียงประคองพลังปราณของท่านไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว คงต้องรอท่านอาจารย์ของข้านำยาถอนพิษกลับมาเสียก่อน ในช่วงเวลานี้ ท่านต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามโมโหเป็นอันขาด”
“อืม ข้ารู้แล้ว วางใจเถิดเจ้าหนุ่ม” อันที่จริงเจ้าสำนักเฒ่าก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วว่าจะอยู่ได้อีกกี่ปี เขาเพียงแค่อยากเห็นอาอวี้รับช่วงต่อสำนักเฟิงเย่ว์ และแต่งงานสร้างครอบครัวเท่านั้น
เพิ่งจะกล่าวจบ ก็มีเด็กรับใช้เข้ามาแจ้งว่าผู้อาวุโสอวี๋มาขอเข้าเยี่ยมเจ้าสำนักเฒ่า
เมื่อได้ยินว่าอวี๋อู๋ชางมา รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนก็หายไปในทันที ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเหตุใดในช่วงเวลาที่กำลังเบิกบานใจเช่นนี้ เขาถึงได้มาหาเรื่องถึงที่นี่?
แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องนี้เขาลงมืออย่างลึกล้ำที่สุด คนทั่วไปย่อมคิดไม่ถึงขั้นนี้เป็นแน่
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว ลำบากเจ้าต้องเป็นห่วงแล้ว” เจ้าสำนักเฒ่าไม่อยากเห็นหน้าเขา จึงหลับตาลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ท่านลำบากเลี้ยงดูศิษย์จนเติบใหญ่ ศิษย์จะไม่เป็นห่วงท่านได้อย่างไรเล่าขอรับ? พอเห็นว่าท่านดีขึ้นมากแล้ว ในใจของศิษย์ก็สงบลงมากแล้ว”
อวี๋อู๋ชางกล่าวถ้อยคำเหล่านี้โดยไม่สนใจผู้ใด ช่างเสแสร้งจนถึงที่สุด
ไม่รู้ว่าไปได้ความหน้าหนามาจากที่ใด ถึงสามารถเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาได้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยน บางทีนี่อาจเป็นขอบเขตสูงสุดของความไร้ยางอายแล้วกระมัง
โปรดอภัยให้ซูหว่านที่อดไม่ได้ต้องแอบเบ้ปาก ขาดก็แต่เพียงไม่ได้กลอกตาเท่านั้น
เจ้าสำนักเฒ่าทำเพียงพยักหน้า ไม่ได้ตอบคำใดอีก ทว่าใครจะรู้ว่ากิริยาเล็กน้อยของซูหว่านกลับถูกอวี๋อู๋ชางเห็นเข้าพอดี เขาหรี่ตาลง ส่งสายตาที่คล้ายยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้มไปยังซูหว่าน
“ดูท่า ว่าที่หลานสะใภ้ของข้าผู้นี้ ดูจะไม่ค่อยชอบใจน้าชายเช่นข้าสักเท่าใดนัก?”
ซูหว่านถูกพาดพิงโดยไม่ทันตั้งตัว นางเกือบจะตามไม่ทัน ทว่านางก็ทำเพียงมองอวี๋อู๋ชางแล้วแย้มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูฝืนยิ่งนัก การไม่เอ่ยคำใดออกมา ก็เท่ากับเป็นการยอมรับแล้ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...