เจียงอวี้เป็นถึงซื่อจื่อ แต่บุตรชายของนางกลับไม่มีโอกาสนั้นตลอดชีวิต ได้แต่เป็นคนไร้ความสามารถที่ถูกผู้คนเย้ยหยัน
ลับหลังนางยังคงมองเจียงอวี้เป็นดั่งหนามยอกอก คาดว่าคงจะสืบเรื่องราวของคนทั้งสองมานานแล้ว
ถึงแม้ว่าตัวเจียงอวี้จะไม่ได้อยู่ข้างกายซูหว่าน ทว่าเขาก็ยังปกป้องนางอย่างแน่นหนาจนไร้ช่องโหว่ จึงไม่มีโอกาสให้ลงมือได้ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงจะลงมือกับซูหว่านไปนานแล้ว
ฮูหยินรองเมื่อเถียงไม่ออกก็ได้แต่ฝืนหัวเราะ นางยิ้มเยาะอย่างเย็นชาดูน่ากลัวยิ่งกว่าร้องไห้ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปที่นั่งของตนเอง
ตราบใดที่เจียงอวี้ยังอยู่ก็ไม่มีวันที่บุตรชายของนางจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อบุตรชายของนางมิอาจผงาดขึ้นมาได้ ตัวนางเองก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตในฐานะที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงและสถานะไปตลอดกาล ภายนอกดูเหมือนจะสูงส่งแต่ไม่ว่าไปที่ใดก็มีแต่ถูกหัวเราะเยาะ
ยกแรกซูหว่านก็เป็นฝ่ายคว้าชัยไปอย่างสมบูรณ์ คิดว่าจะเก่งกาจสักแค่ไหน คนที่ซ่อนความรู้สึกยินดีและโกรธเอาไว้ไม่ได้ จะมีพิษสงสักเท่าไหร่กันเชียว
หลังอาหารเย็น ซูหว่านกับแม่ซูก็ออกจากจวนเซียงอ๋อง ซึ่งมีเจียเฉิงเดินมาส่งด้วยตัวเอง
"พี่หญิงหวานหว่าน ถ้ามีเวลาว่างก็มาหาข้าบ่อยๆ นะ หรือไม่ก็ให้ข้าส่งเทียบเชิญไปหาเจ้า ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวที่ที่น่าสนใจ"
สถานที่ที่นางกล่าวว่าน่าสนใจนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสนามฝึกวิชาการต่อสู้ หรือไม่ก็สนามขี่ม้า
ซูหว่านรับคำนางด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโบกมือลา
“ได้สิ เจ้าส่งคนมาแจ้งข้าได้เลยนะ ข้าว่างเมื่อไหร่ก็จะมา เดือนหน้าพี่ใหญ่ของข้าจะแต่งงานแล้ว เจ้าอย่าลืมมาให้ได้นะ"
เจียเฉิงพยักหน้า นางชอบไปร่วมงานแต่งงานที่สุด เพราะมันสนุกสนานครึกครื้นดี
ซูหว่านใช้เวลาอยู่ที่จวนอ๋องเซียงมาทั้งวันก็ยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง นางจึงเอนตัวลงซบกับแขนของมารดาบนรถม้า
เมื่อแม่ซูเดินพ้นประตูจวนอ๋องเซียงมาได้ นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันที
"โอย วันนี้แม่เหนื่อยจริงๆ เลยนะ ทั้งชีวิตไม่เคยนั่งตัวตรงขนาดนี้มาก่อนเลย"
แม่ซูเป็นชาวชนบทแต่กำเนิด จึงเป็นคนเรียบง่ายและสบายๆ อยู่บ้านก็ใช้ชีวิตแบบที่รู้สึกสบายที่สุด
แต่เมื่อออกนอกบ้าน นางกลับต้องนั่งแค่ขอบเก้าอี้เพื่อแสดงถึงความสง่างาม
ทั้งยังต้องนั่งหลังตรงตลอดวัน มือก็ต้องวางในท่าที่เหมาะสม จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
"ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ถ้าได้เข้าร่วมบ่อยๆ ก็จะชินไปเอง" ซูหว่านจึงทำได้เพียงปลอบใจนาง
“ซูหว่านเอ๊ย ช่วงนี้ข้าเดินจนขาลากแล้วจริง ๆ เมืองหลวงนี่ไม่ธรรมดาเลย ใหญ่กว่าเซียงโจวตั้งสองเท่า แถมข้าวของก็แพงหูฉี่ไปหมด อยากได้ผักสดก็ต้องไปหาซื้อจากชาวบ้านที่อยู่นอกเมือง ตอนนี้ข้าเข้าใจเลยว่าตอนที่เจ้าเดินทางค้าขายไปทั่วทุกสารทิศ เจ้าเหนื่อยขนาดไหน”
ซูอวิ๋นนั่งอยู่ในห้องโถงพร้อมกับนวดขาตัวเองไม่หยุด
ตอนที่อยู่เซียงโจวมีซูหว่านคอยช่วยเหลือ เขาไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร แต่ตอนนี้ที่ต้องลงมือทำทั้งหมดด้วยตัวเอง ความเหน็ดเหนื่อยนั้นคือของจริง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูหว่านต้องเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ไปที่ไหนก็ต้องลำบากตรากตรำเพียงใด
เพื่อตระกูลซูนางทุ่มเทกายใจและเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ตอนนี้บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดไปนางก็ไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด เพียงเพื่อสร้างหลักประกันให้ตระกูลซู แบบนี้แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก
พูดได้แต่ว่าข้าชื่นชมในตัวนางจริงๆ ซูหว่านคือเทพธิดาของเขา เป็นน้องสาวที่เขาชื่นชมอย่างยิ่ง
ประโยคนี้เขาได้ยินซูหว่านพูดอยู่บ่อยครั้ง จึงนำมาใช้เป็นคำพูดของตน
"พี่สี่ ไหนข้าดูซิ ข้าว่าพี่คงร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง พี่เคยบ่นว่าจะฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ แต่สุดท้ายก็ดีแต่พูดไม่ยอมลงมือเสียที น่าเบื่อจริงๆ" ซูหว่านมองเขาด้วยแววตาดูแคลน ทำเอาซูอวิ๋นไปไม่เป็นและเถียงไม่ออกเลย
"ข้า...ข้ายุ่งจนไม่มีเวลาต่างหากเล่า" ซูอวิ๋นเริ่มหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...