เสิ่นชิงหลีซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้เห็นข้อความบนกระดาษทุกตัวอักษร
นางก็ยกมือป้องปากทันควัน และมีสีหน้าราวกับตื้นตันใจเป็นที่สุด
"เจียงซื่อจื่ออยากจะพบเจ้า รีบไปเถอะ!"
นางเข้าใจดีว่าทั้งสองไม่ได้เจอกันมาสามปีแล้ว สำหรับคนสองคนที่รักกัน ความรู้สึกคิดถึงกันเป็นสิ่งที่บรรเทาได้ยากยิ่ง นางเคยผ่านเรื่องราวเช่นนี้มาแล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี
ซูหว่านเองก็อยากพบเขา อยากพบเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงไม่ลังเล และถามเสิ่นชิงหลีตรงๆ ว่าสวนดอกเหมยไปอย่างไร
ตั้งแต่เด็กจนโตเสิ่นชิงหลีเคยมาที่นี่นับครั้งไม่ถ้วน จึงรู้เส้นทางเป็นอย่างดี
“สวนดอกเหมยอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ และช่วงเวลานี้ดอกเหมยก็ร่วงโรยหมดแล้ว เหลือเพียงกิ่งก้านที่ว่างเปล่า ที่นั่นไม่มีใครไปแน่นอน ข้าจะพาเจ้าไปเอง ทางมืดและไกล ข้ากลัวว่าเจ้าจะหาไม่เจอ”
ทั้งสองคนต่างนำสาวใช้ไปด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เสิ่นชิงหลีจึงพาซูหว่านไปที่นั่นทันที
ดังนั้น ทั้งสี่คนจึงมุ่งหน้าไปยังสวนดอกเหมย ระหว่างทางในอุทยานหลวงมีโคมไฟวังจุดสว่างไสว หลิวอิ๋งกับเล่อเอ๋อร์ต่างก็ถือโคมไฟคนละดวงเพื่อนำทาง ยิ่งเดินลึกเข้าไปในสวนดอกเหมยเท่าไร ก็ยิ่งห่างไกลจากเสียงเซ็งแซ่มากขึ้นเท่านั้น
เมื่อไปถึงสวนดอกเหมยแล้ว เสิ่นชิงหลีก็เตรียมจะพาเล่อเอ๋อร์เดินกลับ และให้หลิวอิ๋งคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก
นางไม่ลืมที่จะกำชับว่า
"เจ้าดูเวลาด้วยนะ กลับวตำหนักเว่ยยางแต่เนิ่นๆ อย่าให้ใครเห็นเข้า"
ซูหว่านพยักหน้ารับคำ เสิ่นชิงหลีจึงวางใจและจากไป
ซูหว่านรับโคมไฟของหลิวอิ๋งมา จากนั้นก็ให้นางเฝ้าดูต้นทางอยู่ด้านนอกสวนดอกเหมย
“หลิวอิ๋ง หากมีผู้ใดมา เจ้าก็จงร้องเลียนเสียงนกกาเหว่า ข้าจำได้ว่าเจ้าทำได้เหมือนที่สุดแล้ว"
เมื่อก่อนยามที่ซูหว่านอารมณ์ไม่ดี หลิวอิ๋งก็มักจะร้องเลียนเสียงนกให้นางฟัง นางร้องเสียงนกกาเหว่าได้เหมือนที่สุด ราวกับของจริงจนแยกไม่ออก
หลิวอิ๋งยกมือขึ้นกุมหน้าผาก คุณหนูนี่ช่าง... ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ต้องเอาเรื่องนี้มาล้อเลียนนางเสมอ แต่นางก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม
"บ่าวรับทราบแล้วเจ้าค่ะคุณหนู ไปเถิด อย่าให้เจียงซื่อจื่อรอนานนัก"
ซูหว่านจึงถือโคมไฟเดินเข้าไปในสวนดอกเหมย นางใช้แสงสลัวๆ จากโคมไฟส่องนำทาง ในป่ามีศาลาอยู่หลังหนึ่ง แต่นางไม่กล้าส่งเสียงเรียกเพราะเกรงว่าจะเป็นการเชื้อเชิญคนแปลกหน้าเข้ามา
นางสอดส่องมองไปรอบๆ เหมือนกับขโมย และเดินเข้าไปจนถึงส่วนลึกของสวนแล้ว ก็ยังไม่เห็นเงาของเจียงอวี้ นางชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามีใครกำลังเล่นตลกหรือไม่
จนกระทั่งมีคนดึงแขนของซูหว่านไว้เบาๆ ทำให้นางหันขวับในทันใด สิ่งแรกที่นางทำคือยกโคมไฟขึ้นเพื่อมองดูผู้มาเยือนให้ชัดเจน
เจียงอวี้สวมหน้ากาก เมื่อโคมไฟส่องในยามค่ำคืนย่อมดูน่าหวาดหวั่น ซูหว่านตกใจจนตัวสั่น เจียงอวี้จึงรีบเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบาดังมาจากแผงอกของเจียงอวี้ ช่างน่าฟัง เขาปล่อยซูหว่าน รับโคมไฟจากมือนาง แล้วจูงมือพานางเดินไปยังศาลา
มือนางค่อนข้างเย็น เพราะไม่ทันได้คลุมเสื้อคลุม ลมยามค่ำคืนก็เย็นมากเช่นกัน เจียงอวี้จึงกำมือนางไว้แน่นอย่างเงียบๆ
“ข้าจัดคนให้ดูต้นทางแล้ว ไม่มีใครมาแน่” เจียงอวี้ให้ผู้ติดตามคอยดูลาดเลาไว้
“บังเอิญจัง ข้าก็จัดคนให้ดูต้นทางเหมือนกัน!”
ซูหว่านพูดต่ออย่างเป็นธรรมชาติ รอยยิ้มที่มุมปากของเจียงอวี้ลึกล้ำขึ้น
เขาดึงนางให้นั่งลงบนม้านั่งยาวใต้ชายคาศาลา โคมไฟถูกดับไปแล้ว เพราะในศาลามีการจุดโคมไฟไว้
เมื่อทั้งสองนั่งลง เจียงอวี้ก็ประคองใบหน้าของนางไว้และมองอย่างไม่วางตา เหนือศีรษะของซูหว่านมีโคมไฟดวงน้อยส่องแสงนวลลงบนใบหน้าของนาง ราวกับมีแสงอันนุ่มนวลฉาบไว้
ดั่งคำโบราณว่าไว้ "มองโฉมงามใต้แสงโคม ยลโฉมบุรุษใต้แสงจันทร์" นับเป็นความสุขอย่างยิ่งในชีวิต
ไม่เจอกันหลายปี ในที่สุดหญิงสาวตัวน้อยของเขาก็เติบโตเป็นสาวแล้ว ความงามของนางทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้ ทำให้ใจเคลิบเคลิ้ม จนไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้เลย
บัดนี้เขาไม่จำเป็นต้องอดกลั้นสิ่งใดอีกต่อไป นิ้วหัวแม่มือของเขาค่อยๆ เลื่อนไปเช็ดชาดสีแดงบนริมฝีปากของนางออกอย่างแผ่วเบา เพราะเกรงว่าหากปากนางเปื้อนแล้ว จะทำให้ความลับถูกเปิดเผย

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...