ยามจะจากลา เจียงอวี้ประทับจุมพิตแผ่วเบาลงบนริมฝีปากของนาง ด้วยเกรงว่ากลิ่นสุราที่ติดกายจะทำให้นางรู้สึกไม่ดี เขาจึงมิได้ปล่อยให้จุมพิตนั้นเนิ่นนานนัก
เมื่อเขากลับมาถึงจวนกั๋วกง เจียงกั๋วกงเองก็เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารเช่นกัน และทันทีที่กลับมา ก็ได้เห็นบุตรชายของตนผู้หายตัวไปกว่าหนึ่งเดือนกลับมาในสภาพที่กลิ่นสุราคละคลุ้ง
เมื่อเจียงอวี้เห็นเขา ก็เอ่ยเรียกบุรุษผู้นั้นว่าท่านพ่ออย่างเห็นได้ยาก
ท่าทีเช่นนี้กลับทำให้เจียงกั๋วกงรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ทว่าเขายังคงแค่นเสียงอย่างเคร่งขรึมว่า
“ผู้ไม่รู้คงนึกว่าจวนกั๋วกงของข้าเป็นโรงเตี๊ยมกระมัง ข้างนอกนั่นต่างหากคือบ้านของเจ้า”
นับแต่เติบใหญ่มา ช่วงเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในจวนกั๋วกงนั้นนับครั้งได้
เจียงอวี้มิได้โต้เถียงกับเขา เพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินตามหลังเขาเข้าจวนไป
วันนี้เป็นวันมงคลสมรสของรองเจ้ากรมและบุตรสาวมหาบัณฑิตเสิ่น เจียงอวี้เป็นสหายร่วมค่ายเดียวกับซูเฉิน จึงคาดเดาได้ว่าเขานั้นไปดื่มสุรามงคลมา
สำหรับซูเฉินผู้นี้ เจียงกั๋วกงค่อนข้างพึงพอใจในตัวเขา เป็นคนสู้ไม่ถอย ทั้งกล้าหาญและมีไหวพริบ ก่อนหน้านี้ในค่ายทหารยังเคยตั้งใจจะให้เขามาเป็นรองแม่ทัพของตนด้วยซ้ำ
ซูเฉินเองก็เพราะคุ้มกันให้ตนล่าถอย จึงถูกทัพศัตรูจับตัวไปเป็นเชลย เขาติดค้างบุญคุณคนผู้นี้อยู่มาก วันนี้จวนสกุลซูมีงานมงคล เขาจึงคัดเลือกของขวัญล้ำค่าด้วยตนเองแล้วให้คนสนิทนำไปมอบให้เพื่อแสดงความสำคัญ
นอกเหนือจากงานพิธีที่เจาะจงแล้ว สำหรับงานเลี้ยงของเหล่าขุนนาง จวนกั๋วกงเพียงต้องส่งของขวัญไปให้ก็พอ โดยไม่จำเป็นต้องไปด้วยตนเอง เว้นแต่งานเลี้ยงของราชวงศ์ที่ต้องเข้าร่วมด้วยตัวเองเท่านั้น คุณค่าของของขวัญที่ส่งไปก็เป็นเครื่องแสดงถึงความสำคัญได้แล้ว แน่นอนว่าหากอยากจะไปเอง หรือส่งคนรุ่นเยาว์ในบ้านไปแทนก็ย่อมได้
ฮูหยินรองมีแซ่หนิง นามว่าหนิงเวย นางรออยู่ที่โถงกลางพร้อมสำรับอาหารที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อต้อนรับท่านกั๋วกงกลับมา
เจียงกั๋วกงมักจะกลับมาถึงจวนในยามค่ำเสมอ ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงทานมื้อเย็นกันช้าเป็นปกติ
นางพาลูกชายของตน เจียงเยี่ยน รอคอยอย่างว่าง่าย และไม่ลืมที่จะกำชับว่า
“ประเดี๋ยวเจ้าต้องมีไหวพริบหน่อย รีบตักน้ำแกงให้พ่อเจ้า แล้วเล่าให้เขาฟังถึงความคืบหน้าในการฝึกยุทธ์ของเจ้าในช่วงนี้”
ทว่าเจียงเยี่ยนกลับขานรับอย่างรำคาญใจ ทั้งยังโต้กลับว่า
“จะฝึกไปทำไมกัน ข้าไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่แล้ว อีกอย่าง ต่อให้บุตรชายของท่านแม่จะฝึกฝนเพียงใด ในสายตาของเขาก็มีเพียงบุตรชายคนนั้นคนเดียว ข้าจะฝึกไปเพื่ออันใดกัน?”
“ฝึกไปชั่วชีวิต ก็มีแต่จะต้องถูกผู้อื่นกดข่มอยู่ดี”
เจียงเยี่ยนปล่อยตามยถากรรมแล้ว หลายปีมานี้ท่านแม่ของเขาวางแผนให้เขามากมาย แต่แล้วอย่างไร เจียงอวี้ก็ยังคงสบายดีมิใช่หรือ?
“พูดจาเหลวไหล เจ้าเองก็เป็นบุตรชายของพ่อเจ้า ขอเพียงเจ้าตั้งใจฝึกฝน มีหรือที่พ่อเจ้าจะไม่เห็น?”
หนิงเวยรู้ดีว่าถึงแม้เจียงกั๋วกงจะไม่ใส่ใจพวกตนแม่ลูกเท่าใดนัก แต่เยี่ยนเอ๋อร์ก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของเขา เขาจะปล่อยปละละเลยได้จริงหรือ?
หากเจียงอวี้เกิดเป็นอะไรขึ้นมา สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องมีคนสืบทอดบรรดาศักดิ์มิใช่หรือ?
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงของมามาข้างกายนางก็ดังขึ้น
“ไปรับโบยสิบไม้เสีย!”
“เจ้าค่ะ” มามาโขกศีรษะอีกครั้งด้วยร่างกายที่สั่นเทา
สีหน้าของหนิงเวยย่ำแย่ถึงขีดสุด เดิมทีจวนกั๋วกงแห่งนี้ก็ไม่มีนายหญิงอยู่แล้ว เช่นนี้นางก็คือนายหญิงเพียงคนเดียวมิใช่หรือ? หลายปีมานี้ที่นางดูแลจัดการเรื่องราวในจวน ถึงไม่มีคุณความดีก็ย่อมมีคุณูปการ จะให้นางรับคำเรียกฮูหยินสักคำไม่ได้เชียวหรือ?
“ท่านพี่ ฟางมามาอายุมากแล้ว ทั้งยังเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายข้า ร่างกายของนางรับการโบยสิบไม้ไม่ไหวเป็นแน่เจ้าค่ะ”
หนิงเวยใช้ผ้าเช็ดหน้าซับที่หางตา ทำทีราวกับกำลังหลั่งน้ำตา ทั้งยังวิงวอนขอความเมตตาให้บ่าวรับใช้ ผู้ไม่รู้คงนึกว่านางเป็นคนจิตใจดีงามเพียงใด
“มิต้องพูดมาก หากไม่ตีก็ไม่หลาบจำ”
เมื่อเจียงกั๋วกงเอ่ยปากแล้ว ย่อมไม่มีทางคืนคำ หนิงเวยจึงทำได้เพียงยอมรามือ
นางเดินเข้ามาหมายจะนั่งลง แต่เจียงอวี้กลับหัวเราะเยาะขึ้นมา
“เดี๋ยวนี้อนุไม่รู้กฎเกณฑ์กันถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”
การกระทำของหนิงเวยชะงักงัน มือของเจียงกั๋วกงที่เพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมาก็พลอยหยุดชะงักไปด้วย แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา
เจียงเยี่ยนได้ยินดังนั้น จึงจ้องมองเจียงอวี้อย่างเดือดดาล

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตพลิกผัน ข้ากลายเป็นคุณหนูตัวปลอม
กดอ่านต่อบท444ไม่ได้ขึ้น erro...
ทำๆมกดอ่านไม่ได่ ขึ้น error...