ตอนแรกเปิดเพียงรอยแง้มเล็กๆ พอคนด้านในได้รับถุงเงินแล้ว ถึงค่อยเปิดประตูออกกว้าง
แต่ยังไม่อาจผ่านไปได้ง่ายๆ พี่ใหญ่ตระกูลเสิ่นยืนยิ้มสุภาพ แต่ก็พาคนมายืนขวางอยู่ตรงหน้าประตู
“น้องเขย หากวันนี้เจ้าปรารถนาจะรับตัวน้องสาวข้าไป ก็ต้องผ่านด่านทดสอบของพวกเราก่อน”
ซูจิ่งได้ยินดังนั้นก็ยกมือคารวะ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับพี่ใหญ่ของเสิ่นชิงหลี
“เชิญพี่ใหญ่ตั้งคำถามมาเถิด!” เขาเองก็เตรียมตัวมาพร้อมแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนั้นพี่ใหญ่ตระกูลเสิ่นก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป บรรดาหนุ่มนักปราชญ์ที่เตรียมมา ต่างหยิบกลอนออกมาให้ต่อบท ครึ่งแรกเป็นพวกเขาอ่าน ครึ่งหลังให้ซูจิ่งต่อ หากต่อได้ก็ถือว่าผ่านด่าน
ซูจิ่งเองก็เป็นถึงยอดนักปราชญ์ เรื่องเหล่านี้ย่อมมิใช่ปัญหา เขาตอบได้คล่องแคล่วราวกับพลิกฝ่ามือ
ฝ่ายเหล่าคุณหนูก็ตั้งคำถามบ้าง เช่น วันเดือนปีเกิดของเสิ่นชิงหลี นางโปรดปรานอาหารสิ่งใด ของว่างชนิดไหนที่ชอบทาน หรือว่าสามีที่ดีสมควรประพฤติตนเช่นไร ซูจิ่งล้วนตอบได้อย่างถูกต้องทั้งหมด
เจียงอวี้กับพรรคพวกที่ยืนข้างๆ กลับดูเก้กัง เพราะเหมือนว่าด่านทั้งหมดนั้น ซูจิ่งเพียงผู้เดียวก็จัดการได้หมด คนอื่นแทบไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ ได้แต่ยืนเป็นฉากหลังเท่านั้น
เขามักสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเวลาเดินไปในเมืองหลวง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของตน ผู้คนเพียงก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคือทายาทสืบสกุลแห่งจวนเจียงกั๋วกง
ไม่คาดคิดเลยว่า ทายาทเช่นเขาจะสนิทสนมกับเจ้ารองกรมถึงเพียงนี้ ถึงกับมาร่วมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานด้วย
เพียงแต่ชื่อเสียงเรื่องรูปลักษณ์อัปลักษณ์ของเจียงอวี้นั้นแพร่สะพัดไปทั่ว ผู้คนต่างลือกันว่าเขามีใบหน้าที่น่าเกลียดจึงไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้า ด้วยเหตุนี้แม้ฐานะสูงศักดิ์เพียงใด ก็ไม่มีคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงผู้ใดอยากแต่งด้วย ต่างก็วางท่าทีเย็นชาเสียมากกว่า
ด้านพี่ใหญ่ตระกูลเสิ่นนั้น ยิ่งพอใจกับฝีมือของซูจิ่ง ส่วนเสิ่นชิงหลีที่นั่งฟังอยู่ด้านใน ก็ไม่อาจห้ามรอยยิ้มขวยเขินที่แต้มบนใบหน้าได้
ด่านสุดท้ายคือการประลองยุทธ์ พี่ใหญ่ตระกูลเสิ่นเชิญแม่ทัพผู้หนึ่งมาท้าทาย ส่วนฝ่ายซูจิ่งส่งซูเฉินออกไปประมือ
นายทหารผู้นั้นก็เป็นสหายร่วมรบกับซูเฉิน ครั้นเห็นเขาก็รีบกล่าวขึ้นว่า
“แม่ทัพซู หากต้องประลองกันจริงๆ ข้าคงไม่อาจสู้ท่านได้ เราเพียงประลองพอเป็นพิธี สร้างบรรยากาศเท่านั้นก็พอเถิด!”
เขาย่อมรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย ในสนามรบซูเฉินได้รับสมญาว่ายมบาลบนดิน กล้าหาญชาญชัย สร้างผลงานความดีความชอบนับครั้งไม่ถ้วน ตนเองจะเอาอะไรไปสู้เล่า?
ได้แต่ตั้งใจว่าประลองพอหอมปากหอมคอ อย่าให้บรรยากาศเงียบเหงาก็พอ
ซูเฉินเองก็เข้าใจดีในข้อนี้ จึงเพียงยิ้ม พยักหน้า แล้วประสานมือคารวะ
“เช่นนั้นก็ออมมือด้วย!”
ทั้งสองก้าวออกไปยังลานกว้าง เริ่มประลองกัน ต่างแลกเปลี่ยนกระบวนท่าแบบพอเป็นพิธีมิได้เอาเป็นเอาตาย ทว่าฝีมือของแม่ทัพผู้นั้นก็ยังด้อยกว่าซูเฉินอยู่มากนัก

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...