กู้เย่ว์ยังคงสวมอาภรณ์หรูหราประดับทองและเงิน เครื่องประดับศีรษะด้วยไข่มุกอัญมณี ทั้งยังแต้มชาดที่พวงแก้มดูมีเลือดฝาด
ในใจเขาได้แต่รำพึง ทุกสิ่งเปลี่ยนผันไปแล้วจริงๆ
เขาแย้มยิ้มและพยักหน้าให้นาง มิได้ตอบรับคำว่าพี่ใหญ่ของนาง ทว่ากลับเอ่ยเรียกอย่างสุภาพ
“คุณหนูกู้!”
ในใจของกู้เย่ว์พลันรู้สึกสิ้นหวังอย่างที่สุด
ทั้งสองสนทนากันในห้องส่วนตัว ตลอดการสนทนา ซูจิ่งให้ความสุภาพอ่อนน้อมและรอบคอบในทุกด้าน ยิ่งเขาทำเช่นนั้น ความรู้สึกห่างเหินก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาเคยเป็นพี่น้องที่สนิทกันเพียงใด แต่ตอนนี้กลับเหมือนคนแปลกหน้าที่ทำตัวห่างเหินกับนางสารพัด เช่นนี้แล้ว กู้เย่ว์จะไม่เสียใจได้อย่างไร
กู้เย่ว์มาพบซูจิ่งในครั้งนี้มิได้มาเพื่อรำลึกความหลังอย่างเปิดเผย แต่มาเพื่อเกลี้ยกล่อมอะไรบางอย่าง
ในช่วงแรก นางพูดคุยเรื่องเก่าๆ ที่ไม่สลักสำคัญอะไร แต่หลังจากนั้นก็เริ่มเอ่ยถึงมู่หรงเซิง
แม้จะไม่ได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่หรงเซิง แต่ไม่ว่าจะพูดอะไรก็แสดงออกถึงการยกยอสรรเสริญมู่หรงเซิงอย่างเห็นได้ชัด
กู้เย่ว์เป็นคนฉลาด นางคาดการณ์ว่าซูหว่านน่าจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้พี่ใหญ่ฟังหมดแล้ว จึงเอ่ยเข้าประเด็นโดยตรง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบายให้มากความ
ตลอดการสนทนา ซูจิ่งเพียงแสดงความขอบคุณต่อการบริจาคเพื่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเซวียนเหอเท่านั้น ไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ที่นางพยายามชี้นำอย่างตรงไปตรงมาเลย
กล่าวก็คือเป็นการพูดคุยแบบขอไปทีและไร้ซึ่งความกระตือรือร้น ทำให้กู้เย่ว์รู้สึกเหมือนต่อยเข้าที่ปุยนุ่นอย่างไรอย่างนั้น
นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงความเย็นชาและห่างเหินที่ซูจิ่งมีต่อนาง
นางคิดในใจว่าซูหว่านคนนี้ต้องพูดจาใส่ร้ายมู่หรงเซิงอะไรบางอย่างกับพี่ใหญ่เป็นแน่ ท่าทีของพี่ใหญ่จึงไม่ชัดเจนเช่นนี้
แน่นอนว่านางโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้นางออกจะรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สร้างสัมพันธ์อันดีกับซูหว่านไว้ตั้งแต่แรก
เพราะซูหว่านมักเข้ามาเป็นก้างขวางคออยู่ตรงกลาง ทำให้หลายอย่างที่นางตั้งใจจะทำไม่เป็นไปอย่างที่คิด
ซูจิ่งเห็นว่าตัวเองอยู่ที่นี่นานพอสมควรแล้ว จึงคิดอยากจะกลับไปใช้เวลากับหวานหว่านให้เร็วขึ้นหน่อย เพราะนานๆ ได้เจอกันสักที และอีกไม่กี่วันนางก็จะไปแล้ว จึงควรจะต้องถนอมเวลามีค่าไว้ให้มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ซูจิ่งจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ
"คุณหนูกู้ ที่เขื่อนยังมีเรื่องมากมายที่ข้าต้องตัดสินใจ ข้าคงต้องขอตัวก่อน และขอขอบคุณคุณหนูกู้แทนชาวเมืองเซวียนเหออีกครั้ง"
"พี่ใหญ่ หากข้าไม่ได้ทำเรื่องนั้นกับพี่สี่ พี่จะยังคงปฏิบัติต่อข้าเหมือนตอนเด็กๆ อยู่ไหม”
กู้เย่ว์รู้ดีว่าความห่างเหินที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเรื่องซูอวิ๋น ครอบครัวถึงได้ผิดหวังในตัวนางและตีตัวออกห่างถึงเพียงนี้
แต่ไม่ได้เป็นเพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้น รายละเอียดเล็กน้อยมากมายที่สะสมมาทำให้ครอบครัวสกุลซูเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขากับตระกูลกู้
กู้เย่ว์เกิดมาควรจะได้ใช้ชีวิตในตระกูลกู้ ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อไม่ใช่คนในครอบครัวก็ย่อมไม่ใช่พวกเดียวกัน แม้นางจะเติบโตมาในครอบครัวที่ข้นแค้นของสกุลซู แต่นางก็มีท่าทีที่หยิ่งผยองและความรู้สึกเหนือกว่าที่แฝงอยู่ทั้งในดวงตาและท่าทาง
แม้กระทั่งบางคราที่นางมองไปยังชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกัน สายตานางยังเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
ยังจำได้ถึงคืนก่อนที่จะกลับสู่ครอบครัวตระกูลกู้ เขาเข้าใจว่าที่กู้เย่ว์เอาแต่หลบอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาร่วมวงอาหาร นั่นเพราะนางโศกเศร้าที่จะต้องพลัดพรากจากพวกเขา
ทว่าเมื่อมองลอดช่องประตูไปกลับเห็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าและสดใสของกู้เย่ว์ นางนั่งอยู่ข้างเตียง แกว่งขาไปมา ดูเหมือนกำลังจินตนาการถึงบางสิ่งบางอย่าง ในแววตานั้นมีประกายแห่งความหวัง
นางลุกขึ้นเก็บข้าวของของตัวเอง แต่เมื่อเก็บไปได้เพียงครึ่ง นางก็ยัดเสื้อผ้ากลับเข้าไปในตู้เก่าๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงความรังเกียจ ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง จากนั้นก็เตะรองเท้าปักลายที่ยังคงสภาพดีซึ่งวางอยู่ปลายเตียงไปอีกทาง
ทั้งที่เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่นางได้รองเท้าปักลายคู่ใหม่นี้ นางดีใจมากจนไม่อยากใส่เลยด้วยซ้ำ นางทะนุถนอมมันอย่างดีราวกับสมบัติล้ำค่า
รองเท้าคู่นี้ซูจิ่งเป็นคนมอบให้ เป็นเงินไม่กี่อีแปะที่เขาได้มาจากการรับจ้างคัดลอกตำราที่สำนักศึกษา ซึ่งเขานำเงินทั้งหมดมาซื้อรองเท้าให้นาง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...