นางยังกล่าวอีกว่า
“เป่าชวนทนทุกข์อยู่ในกระท่อมอันหนาวเหน็บถึงสิบแปดปี เมื่อเขากลับมา กลับยังมาหยอกเย้าลองใจนางอีก ช่างน่าชังเสียจริง”
ในมุมของสตรีแล้ว เรื่องนี้นับว่ายากจะยอมรับได้โดยแท้
ด้วยเหตุนี้ ซุนหลิงเอ๋อร์จึงรู้สึกหดหู่ไปหลายวัน เอาแต่ครุ่นคิดถึงเนื้อเรื่องในบทละครจนสลัดไม่หลุด ทั้งยังกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อ่อนไหวไป
เจ้าสำนักเฒ่ากลับชมชอบเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้เขาไม่ได้เผลอหลับไปกลางคัน แต่ดูจนจบเรื่อง
เมื่อดูจบ เขายังเอ่ยปากถามซูหว่านว่า ยังมีเรื่องราวทำนองนี้ให้ดูอีกหรือไม่
เรื่องเช่นนั้นมีอยู่มากมายนัก ในมือของซูหว่านล้วนมีแต่บทละคร ไม่ว่าจะเป็นราชบุตรเขยหญิง หรือขึ้นเกี้ยวผิดตัวแต่ได้สามีถูกคน มีครบทุกเรื่องทุกแนว
ทว่า ร่างกายของเจ้าสำนักเฒ่ายังไม่อาจตรากตรำเช่นนี้ได้บ่อยนัก ดังนั้นจึงทำได้เพียงฟังละครทุก ๆ สองสามวันครั้ง
ยามว่างซูหว่านก็จะไปเป็นเพื่อนเจียงอวี้ที่หอเฟิงเย่ว์เพื่อดูแลเจ้าสำนักเฒ่า พร้อมกับเล่านิทานเรื่องไซอิ๋วให้เขาฟัง
เมื่อซูมู่ว่างเว้นจากธุระก็จะมานั่งฟังอยู่ข้าง ๆ ด้วย เรื่องราวเทพเซียนเช่นนี้ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดย่อมดึงดูดใจผู้คนได้เสมอ
……
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว ทางด้านหมอเทวดาซุนไปถึงเขาเหลยหมิงได้หลายวันแล้ว ทว่ายังไม่มีข่าวคราวใด ๆ ส่งกลับมา
เขาเก็บตัวเป็นเวลาครึ่งเดือน ทำให้ทางฝั่งอวี๋อู๋ชางเริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง ช่วงนี้เขากำลังวุ่นอยู่กับการรวบรวมหลักฐาน เพื่อคิดกำจัดคนที่เห็นต่างจากตน
กลับมองข้ามความเคลื่อนไหวทางฝั่งหอเฟิงเย่ว์มาโดยตลอด
ท่านผู้เฒ่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นทุกวัน เหมือนคนใกล้ตายที่ไหนกัน?
แม้เขาจะพยายามสงบนิ่งเพียงใด ก็คงต้องร้อนใจบ้างแล้ว
เขามิอาจแน่ใจได้ว่าเรื่องราวได้แดงขึ้นแล้วหรือไม่ การที่เขาแอบไปสืบเรื่องของผู้อาวุโสสำนักจงและผู้อาวุโสสำนักอี้ ทำให้ถูกจับได้คาหนังคาเขา เขาเคยสงสัยว่าคนทั้งสองก็กำลังคิดการใหญ่กับตำแหน่งเจ้าสำนักอยู่เช่นกัน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเจียงอวี้เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง และสามารถยุยงให้เกิดความขัดแย้งภายในได้สำเร็จ
ฝ่ายหนึ่งหวาดระแวงไปทั่ว ส่วนอีกฝ่ายก็รู้สึกเย็นเยียบในใจที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ
วันรุ่งขึ้น อวี๋อู๋ชางมาที่สวนสมุนไพรอีกครั้ง เพื่อดูให้แน่ใจว่าแท้จริงแล้วซุนเป่ยโต่วไปที่ใดกันแน่ เพราะต่อให้เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา ก็คงไม่ถึงกับต้องเก็บตัวนานถึงครึ่งเดือน
ทางฝั่งเจียงอวี้ได้กำชับซุนหลิงเอ๋อร์ไว้แล้วว่า หากปิดบังต่อไปไม่ไหว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก เพียงแค่บอกไปตามตรงว่าหมอเทวดาซุนได้ออกจากสำนักเฟิงเย่ว์ไปแล้วก็พอ
เพราะเจียงอวี้ได้รับข่าวมาแล้วว่าหมอเทวดาซุนกำลังเดินทางกลับ อย่างช้าที่สุดสามวันก็คงมาถึง และยาถอนพิษก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว
อวี๋อู๋ชางรู้ดีว่าหากไม่หนีไปตอนนี้ ก็คงหนีไม่ได้อีกแล้ว จะให้ทนรอเย่ชิงอู๋ขึ้นเขามาได้อย่างไร ยายเฒ่าหน้าเงินนั่นทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน
ตอนนั้นก็เพราะเขาจ่ายเงินมากพอ นางถึงยอมขายยาพิษหลิงฉือให้เขา
หากเจ้าสำนักเฒ่าฟื้นคืนขึ้นมา จะต้องไม่ปล่อยเขาไปเป็นแน่ หากไม่รีบหาทางหนีไป เกรงว่าจะไม่มีวันได้กลับมาผงาดอีกแล้ว
ในคืนนั้นเอง อวี๋อู๋ชางจึงเก็บข้าวของบางส่วน สวมชุดสำหรับยามวิกาล ตั้งใจจะหลบหนีออกจากสำนักเฟิงเย่ว์ไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เพราะการรักษาชีวิตไว้สำคัญที่สุด
แต่เจียงอวี้มิใช่คนโง่ เขาวางแหฟ้าตาข่ายดินดักรอไว้เนิ่นนานแล้ว ต่อให้อวี๋อู๋ชางหนีออกจากสำนักเฟิงเย่ว์ได้ ก็มิอาจหนีพ้นแม่น้ำโม่ไปได้
ทว่าอวี๋อู๋ชางก็ใช่ว่าจะจัดการได้โดยง่าย วรยุทธ์ของเขามิอาจประมาทได้ คนหลายกลุ่มก็ไม่อาจหยุดเขาไว้ได้ ถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเขาฝ่าวงล้อมหลายชั้นออกมาได้ ก็พบว่าเจียงอวิ๋นเฮ่อยืนรออยู่นานแล้ว
อวี๋อู๋ชางเห็นเจียงอวิ๋นเฮ่อถือกระบี่ยืนอยู่ในความมืด เขายืนอยู่บนหินผาใหญ่ ลมพัดชายเสื้อคลุมของเขาโบกสะบัด
เมื่อมองไปยังองครักษ์เงาที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ เขาจึงรู้ว่าวันนี้คงยากที่จะหลุดพ้นไปได้
“ทำไมกัน เจ้าเด็กเจียงอวี้นั่นไม่กล้ามาขวางข้าด้วยตนเองหรือ?” เขากล่าวเย้ยหยัน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...