ผู้คนรอบข้างต่างมองด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับซุบซิบนินทาอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครคิดจะเข้าไปช่วยเหลือ ซูหว่านเห็นแล้วทนไม่ได้ จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์ทั้งสองเข้าไปห้าม
ไม่ว่าจะมีสาเหตุอันใด เด็กขอทานตัวเล็กและผอมบางคนนี้ก็ยังอายุน้อยนัก จะให้นางทนมองดูเขาถูกตีจนตายได้หรือ
ยิ่งสถานที่วุ่นวายมากเท่าไหร่ ชีวิตคนก็ยิ่งไร้ค่าเท่านั้น
องครักษทั้งสองได้รับคำสั่ง จึงตรงเข้าตรึงตัวบ่าวรับใช้สองคนไว้ แล้วไขว้มือพวกเขาไปด้านหลัง
บ่าวรับใช้สองคนเจ็บปวดจนต้องฉีกปากออกมา พร้อมกับก่นด่าไม่หยุด
“ไอ้เวรที่ไหนมาสอดไม่เข้าเรื่อง อยากตายรึไง”
ส่วนขอทานน้อยที่โดนตีก็เอาแต่ขดตัวอยู่บนพื้น ลุกไม่ขึ้น ใบหน้าคว่ำลงพื้น ดูเหมือนว่าเขาคงจะเจ็บปวดมาก
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่ควรจะลงไม้ลงมือถึงขนาดนี้ ยิ่งเป็นเด็กด้วยแล้ว” ซูอี้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน ส่วนซูหว่านยังคงนิ่งเงียบยืนอยู่ด้านหลังของหลิวอวิ๋นและหลิวอิ๋ง
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า ไอ้เด็กนี่มาชนนายของข้า สมควรโดนซ้อมแล้ว!”
“นายท่าน! นายท่านมาแล้ว! รีบมาช่วยพวกเราเร็วเข้าขอรับ นายท่าน!”
ทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้อีกคนก็หันไปมองทางที่ตนวิ่งมาเมื่อครู่ แล้วตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นพลางพยายามดิ้นรนให้หลุด แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการจับกุมขององครักษ์ไปได้ จึงทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือให้ดังที่สุด
เมื่อมองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นชายสวมอาภรณ์ยาวสีแดงเลือดหมู กำลังโอบกอดสตรีรูปงามสองคนข้างกายซ้ายขวา ทั้งยังมีผู้ติดตามสี่คนเดินตามมาด้านหลัง เขาหันไปจุมพิตสตรีคนหนึ่ง แล้วก็หันไปจุมพิตอีกคนหนึ่ง พลางเดินตรงมาทางนี้
เมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือจากบ่าวรับใช้ของตน ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นคนของตนถูกพันธนาการไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แล้วผลักสตรีทั้งสองออกไปจากตัว จากนั้นก็กางพัดของตนออก แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับโบกพัดในมือไปด้วย ก่อนที่จะมองสำรวจซูอี้และองครักษ์ทั้งสองด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง! ให้พวกเจ้าไปจัดการแค่ขอทานกระจอกๆ แต่กลับถูกทำจนสภาพเละเทะขนาดนี้เนี่ยนะ”
ทันใดนั้นเหล่าองครักษ์ก็ปล่อยตัวบ่าวรับใช้ทั้งสอง พวกเขาจึงรีบวิ่งกลับไปอยู่ข้างนายของตน
“นายท่าน พวกมันเข้ามาสอดเรื่องของพวกเรา แถมยังรุมทำร้ายพวกบ่าวด้วยขอรับ” เมื่อเห็นนายของตนมาถึง พวกเขาจึงรู้สึกมั่นใจ กล้าฟ้องด้วยท่าทางโอหัง
“ว่าไงนะ อยากสอดเรื่องชาวบ้านนักใช่ไหม” ชายผู้ที่ถูกเรียกว่านายท่านเอ่ยขึ้น พร้อมกับมองไปยังซูอี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม
ซูอี้พูดจบอย่างใจเย็น ด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่ได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ท่านจ้าวซานหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ครั้นแล้วหางตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นหญิงสาวชุดขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านหลังซูอี้ นางสวมผ้าคลุมหน้า ปรากฏให้เห็นเพียงดวงตาและคิ้วอันงดงามราวกับภาพวาด ลำพังเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวแล้ว ไม่รู้ว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าผืนนั้นจะเป็นใบหน้าที่งดงามเพียงใด
ท่านจ้าวซานกลอกตาไปมา แผนการผุดขึ้นในใจ
“ในเมื่อคุณชายพูดมาเช่นนี้ หากข้าไม่ปล่อยตัวเด็กขอทานคนนี้ ก็ดูจะเป็นคนใจแคบเกินไป เอาอย่างนี้นะ ข้าจะไม่เอาเรื่องเขาแล้ว แต่ข้าอยากทำความรู้จักกับสตรีที่สวมผ้าคลุมหน้าที่อยู่ข้างหลังเจ้า เจ้าให้นางเปิดผ้าคลุมหน้าออก แล้วมาเป็นเพื่อนกับข้า แล้วเรื่องนี้ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
ซูหว่านยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยวาจาและไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ยังเป็นที่สังเกตจนได้
ซูอี้ได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงทันที สายตาของอีตาจ้าวซานที่มองมาบ่งบอกชัดว่าอยากจะปลดเปลื้องอาภรณ์ของซูหว่านออกเสียให้หมดอย่างโจ่งแจ้ง ซูอี้จึงกล่าวด้วยเสียงขึงขัง
“น้องสาวของข้ามีใบหน้าอัปลักษณ์ จึงต้องใช้ผ้าคลุมหน้าปิดบัง หากเปิดออกแล้วเกรงว่าจะทำให้คุณชายตกใจกลัว ขออย่าเลยจะดีกว่า!”
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นคนชอบผูกมิตร หาได้ใส่ใจรูปลักษณ์ไม่”
ท่านจ้าวซานกล่าววาจาที่ตรงข้ามกับความคิดของเขาโดยสิ้นเชิง เขาไม่เชื่อว่าหญิงผู้นี้จะมีใบหน้าอัปลักษณ์ เขารู้สึกว่านางจะต้องมีความงามที่โดดเด่นสะดุดตาอย่างมากเป็นแน่ ในเมื่อทั้งสองเป็นพี่น้อง พี่ชายยังงดงามผุดผ่องดุจหยก น้องสาวก็ย่อมงดงามไม่แพ้กัน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...