คำกำชับเดิมๆ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ซูหว่านและซูอี้จากอำเภอโยวด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ นางผลักหน้าต่างออกแล้วโบกมือให้ซูจิ่งตลอดทาง เขาก็โบกมือตอบนางกลับ จนกระทั่งร่างของเขาหายไปจากสายตา
ซูหว่านรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย พี่ใหญ่เป็นดั่งแสงจันทร์ส่องสว่างในใจนางเสมอ
ซูอี้เห็นนางไม่สบายใจจึงเอ่ยปลอบโยนว่า
"ไม่เป็นไรหรอก หากวันข้างหน้าคิดถึงพี่ใหญ่เมื่อไหร่ ก็มาหาเขาได้ทุกเมื่อเลยนะ!"
รอยยิ้มของพี่ห้ายังคงดูเป็นมิตรและไม่มีพิษภัยเสมอ ดวงตาของเขาหรี่ปรือจนเป็นเส้น
แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าภายใต้ท่าทีที่ดูไร้พิษภัยนั้นมีความเจ้าเล่ห์ซ่อนอยู่เพียงใด
ซูหว่านพยักหน้า นางรู้สึกอาวรณ์จริงๆ น่าเสียดายที่เวลามีน้อย อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันตรุษแล้ว นางต้องสะสางเรื่องของพี่ใหญ่ให้เรียบร้อยก่อนสิ้นปี และยังต้องเปิดร้านอวี้เหยียนถังในเมืองหลวงให้สำเร็จด้วย
ในเขตเมืองหลวงนั้น สบู่นมแพะกลิ่นดอกไม้และสบู่สระผมต้องขายดีแน่นอน ดังนั้น จงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ แล้วสร้างรายได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซูหว่านวางแผนการใหญ่มาตลอด นางต้องการใช้อวี้เหยียนถังเป็นเกราะกำบังและที่พักพิงที่ปลอดภัยให้แก่ตระกูลซู อย่างน้อยก็เพื่อให้คนในตระกูลซูใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นและสงบสุขไปตลอดชีวิต
……
ล่วงเลยมาครึ่งเดือนกว่าจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง เพราะดินแดนหมิ่นโจวนั้นไกลจากเมืองหลวงยิ่งกว่าเซียงโจวเสียอีก จึงใช้เวลาค่อนข้างมาก
ประตูเมืองหลวงนั้นยิ่งใหญ่ตระการตายิ่งกว่าประตูเมืองจงโจวหลายเท่า คูเมืองโอบล้อมเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไว้โดยรอบ ประตูทั้งสี่ทิศเหนือใต้ออกตกล้วนมีหอคอยเฝ้าสังเกตการณ์ตั้งอยู่ พร้อมพลธนูลาดตระเวนอย่างหนาแน่น
เมื่อมองไกลออกไป สิ่งที่รับรู้ได้หาใช่เพียงความยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน หากแต่ยังมีความเคร่งขรึมและสง่างาม ยิ่งในวันนี้ที่ฟ้าครึ้มเต็มไปด้วยไอหมอกปกคลุมโอบล้อมหอคอยเมือง บรรยากาศรอบเมืองจึงน่าเกรงขามยิ่งนัก
การตรวจตราเพื่อเข้าเมืองหลวงนั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง เหล่าทหารองครักษ์เดิมทีไม่ได้รับอนุญาตให้นำอาวุธติดตัวเข้าไป แต่องครักษ์นามอาหนานได้หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาแสดงต่อหน้าทหารหน้าประตู
ทันทีที่ทหารเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ก็รีบประสานมือโค้งคำนับอย่างนอบน้อมพร้อมกับเปิดทางให้รถม้าเข้าเมือง
แม้ไม่รู้ว่าใครนั่งอยู่บนรถม้า แต่ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์ของเจียงกั๋วกงก็ทรงอำนาจพอที่จะข่มขวัญพวกเขาได้แล้ว
ซูหว่านยังไม่ทันปรากฏตัวก็สามารถเข้าสู่เมืองหลวงได้อย่างง่ายดาย ภายในเขตเมืองหลวงมีกฎห้ามออกนอกเคหสถานยามวิกาล ซึ่งตอนนี้เพิ่งจะเข้าสู่ช่วงบ่ายแก่ๆ เท่านั้น อากาศวันนี้เต็มไปด้วยหมอกหนาและไม่มีแดด เมืองทั้งเมืองจึงดูขมุกขมัว ไปหมด แต่ท้องถนนยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน
ใต้เบื้องพระบาทช่างมั่งคั่งและรุ่งเรือง บรรดาสตรีบนท้องถนนต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่ทันสมัยที่สุดตามยุคสมัย ริมทางไม่มีการตั้งแผงลอยขายของ ทุกแห่งล้วนเป็นร้านค้า แต่ละร้านต่างก็ประชันขันแข่ง และตกแต่งร้านให้หรูหราอลังการกว่าร้านคู่แข่ง
สถาปัตยกรรมที่นี่งดงามตระการตา ทั้งอิฐหยก กระเบื้องมรกต ดูประณีตบรรจงไร้ที่ติ ที่แห่งนี้แทบไม่เห็นเรือนชั้นเดียวเลย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหอสามชั้นขึ้นไป
อาหนานไปเคาะประตู ชายชราผมขาวโพลนแต่ใบหน้าใจดีคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ นั่นคงเป็นลุงหยวนที่พี่ใหญ่พูดถึง
ลุงหยวนเห็นอาหนานแล้วจำไม่ได้ เพราะองครักษ์ในสังกัดของเจียงอวี้มีมากมายเกือบพันคน
“ท่านคือ..." ลุงหยวนถามอาหนานด้วยความระแวดระวัง
อาหนานยื่นป้ายคำสั่งของเจียงอวี้ให้ดู เมื่อเห็นเช่นนั้น ลุงหยวนก็เข้าใจได้ทันที
เพียงชั่วครู่ที่ได้ยินอาหนานกระซิบกระซาบ สีหน้าของลุงหยวนก็เปลี่ยนจากความกังขาเป็นความยินดีอย่างที่สุด
ครั้นเอ่ยจบ ลุงหยวนก็ก้าวออกจากประตูธรณี ยกชายเสื้อขึ้น แล้วรีบวิ่งไปทางซูหว่านและซูอี้อย่างไม่รั้งรอ
เมื่อมาถึง เขาก็สำรวจซูหว่านตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ พร้อมกับรอยยิ้มที่เผยออกมากว้างกว่าเดิม
บุคลิกของเขานั้นดูเป็นคนใจดีและอบอุ่น ร่างกายที่ดูอ้วนท้วมเล็กน้อยบวกกับฟันที่หลุดไปสองสามซี่ ทำให้ดูมีอารมณ์ขันและน่าคบหา
“คุณหนูซู คุณชายซู ท่านทั้งสองเดินทางมาไกลคงเหน็ดเหนื่อยนัก โปรดตามข้าเข้าไปในจวนเถิด!”

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...