“ใช่แล้วใต้เท้าซู ที่เขื่อนมีแต่โคลนและทรายเต็มไปหมด ลมก็แรงมากด้วย เกรงว่าคุณหนูซูจะอยู่ไม่สบาย สู้พักอยู่กับพวกเราที่นี่ดีกว่า!” ฮูหยินนายอำเภอรีบสำทับ
“ตอนนี้ ช่วงน้ำหลากได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขอเพียงไม่ขึ้นไปบนเขื่อน ก็จะไม่มีอันตราย อีกทั้งลานบ้านเล็กๆ ของข้าก็ทำจัดแจงไว้สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยดีอยู่แล้ว น้องสาวและน้องชายของข้าไม่ชอบรบกวนผู้อื่น พวกเขาจะรู้สึกไม่สบายใจ ท่านทั้งสองอย่าได้รั้งไว้เลย”
ในเมื่อซูจิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่พักอยู่ที่นี่ หากนายอำเภอและฮูหยินยังคงยืนกรานจะรั้งพวกเขาไว้ ก็คงจะไม่มีความหมายอะไร
ดังนั้นทั้งสองจึงไม่พูดอะไรอีก แต่คุณหนูหม่าอวี้อิ๋งกลับมีน้ำตาคลอเบ้า มองซูจิ่งด้วยท่าทีที่น่าสงสารมาก
“ใต้เท้าซู เพราะพวกเราทำสิ่งใดให้ท่านหรือคุณหนูซูและคุณชายซูไม่สบายใจหรือเปล่า ท่านบอกพวกเราได้เลย พวกเราจะปรับปรุงแก้ไข ทำไมถึงจะต้องไปอยู่ที่อื่นด้วยล่ะ นานๆ ถึงจะได้กลับมาสักทีแท้ๆ”
ที่พูดว่า ‘นานๆ ถึงจะได้กลับมาสักทีแท้ๆ’ นี่หมายถึงอะไร
ทำเหมือนพี่ใหญ่เป็นสามีของนางอย่างนั้นแหละ
“คุณหนูอวี้อิ๋ง ท่านพูดเกินไปแล้ว พวกเราแค่ไม่อยากรบกวนพวกท่านเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทำอะไรหรือไม่เลย
อีกอย่าง พวกเราก็อยากไปดูสถานที่ทำงานของพี่ใหญ่ด้วย อยู่แค่สองสามวันก็จะกลับแล้ว”
ซูหว่านเห็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่องเสียที จึงพูดออกไปตรงๆ
นายอำเภอเป็นขุนนางขั้นแปด แต่พี่ใหญ่เป็นขุนนางขั้นห้า ถือว่าห่างขั้นกันมาก การทำเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแบบนี้ นางรู้สึกว่าบางครั้งพี่ใหญ่ก็ควรวางมาดขุนนางไว้บ้าง จะได้ไม่ทำให้คนอื่นคิดไปเองว่าเข้าถึงง่ายจนเกินไป
นอกจากนี้ เป็นสตรีก็ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัวไว้บ้าง นี่คือยุคโบราณ หากแสดงออกเกินไป ก็จะดูไร้ค่า
จะว่าไป ไม่ว่าจะยุคไหน ผู้หญิงก็ไม่ควรจะยอมลดตัวเข้าหาผู้ชาย
เมื่อนายอำเภอและฮูหยินรู้ว่ารั้งไม่ได้ ก็ไม่ดื้อดึงอีกต่อไป แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าบุตรสาวของพวกตนจะได้รับความรักจากใต้เท้าซู เผื่อในอนาคตเมื่อเขื่อนกั้นลำน้ำเซวียนเหอสร้างเสร็จ ก็จะได้ตามไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายที่เมืองหลวง รวมถึงช่วยส่งเสริมตำแหน่งของพวกเขาด้วย
แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ท่าทีของใต้เท้าซูชัดเจนมากว่าไม่ได้สนใจบุตรสาวของพวกเขาเลย คิดเพียงแต่จะรักษาระยะห่างไว้เท่านั้น
ทว่าบุตรสาวโง่เง่าของพวกเขาก็ยังคงฝันลมๆ แล้งๆ ไม่เลิก ดูคุณหนูซูสิ ถูกชุบเลี้ยงมาเป็นอย่างดี การกระทำและรอยยิ้มทุกอย่างล้วนมีมาดของลูกผู้ดี สง่างามน่านับถือ พวกเขาเทียบไม่ได้เลยจริงๆ
“ใต้เท้าซู...”
พ่อซูและแม่ซูล้วนสบายดี ซูหว่านยังได้ซื้อแม่บ้านสาวใช้มาช่วยดูแลปรนนิบัติด้วย การใช้ชีวิตในประจำวันจึงไม่จำเป็นต้องกังวล ห้องครัวก็ได้เพิ่มแม่ครัวสองคนเข้ามา มีอาหารพร้อมกินสามมื้อต่อวัน อยากกินอะไรก็แค่เอ่ยปาก คนเฒ่าทั้งสองก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ซูหว่านบอกพี่ใหญ่ว่า ตอนนี้ธุรกิจของนางได้ขยายไปทั่วแถบเจียงหนานและจงโจวแล้ว ช่วงต้นปีหน้าก็จะเปิดตลาดที่เมืองหลวงด้วย
ยังมีเรื่องที่หยางชิงชิงแต่งงานไปแล้ว รวมถึงเรื่องที่ร้านอาหารของพี่สี่ก็ได้ฤกษ์เปิดทำการในที่สุด อีกทั้งยังขายดีอย่างเหลือเชื่อ
“เฉิงโหลว? ชื่อดีนะ ได้ยินก็รู้เลยว่าเจ้าเป็นคนตั้งให้” เมื่อซูจิ่งรู้ว่าร้านอาหารของน้องสี่มีชื่อว่าเฉิงโหลว เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นซูหว่านที่ตั้งชื่อให้ มีเพียงนางเท่านั้นที่มีความสามารถแบบนี้
“ยังเป็นพี่ใหญ่ที่รู้จักข้าดีที่สุด” ซูหว่านหัวเราะคิกคัก
ซูอี้ก็เล่าเรื่องราวตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาให้ซูจิ่งฟัง เมื่อซูจิ่งได้ยินชื่อ ‘ฉีอันจวีซื่อ’ ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจออกมา
“ฉีอันจวีซื่อประเมินเจ้าสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เดิมคิดว่าเขาเป็นคนเมืองหลวงเสียอีก ไม่นึกเลยว่าบ้านเกิดของเขาจะอยู่ที่เซียงโจวเหมือนกับพวกเรา”
“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเซียงโจวของพวกเราจะมีนักปราชญ์ที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ได้รับคำชี้แนะจากเขา ถือเป็นเกียรติของข้าจริงๆ” ซูอี้ยังคงถ่อมตัวในเรื่องนี้

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...