วัยแรกแย้มนั้นคืออายุสิบหกปี อายุสิบหกปีในสมัยโบราณนั้นเป็นวัยที่เหมาะจะออกเรือนที่สุด ที่ซูจิ่งกังวลใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
ถ้าหากว่าเป็นเพราะเขา คุณหนูสามเสิ่นจะต้องรอเขาไปอีกหลายปี พอถึงตอนนั้นนางก็อายุสิบแปดสิบเก้าแล้ว อายุสิบแปดสิบเก้าแล้วยังเป็นสตรีในห้องหอ เวลานี้เป็นช่วงเวลาของความงมงาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวง เป็นการง่ายมากที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์
นางเป็นบุตรสาวของมหาบัณฑิต เดิมทีนางไม่ควรจะได้รับคำติฉินนินทาจากใคร ชื่อเสียงของซื่อจื่อเซียงอ๋องเองก็ไม่เลว พระชายาเซียงอ๋องเองก็เป็นที่รู้จักกันดี งานแต่งงานนี้สำหรับนางแล้วถือว่าเป็นปลายทางที่ดีสำหรับนางเลย
ส่วนเขานั้นจะให้นางได้รับคำติฉินนินทาเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้อย่างไรกัน
ซูหว่านได้ฟังเขาพูดแล้วก็ฟังออกเรื่องหนึ่งว่า พี่ใหญ่ของนางชอบอีกฝ่าน แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรด้วย
“พี่ใหญ่ เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าคุณหนูสามคิดอย่างไรกับท่าน”
ซูจิ่งได้ยินก็ส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร ข้ารู้เพียงแต่ว่าข้าไม่สามารถทำให้นางเสียเวลาได้ ดังนั้นข้าจึงไม่เคยบอกความในใจกับนาง”
พี่ใหญ่โง่นี่ ซูหว่านจนใจ ถ้าท่านไม่รู้แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านคิดเช่นไร เขาจะให้โอกาสท่านได้อย่างไรกัน
“พี่ใหญ่ เรื่องของความรู้สึกไม่ใช่การเป็นขุนนาง จะเสียสละโดยไม่เห็นแก่ตัวได้อย่างไรกัน เรื่องของความรักนั้นแต่เดิมก็เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ท่านไม่เห็นแก่ตัวแล้วโอกาสจะมาจากไหนกันเล่า
ถ้าหากว่าคุณหนสามมเสิ่นแต่งให้กับซื่อจื่อเซี่ยงอ๋องจริง ท่านก็ไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว”
คำพูดนี้มาจากปากของซูอี้ ซึ่งตรงกับใจของซูหว่านพอดี ดูสิ เรื่องที่พี่ห้ายังเข้าใจ พี่ใหญ่กลับไม่เข้าใจ
“พี่ใหญ่ ท่านลองเล่าอย่างละเอียดหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านกับคุณหนูสามเสิ่นพบกันอย่างไร พบกันทั้งหมดกี่ครั้ง แล้วเคยมอบของให้แก่กันหรือไม่ ข้าจะช่วยวิเคราะห์ให้ ข้าเองก็เป็นผู้หญิง ไม่แน่ว่าจะพอเดาใจของคุณหนูสามเสิ่นออกบ้าง”
ซูหว่านต้องการรู้รายละเอียดพวกนั้น
ซูจิ่งได้ฟังก็ลำบากใจเล็กน้อย แต่เขาก็เล่า
เขากับคุณหนูสามเสิ่นพบกันที่จวนมหาบัณฑิต ครั้งนั้นเขาสอบระดับเมืองหลวงได้เป็นอันดับหนึ่ง มหาบัณฑิตจึงเชิญเขาไปเป็นแขก เขาพบกับคุณหนูสามเสิ่นในสวนดอกไม้ ตอนนั้นคุณหนูสามเสิ่นกำลังดีดผีผาอยู่ในเก๋งจีน
คุณหนูสามเสิ่นเคยได้ยินชื่อของเขา นางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เป็นเพราะว่าในการสอบระดับเมืองหลวงเขาได้เขียนกลอนบทหนึ่ง เมื่อนางได้เห็นนางก็ชอบเป็นอย่างมาก และอยากจะที่จะรู้จักผู้เข้าสอบคนนี้
ดังนั้นทั้งสองคนจึงดื่มสุราร้องเพลง แต่งบทกวี พูดคุยกันอย่างถูกคอในเก๋งจีนนั้น น่าเสียดายที่ได้พบกันช้าไป
ผู้มากความสามารถทั้งสองคนถูกดึงดูดซ่งกันและกัน หลังจากนั้นก็ได้พบอีกหลายครั้ง
ซูจิ่งพยักหน้า หลังจากนั้นก็หยิบแหวนที่พกติดตัวออกมาจากเสื้อ
เหลือเกินจริงๆ ซูหว่านอยากจะร้องไห้ นี่มันต้องชอบมากขนาดไหนถึงกับพกไว้ในอกเสื้อ
แหวนถูกส่งให้กับซูหว่าน นางมองอย่างละเอียด หยกเนื้องามมาก รูปแบบเป็นแหวนของผู้ชายที่ถูกทำออกมาอย่างประณีต น่าจะมีราคาไม่น้อย
“พี่ใหญ่ ดูเหมือนว่าคุณหนูสสามเสิ่นจะใส่ใจท่านไม่น้อย แหวนหยกนี้น้ำงามมากเลยนะ!” ซูอี้พูดยิ้มๆ
ซูจิ่งยิ้มอย่างเก้ๆ กังๆ ตอนแรกเขาไม่กล้ารับมา เพราะอย่างไรเสียมันก็มีค่าเกินไป แต่เสิ่นชิงหลียัดมันใส่ในมือเขา พอหันกลับไปนางก็ไปไกลเสียแล้ว
ตอนแรกเขาก็คิดว่าแบบนี้ดีมากแล้ว เขาสามารถคิดถึงเมื่อเห็นของชิ้นนี้ ถือว่าเป็นความคิดถึง
ซูหว่านถือแหวนแล้วลูบคลำ นางพลิกมองแหวยทั้งด้านในด้านนอกอย่างละเอียดจนแทบจะมองเห็นรอย
นางคิดว่าจะสามารถหาอะไรบางอย่างได้ในนี้
“หวานหว่าน เจ้ากำลังหาอะไร หรือว่าจะมีอะไรในแหวนวงนี้งั้นหรือ” ซูอี้สัมมผัสได้ว่านางผิดปกติจึงได้ถามออกมา

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...