ดอกหญ้าจึงตอบพี่สาวไป ตอนค่ำจะไปทานข้าวกับสีคราม
หลังจากสองคนพี่น้องคุยโทรศัพท์เสร็จ สีครามจึงถามไปว่า:“คุณกับคนที่บ้านคุณ มีความสัมพันธ์กันไม่ค่อยดีเหรอ?”
“ใช่ ไม่ดี”
ดอกหญ้าไม่ปิดบัง และไม่โกหก เธอพูดว่า:“ตอนฉันสิบขวบ พ่อแม่ฉันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ ญาติพี่น้องของพ่อฉัน และญาติของฝ่ายแม่ ไม่มีใครอยากดูแลพวกเราสองคนพี่น้องเลย”
“แต่พอได้เงินค่าชดเชยของพ่อแม่มา แต่ละคนก็มาแบ่งเงินไป พวกลุงป้าน้าไม่มีสิทธิ์มาแบ่งไปเลย พากันยุยงให้ปู่กับย่าออกหน้า พ่อฉันเป็นลูกคนที่สี่ ปกติปู่กับย่าของฉันไม่ค่อยรักเขาอยู่แล้ว จะรักพวกอากับลุงมากกว่า”
“พอเห็นว่าได้เงินคืนก้อนโต เพื่อเงินก้อนเล็กๆ นั้นแล้ว ตอนนั้นพวกเขาพูดว่า ต่อไปพวกเขาจะเลี้ยงดูปู่ย่าเองไม่ต้องให้เราสองคนมาออกเงินสักแดง แบ่งไปหกแสน และก็เซ็นสัญญาแล้วด้วย บ้านสองชั้นที่พ่อแม่ฉันเพิ่งสร้างก่อนเสีย ปู่กับย่าก็เข้าไปอยู่ บอกว่าพ่อแม่ฉันไม่อยู่แล้ว บ้านหลังนั้นก็เป็นของพวกเขา”
“บอกว่าเราสองคนพี่น้องเป็นผู้หญิง พอโตไปก็ต้องแต่งงานออกเรือน เอาบ้านที่ดิน อะไรแบบนั้นไปไม่ได้ ตอนนั้น ตอนนั้นพวกเรายังเด็ก และก็ไม่มีใครค้ำจุนพวกเราอีก บ้านก็เลยมีปู่กับย่าไปอยู่ เราสองคนพี่น้องกลับไปอยู่ตอนปิดเทอมใหญ่ แต่เรากลับโดนมองบน จ้องหน้า เหมือนพวกเรากลับไปแย่งบ้านของพวกเขา”
“พี่สาวฉันบอกว่า โฉนดของบ้านหลังนั้นเป็นชื่อพ่อแม่ฉัน รอให้คนแก่สองคนนั่นอายุร้อยปีแล้ว ค่อยกลับไปฟ้องเอาบ้านคืน ไม่ให้พวกอาๆ ลุงๆ เอาเปรียบได้”
สีครามพูด:“ถึงตอนนั้นถ้าฟ้องแล้วต้องการผม อยากให้ผมช่วย ก็บอกผม ผมรู้จักทนายเยอะ”
จีรภักดีกรุ๊ปของพวกเขามีฝ่ายกฎหมาย
ดอกหญ้ารู้สึกขอบคุณ:“ถึงตอนนั้นถ้าต้องการจริงๆ ค่อยให้คุณช่วย”
ปู่ย่าเธอน่าจะอยู่ไปอีกสองสามปีได้
ถ้าถึงตอนฟ้องร้องจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเธอกับสีครามยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ไหม?
“ครอบครัวฝ่ายแม่คุณเคยออกมาปกป้องพวกคุณบ้างไหม?”
โดยทั่วไปแล้วตากับยายจะรักลูกของลูกสาวมากกว่า
ดอกหญ้าพูดอย่างขมขื่น:“แม่ของฉันมีชีวิตที่ลำบาก ถูกรับเลี้ยงมา และยังถูกเปลี่ยนผู้ปกครองมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายก็ถูกตายายฉันรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ไม่ใช่ลูกแท้ๆ อยากให้พวกเขาพยายามอย่างสุดความสามารถคงเป็นไปไม่ได้ พวกเขาแค่คิดว่าเลี้ยงแม่ฉันจนโต ยังไม่ได้ดื่มด่ำความสุขสบายของแม่ฉัน แม่ฉันก็ตายเสียแล้ว พวกเขาขาดทุนมากพอแล้ว”
“ค่าชดเชยพวกเขาก็เอาไปสี่แสน เราสองคนพี่น้องเหลือแค่สองแสน มีใครบ้างที่จะนึกถึงพวกเรา?ใครบ้างที่จะค้ำจุนพวกเรา?เพื่อประโยชน์ของพวกเขาทั้งนั้น แต่ละคนกลัวว่าตัวเองจะเสียผลประโยชน์ ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่หมู่บ้านยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง ให้ตายก็ไม่ยอมเห็นด้วย เงินชดเชยก้อนนั้น เราสองคนพี่น้องอาจจะไม่ได้มาเลยก็ได้”
นึกถึงอดีต ดอกหญ้าก็หันหน้าหนี หน้าหันไปทางหน้าต่าง น้ำตาไหลออกมาจากหางตาของเธอ
เรื่องราวผ่านไปสิบห้าปีแล้ว เธอยังไม่อาจปล่อยวางได้
ว่ากันว่าญาติพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน ครอบครัวแม่เธอไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ เธอ จะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พ่อเธอคือเลือดเนื้อแท้ๆ ของตระกูลสหพันษา แต่บรรดาญาติพี่น้องกลับไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์นี้เลย
สักพัก ดอกหญ้าสงบอารมณ์ลงได้ เธอพูดไปนิ่งๆ:“ตอนนี้ย่าฉันป่วยแล้ว เป็นมะเร็งตับระยะต้น จะมาเข้าโรงพยาบาลในเมือง ลูกพี่ลูกน้องฉันเลยโทรหาฉัน ให้ฉันจัดการ”
“และยังให้ฉันออกค่ารักษาพยาบาลอีก เงินค่ารักษามะเร็ง ใครๆ ก็รู้ว่าแพงแค่ไหน และถึงฉันมี ฉันก็ไม่ออกแน่ เรื่องอะไรที่ฉันต้องออกด้วย ตอนนั้นพวกเราทำกับฉันสองคนพี่น้องซะแบบนั้น”
“อย่างมากฉันก็จะให้เงินเธอหนึ่งพันไปซื้ออาหารอร่อยๆ และก็จะไม่ให้เธออีก”
สีครามพูดอย่างแผ่วเบาว่า:“ถ้าหากไม่อยาก ก็ไม่ต้องให้สักแดงสิ คุณให้เงินไป พวกเขาก็ไม่รู้สึกขอบคุณคุณหรอก มีแต่จะบอกว่าคุณขี้เหนียว อกตัญญู คุณก็จะรู้สึกแย่เอง รู้ว่าเป็นเรื่องที่ทำไปก็ไร้ค่า ก็ไม่ต้องทำ”
“ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ตอนนั้นพวกเขาไม่มีเหตุผลก่อนเอง อย่าต้องสูญเสียตัวเองเพราะศีลธรรมของพวกเขา”
สีครามดูแลจีรภักดีกรุ๊ปอันใหญ่โต จึงใจแข็ง
สีครามไม่ได้ลงจากรถ เขาแค่ลดกระจกรถลง มองสถานการณ์ภายในร้านเล็กน้อย ได้ยินคำทักทายของแก้วตา เขาก็พยักหน้า ฉีกยิ้มไปอย่างยากลำบาก ถือว่าเป็นการตอบรับคำทักทายของแก้วตา
“คุณไปทำงานเถอะ ถึงบริษัทแล้ว ส่งข้อความหาฉัน”
“โอเค”
สีครามพยักหน้าให้หญิงสาว แล้วกดเลื่อนกระจกรถขึ้น ถอยรถ เลี้ยวรถ แล้วขับออกไปไกล
“รถไฟฟ้าเธอล่ะ?”
แก้วตาถามอย่างคลุมเครือ:“หรือว่าต่อไปสามีเธอจะมารับส่งเธอ?เห็นได้ชัดว่า พวกเธอสองคนสามีภรรยาเข้ากันได้ดีทีเดียว”
“อือ ก็ถือว่าเข้ากันได้ดี”
เวลาที่เขาไม่ทำให้เธอเหลืออด และเธอไม่ปะทะกับเขา สองสามีภรรยาก็เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว
“เมื่อคืนรถไฟฟ้าฉันไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆ ก็หยุดวิ่งกลางคัน ดีที่เจอลูกพี่ลูกน้องเธอ วีเรียกคนมาช่วยซ่อมให้ฉัน และเขาก็พาฉันกลับบ้าน คราวหน้าถ้าว่างจะเรียกเขามา ฉันจะเลี้ยงข้าวเขาหน่อย เธออยู่ด้วยล่ะ”
“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
“เรื่องเล็กน้อยแต่เขาก็ช่วยฉัน ต้องเลี้ยงข้าวเขา จะได้ไม่เป็นหนี้บุญคุณ”
แก้วตายังอยากจะพูดอะไรอีก คิดได้ว่าเพื่อนแต่งงานแล้ว ถึงแม้นั่นจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอ เพื่อนสนิทก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณนัก จึงพูดว่า:“ได้ เธอไปเมื่อไหร่ ฉันไปด้วยแน่ เดี๋ยวกินข้าวด้วย เรื่องที่ไม่ต้องออกเงิน ฉันยินดีจะไปอยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดอกหญ้าสีคราม