ซูมู่ทำอันใดไม่ถูก ทว่าเขาก็กำลังร้อนใจอยู่จริง ๆ จึงรีบนั่งยองลงพลางเอ่ยถามว่า
“เกิดอันใดขึ้น? เจ็บตรงไหนรึ? ตรงนี้หรือ?”
เขาคิดจะสัมผัสเท้านาง ทว่าติดที่บุรุษสตรีมีขอบเขต บุรุษไม่ควรสัมผัสเท้าของสตรี ถือเป็นข้อต้องห้าม
ซูหว่านเห็นดังนั้นจึงคิดจะสะบัดมือเจียงอวี้ออกไปดูอาการ ทว่ากลับถูกเขารั้งไว้แล้วส่ายหน้าให้
นางไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่ากระไร ในตอนนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง แต่ในไม่ช้าก็เข้าใจ
เพราะซุนหลิงเอ๋อร์ทำทีเป็นน้ำตานองหน้า บอกซูมู่ว่าตนเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ทำอย่างไรดี ข้าเดินเองไม่ไหวแล้ว” เด็กสาวเจ้าเล่ห์กำลังพยายามล่อลวงบุรุษซื่อบื้อให้ติดกับ
“แล้ว...แล้วจะทำอย่างไรดี?” ซูมู่ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงทำอะไรไม่ถูก จะแตะต้องก็ไม่ได้ ไม่แตะต้องก็ไม่ดี
“พี่รอง ท่านก็อุ้มนางสิ หรือจะแบกนางก็ได้ ยังจะต้องถามอีกหรือ?” พอซูหว่านเข้าใจสถานการณ์แล้วก็เริ่มช่วยส่งเสริม
“แต่ว่า บุรุษสตรีมิควรใกล้ชิดกัน นี่ไม่ดีกระมัง?” นี่มันเวลาใดแล้ว ซูมู่ยังจะมาใส่ใจเรื่องพวกนี้อีก ซูหว่านโมโหที่พี่รองทึ่มนัก สตรีอุตส่าห์เป็นฝ่ายรุกถึงเพียงนี้แล้ว
ทว่าในต้นฉบับก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ พี่รองเป็นคนบ้าการแพทย์ ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษสตรี ล้วนเป็นซุนหลิงเอ๋อร์ที่คอยชี้นำเขาอยู่เสมอ เป็นฝ่ายหญิงที่ก้าวไปหาเขาถึงเก้าสิบเก้าก้าว
“มีอันใดไม่ดีกันเล่า พี่หลิงเอ๋อร์บาดเจ็บแล้ว ท่านยังจะปล่อยให้นางนั่งบนพื้นหิมะเช่นนี้ต่อไปอีกหรือ หากนางหนาวขึ้นมาจะทำอย่างไร? อีกอย่าง หากท่านไม่แบกนางไป ข้าก็เรี่ยวแรงน้อยนิด ในวันหิมะตกเช่นนี้ หากพวกเราล้วนหกล้มจะทำอย่างไร หรือท่านจะให้เจียงอวี้เป็นคนแบกกัน?”
“ไม่ได้ จะให้พี่อวี้แบกข้าได้อย่างไร? เขายังบาดเจ็บอยู่เลยนะ!” ซุนหลิงเอ๋อร์กลัวว่าซูมู่จะตกลง จึงรีบปฏิเสธ
เจียงอวี้เองก็สุขสำราญกับผลลัพธ์ ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ รอให้พวกเขาจัดการกันเอง
ซูมู่รู้สึกว่าวาจาของน้องสาวก็มีเหตุผล อีกทั้งหลิงเอ๋อร์ก็ถือเป็นศิษย์พี่ของเขา แบกนางสักหน่อยคงไม่เป็นไร
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะแบกเจ้ากลับไป”
ซูมู่หันหลังให้นางแล้วย่อตัวลงในท่าที่พร้อม ซูหว่านทอดถอนใจ พี่รองของนางช่างซื่อเสียจริง
ซุนหลิงเอ๋อร์ปีนขึ้นไปบนหลังของเขาสมใจปรารถนา ซูมู่แบกนางขึ้นมายืนได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ก้าวยาว ๆ เดินไปข้างหน้า ราวกับคนทึ่มผู้หนึ่ง
ซูหว่านรู้สึกขายหน้าอีกครั้ง ในคืนวันสิ้นปีและวันหิมะตกที่แสนจะน่าประทับใจเช่นนี้ จะมีอารมณ์สุนทรีย์สักนิดไม่ได้เชียวหรือ?
“เจียงอวี้ ฝากหวานหว่านไว้กับเจ้าด้วย ข้าจะพาหลิงเอ๋อร์กลับไปพักผ่อนก่อน”
ช่างเป็นพี่ชายที่ดีจริง ๆ ตอนจะไปก็ยังไม่ลืมน้องสาวของตน
เจียงอวี้แบกนางไว้บนหลังแล้วก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า เขาสวมรองเท้าหนังกันน้ำ ย่างก้าวอย่างมั่นคงไปบนหิมะ สองข้างทางมีโคมไฟส่องสว่างเป็นทิวแถว ทำให้มองเห็นหนทางเบื้องหน้าได้ไม่ยาก
ซูหว่านที่อยู่บนหลังเขา คอยปัดเกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นบนเส้นผมให้เขาเป็นระยะ
“อีกสองสามวัน ข้าอยากจะลงเขาไปที่เมืองจงโจวเสียหน่อย!”
ซูหว่านฉวยโอกาสนี้บอกกล่าวเขาไว้ล่วงหน้า นางอยากจะไปดูโรงงานและร้านค้าที่จงโจวให้เร็วหน่อย เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจะได้กลับบ้านเร็วขึ้น
“ได้ ถึงเวลาข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง” ขอเพียงเป็นสิ่งที่นางต้องการ เขาย่อมไม่เคยปฏิเสธ
“ข้าก็มีเรื่องจะบอกเจ้าเช่นกัน!” เจียงอวี้เองก็ตั้งใจจะเกริ่นเรื่องที่ตนต้องไปแนวหน้าหลังปีใหม่
“อื้ม ท่านพูดเถิด ข้าฟังอยู่” ซูหว่านโอบรอบลำคอของเขา เอนใบหน้าลงซบกับแก้มของเขา
เพียงการกระทำเล็กน้อยของนางก็ทำให้หัวใจของเจียงอวี้สั่นไหว เขานึกอยากจะวางนางลงแล้วประคองใบหน้านางขึ้นมาจุมพิตเสียจริง
ยามได้อยู่กับคนที่ใจปรารถนา ต่างฝ่ายต่างก็มีความสุขอย่างเหลือล้น
“หลังปีใหม่ ข้าต้องไปสนามรบแล้ว ในฐานะซื่อจื่อแห่งจวนเจียงกั๋วกง พ่อของข้าและท่านปู่ของข้า ล้วนเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ควบม้ากรำศึกในสมรภูมิ ตระกูลเจียงออกรบเพื่อแผ่นดินมาทุกรุ่น มาถึงรุ่นของข้าก็มิอาจยกเว้น การไปครั้งนี้ หากสั้นก็อาจกินเวลาหนึ่งปีครึ่งปี หากยาวนานก็อาจเป็นสามปีห้าปี...”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...