ในศาลามีเตาผิงสองเตา ทั้งยังมีน้ำนมร้อนให้ดื่ม ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมจึงไม่รู้สึกหนาวเย็น
เจียงอวี้เห็นเศษหิมะโปรยปรายอยู่บนเสื้อคลุมขนจิ้งจอกและเส้นผมของซูหว่าน ไม่เว้นแม้กระทั่งบนขนตาของนาง
เขายื่นมือออกไปหวังจะช่วยปัดให้ ทว่าช้าไปก้าวหนึ่ง ซูมู่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
ซูมู่ใช้มือปัดเศษหิมะบนตัวของซูหว่านออกอย่างอ่อนโยน
มือของเจียงอวี้ที่ยื่นออกไปแข็งค้างอยู่กลางอากาศอย่างเก้อเขิน เจียงอวิ๋นเฮ่อที่มองอยู่ด้านหลังถึงกับหัวเราะออกมาอย่างไม่รักษาน้ำใจ
เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ชายแท้ ๆ ของนาง ต่อให้มีใจก็ไร้ทางแสดงออก เพราะมิได้มีสถานะใด ๆ ต่อกัน
“หนาวหรือไม่?” ซูมู่เอ่ยถามน้องสาว
เขาสวมชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดแฝงไอเย็นชา ในคืนหิมะโปรยปรายเช่นนี้ ช่างเหมือนเทพแห่งจันทราจุติลงมา
“ไม่หนาวเจ้าค่ะ พี่รอง ข้าสวมเสื้อผ้าหนายิ่งนัก” ซูหว่านรู้สึกว่าตนเองถูกห่อจนกลมราวกับก้อนข้าวปั้นแล้ว จะหนาวได้อย่างไรกัน?
อีกฟากหนึ่ง ซุนหลิงเอ๋อร์กำลังปัดเศษหิมะออกจากเสื้อผ้าของตนเอง นางชำเลืองมองภาพความสัมพันธ์อันดีงามของสองพี่น้องซูหว่านแล้วรู้สึกอิจฉาในใจขึ้นมา
มิใช่เพราะอิจฉาซูหว่าน แต่เพียงรู้สึกว่าบางครั้งคนเราทื่อเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี
นานเพียงนี้แล้ว เขาไม่เคยเห็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากวิชาการแพทย์เลยหรือ?
ไม่สิ เขาให้ความสำคัญกับคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก เพียงแต่ไม่สนใจเรื่องรักใคร่เท่านั้น
แต่ไม่เป็นไร ซุนหลิงเอ๋อร์เป็นฝ่ายรุก นางไม่โง่งมยืนรอให้เขาตื่นรู้ได้เองหรอก หากเป็นเช่นนั้นจริง ปู่ของนางกับท่านย่าเย่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เรื่องดีนั้นมักเต็มไปด้วยอุปสรรค
ทุกคนนั่งพูดคุยสัพเพเหระอยู่ในศาลาอย่างออกรส รอคอยให้ยามจื่อมาถึง เพื่อจะได้จุดดอกไม้ไฟให้สว่างไสวเต็มท้องฟ้า
ซูมู่ดูเหมือนจะจงใจ เขาคอยแทรกตัวอยู่ระหว่างซูหว่านกับเจียงอวี้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเขานึกสนุกอันใดขึ้นมา จึงไม่อยากให้คนทั้งสองได้นั่งใกล้กัน
ซุนหลิงเอ๋อร์เข้าใจความรู้สึกนี้ดี นางจึงค่อย ๆ ขยับไปข้างกายเจียงอวี้แล้วกระซิบว่า
“ให้ข้าช่วยท่านหรือไม่?”
ทีแรกเจียงอวี้ยังไม่เข้าใจความหมายของนาง แต่เมื่อเห็นสายตาของนางเหลือบไปทางซูหว่าน เขาก็เข้าใจในทันที
มุมปากของเจียงอวี้ปรากฏรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เขาเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“ขอบใจมาก!”
แม้จะมีพี่รองซูมู่คั่นกลาง แต่ซูหว่านก็ยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาของเจียงอวี้ ช่วงนี้มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของเจ้าสำนักเฒ่า ทำให้คนทั้งสองไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังมานานแล้ว
และในชั่วขณะนี้เอง บรรยากาศของเทศกาลปีใหม่ก็อบอวลขึ้นมาทันที
“ว้าว งดงามเหลือเกิน!” ซุนหลิงเอ๋อร์ควงแขนซูหว่านพลางเอ่ยชม นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ซูมู่เองก็ตั้งใจมองเป็นอย่างยิ่ง เขาเอาแต่แหงนหน้าชมดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า ส่วนซุนหลิงเอ๋อร์นั้นหลังจากชมดอกไม้ไฟได้ครู่หนึ่ง สายตาของนางกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของซูมู่แทน
ฝ่ายซูหว่านพอหันกลับมา ก็พบว่าเจียงอวี้มิได้ให้ความสนใจท้องฟ้าเลย สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่นาง เขาเพียงแค่มองนางอย่างเงียบงัน แววตาอ่อนโยนจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำได้
ซูหว่านจึงเป็นฝ่ายยื่นมือไปใต้แขนเสื้อเพื่อกุมมือเขาไว้ เขาก็จับมือนางไว้ในอุ้งมือของตนแล้วกอบกุมไว้อย่างแนบแน่น
ดอกไม้ไฟถูกจุดอยู่นานร่วมครึ่งชั่วยามจึงสิ้นสุดลง หิมะยังคงโปรยปรายไม่ขาดสาย ยามนี้หากย่ำเท้าลงไป หิมะก็สูงถึงข้อเท้าแล้ว
เมื่อชมดอกไม้ไฟจบแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ พวกเขาทั้งสี่จึงเตรียมตัวกลับไปพักผ่อน
ซุนหลิงเอ๋อร์เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเริ่มแสดงละคร นางแสร้งทำเป็นหกล้มจนข้อเท้าเคล็ด
“โอ๊ย เจ็บเท้าเหลือเกิน!”
ทั้งสามคนหันกลับไปก็พบว่านางล้มลงบนพื้นหิมะ มือข้างหนึ่งกุมข้อเท้าของตนไว้ พลางมองไปยังซูมู่ด้วยสายตาน่าสงสาร

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...