ทว่า ล้อเล่นหรือไร ท่านคิดว่าของล้ำค่าเพียงนี้เจียงอวี้จะขาดแคลนได้หรือ? สิ่งที่เขาไม่เคยขาดแคลนเลยก็คือโอสถชั้นเลิศเหล่านี้
แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็คือองค์ชายเจ็ด พวกเขาทั้งสองจึงต้องไว้หน้าอยู่บ้าง
อีกทั้ง มู่หรงไหวผู้นี้ดูท่าว่าจริงใจต่อพวกเขาทั้งสองนัก เพียงต้องการที่จะผูกมิตรด้วยใจจริง
เรื่องที่มู่หรงไหวเริ่มเข้ามาพัวพันกับพวกเขาทั้งสอง คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน หลังจบศึกใหญ่ที่ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ตอนนั้นเขาอยู่เบื้องหลัง คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ และได้เห็นกับตาว่าเจียงอวี้และซูเฉินสังหารศัตรูในสนามรบอย่างอาจหาญเพียงใด
เจียงอวี้และซูเฉินต่างเด็ดศีรษะนายกองของฝ่ายศัตรูได้คนละหนึ่งศีรษะ ทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล
ผู้บัญชาการใหญ่จึงแต่งตั้งให้คนทั้งสองเป็นผู้บัญชาการ ได้เข้าสังกัดในค่ายผู้บัญชาการใหญ่ และมีกระโจมเป็นของตนเอง
ส่วนมู่หรงไหวนั้นปัจจุบันทำงานเป็นที่ปรึกษาอยู่กับกุนซือ ถือเป็นตำแหน่งบุ๋นในกองทัพ แต่ก็ดูน่าเกรงขามไม่น้อย
สำหรับมู่หรงเซิง วรยุทธ์ของเขาก็ไม่นับว่าด้อย ทั้งยังมีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ในสนามรบ แต่เดิมเขาเป็นถึงแม่ทัพนายกอง เพิ่งได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการทหารม้า ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารม้า
องค์ชายทั้งสองพระองค์ต่างขับเคี่ยวกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพื่อช่วงชิงเจียงอวี้และซูเฉินมาอยู่ใต้สังกัดของตน
ด้วยวรยุทธ์อันสูงส่งของเจียงอวี้และซูเฉิน ทำให้มู่หรงไหวชื่นชมเลื่อมใสในตัวพวกเขาทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง
“ขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ!” เจียงอวี้ยื่นมือทั้งสองออกไปรับไว้
“ขอบคุณอะไรกัน ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ พวกเราล้วนเป็นสหายร่วมรบมิใช่หรือ!” มู่หรงไหวหัวเราะอย่างสดใส
พูดตามตรง เจียงอวี้กลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจมู่หรงไหวเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับมู่หรงเซิงแล้ว เขารู้สึกว่าองค์ชายเจ็ดผู้นี้ดูจริงใจกว่า ไม่ถือตัว และเข้าถึงง่ายกว่า
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากัน มู่หรงเซิงก็มาถึงพอดี เขานำยาสมานแผลมาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าม่านกระโจมเปิดอยู่จึงเดินเข้ามาโดยพลการ เดิมทีใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม แต่ทันทีที่เห็นว่ามู่หรงไหวอยู่ด้วย รอยยิ้มนั้นก็หายไปในทันที
พอมู่หรงไหวหันไปเห็นว่าเป็นเขา ก็เริ่มกล่าววาจาแดกดันขึ้นมาทันที
“โอ้ พี่ห้าก็มามอบยาให้ผู้บัญชาการทั้งสองท่านด้วยหรือ? แต่ว่าท่านมาช้าไป ข้ามอบให้ก่อนแล้ว!”
เมื่อเห็นท่าทางลำพองใจของมู่หรงไหว มู่หรงเซิงก็ไม่ได้ร้อนรน เขาวางขวดยาลงบนโต๊ะอย่างเนิบนาบแล้วกล่าวว่า
“อย่างไรเสียก็นับเป็นน้ำใจ ไม่แบ่งว่ามาก่อนมาหลัง”
“รบกวนองค์ชายห้าต้องลำบากแล้ว” เจียงอวี้และซูเฉินประสานมือคารวะเขา
ต่อมู่หรงไหว พวกเขาทั้งสองไม่เคยต้องมากพิธีเช่นนี้ แต่ยิ่งสุภาพ ก็ยิ่งรู้สึกห่างเหิน
คนที่ยอมตายเพื่อความดีความชอบทางการทหารก็มีอยู่ไม่น้อย แต่คนเจียมตัวก็มีอยู่มากเช่นกัน ผู้ใดจะอยากไปตายเปล่ากันเล่า?
เหล่าทหารที่มีฝีมือหน่อยต่างก็มุ่งเป้ามาที่คนทั้งสอง ส่วนพลทหารทั่วไปนั้นจะพยายามอยู่ให้ห่างจากพวกเขา ด้วยเหตุนี้ในสนามรบ คนที่เจียงอวี้และซูเฉินต้องเผชิญหน้าจึงมีแต่ทหารที่กล้าแกร่งที่สุดของฝ่ายศัตรู ซึ่งกลับยิ่งช่วยฝึกฝนฝีมือและเพิ่มความท้าทายให้พวกเขามากขึ้น
หลังจากซูเฉินถกเถียงกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก็กลับไปที่กระโจมของตนเอง ในที่สุดเจียงอวี้จึงหยิบแหวนวงนั้นใต้หมอนออกมา พลิกไปมาในฝ่ามือ เมื่อมองดูแหวนทองนี้ สายตาของเขาก็อ่อนโยนราวกับสายน้ำ ไม่ยอมละไปจากมันนานสองนาน ในสายตาของผู้อื่นแล้วราวกับเขากำลังเหม่อลอย
เจียงอวี้ครุ่นคิดในใจว่า
ตอนนี้ เจ้ากำลังคิดถึงข้าอยู่เช่นกันหรือไม่?
ณ เมืองหลวงที่ห่างไกลออกไป ซูหว่านกำลังหลับใหลอย่างเป็นสุข นางพลิกตัวแล้วกอดหมอนไว้ในอ้อมแขน มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ดูท่าว่าคงจะฝันดีอยู่เป็นแน่
เจียงอวี้มีความตั้งใจหนึ่ง เขาอยากจะช่วยเหลือให้ซูเฉินก้าวหน้าในกองทัพอย่างราบรื่น ตัวเขานั้นมีฐานะสูงส่งอยู่แล้ว หลังจากกลับเมืองหลวงไปก็เพียงอยากจะเป็นซื่อจื่อที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่คิดจะเข้ารับตำแหน่งสำคัญใด ๆ แต่ซูเฉินนั้นแตกต่างออกไป เขาทั้งมีความสามารถและความมุ่งมั่น มีเพียงต้องสร้างผลงานความชอบให้มากเข้าไว้ วันหน้าจึงจะได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ดีและได้พำนักอยู่ในเมืองหลวง
……
ช่วงเวลาต่อมาที่เมืองหลวง ซูหว่านใช้ชีวิตอย่างวุ่นวายอยู่กับเรื่องการค้า และยังหาเวลาไปพบปะกับเสิ่นชิงหลีเพื่อออกไปเที่ยวเล่นเดินซื้อของด้วยกันอยู่เป็นครั้งคราว วันเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...