ญาธิดารู้สึกพอใจกับคำพูดแบบนี้ของอีธานมากๆ พยักหน้าเห็นด้วย
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน เอลล่ายังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ภายในใจ มองพี่ชายพร้อมกับพูดถามขึ้นด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะรักพวกเราตลอดไปจริงๆ ไหม?”
ภวินท์เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็ได้ยินคำถามนี้เข้าพอดี เขาหันสายตามองไปที่ลูกสาว ตรงเข้าไปสะกิดจมูกของเธอ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน “นอกจากแม่แล้ว พวกลูกเป็นคนที่สำคัญที่สุดของพ่อ”
เอลล่าพอได้ฟังเขาพูดคำพูดนี้ออกมาด้วยตัวเอง ใบหน้าจ้ำม่ำก็ยิ้มแย้มขึ้นมาทันที ไม่นานก็ลืมเรื่องนี้ไปจนหมดแล้ว
พอเห็นลูกทั้งสองคนไม่ได้ถูกเรื่องนี้มารุมเร้าเอาไว้อีกแล้ว ความเป็นกังวลใจของเธอจึงปล่อยวางลงได้ หันไปมองภวินท์พร้อมกับพูดถามขึ้น “บริษัทได้มีการคิดหาวิธีในการจัดการกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนแล้วหรือยัง?”
“นี่คือเอกสาร” เขายื่นแผนประชาสัมพันธ์ที่พิมพ์เสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้น “เดิมทีวางแผนที่จะดำเนินการตามแผนงานฉบับนี้ในช่วงนี้นี่แหละ แต่ดูแล้วคงต้องเลื่อนออกไปอีกสองสามวัน”
เธอได้ฟังแบบนั้นก็เด้งขึ้นมาจากโซฟาทันที พูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ไม่ได้นะ ดำเนินการตามแผนประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ตั้งแต่วันมะรืนเลยจะดีที่สุด เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในครั้งนี้ยิ่งจัดการให้เร็วเท่าไรยิ่งดี”
สบกับสายตาที่มองสำรวจของภวินท์ เธอก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนในวันนี้ให้กับเขาฟังไปจนหมด จากนั้นก็พูดพึมพำออกมาเบาๆ “อีธานไม่มีทางเชื่อคำพูดพวกนี้แน่นอน แต่เอลล่าจะต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ”
จู่ๆ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็กดต่ำลง อากาศเริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้น เธอถึงได้เงยขึ้นมามองสำรวจภวินท์ สิ่งที่เห็นเข้ามาในตาคือสีหน้าที่เย็นยะเยือกของเขา
เธอกำลังคิดที่จะพูดโน้มน้าวภวินท์ ไม่คิดว่าเขาจะลุกขึ้นโทรศัพท์ไปหาพยัคฆ์ก่อน “ไปแจ้งกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้ทำงานล่วงเวลาเพื่อแก้ไขแผนการประชาสัมพันธ์ วันมะรืนจะต้องดำเนินการตามปกติ”
ยังดีที่ต่อไปเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ อีธานและเอลล่าไม่ต้องไปเรียนหนังสือ
การถ่ายทำภาพยนตร์ปีใหม่ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว บทบาทของเหล่านักแสดงสมทบก็ปิดกล้องอย่างเป็นทางการแล้ว จำเป็นต้องให้นักแสดงทุกคนไปถ่ายช็อตทางเลือกเสริมเพิ่มเติมที่กองถ่าย
เด็กทั้งสองคนเล่นที่กองถ่ายอย่างมีความสุขสนุกสนาน ค่อยๆ ลืมเรื่องที่ไม่รื่นรมย์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนไป กลับมาจากกองถ่ายก็โหวกเหวกโวยวายว่าจะไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทางด้านของญาธิดาก็ได้รับสายจากคุณครูแจ้งว่าวันจันทร์ในชั้นเรียนจะจัดกิจกรรมพ่อแม่ลูกขึ้น
เธอตอบตกลงคุณครู สายตาหันมองไปที่เอกสารแผนการประชาสัมพันธ์ที่วางอยู่บนโต๊ะ บนหัวเอกสารเขียนเอาไว้สะดุดตาว่า “บริจาคกิจกรรมพ่อแม่ลูกของโรงเรียนประถม”
เช้าวันจันทร์ รถไมบัคที่คุ้นเคยมาจอดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าของโรงเรียนประถม ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างพากันหันมามอง เอียงคอไปพูดคุยซุบซิบกันว่าเป็นรถของใคร
ประตูเปิดออกอัตโนมัติ ภวินท์เดินลงมาจากรถด้วยท่าทางสง่างาม ก่อนจะอ้อมไปเปิดประตูของที่นั่งข้างคนขับอีกฝั่งหนึ่ง ดูแลคุ้มกันญาธิดาลงมาจากรถ
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะเย็นชา แต่การกระทำกลับระมัดระวังสุดๆ ราวกับว่ากำลังปกป้องคุ้มกันอัญมณีล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นพวกเขาสี่คนพ่อแม่ลูกปรากฏตัวออกมา สีหน้าของเหล่าผู้ปกครองสองสามคนในนั้นก็ดูแย่ขึ้นมาทันที ราวกับว่านึกถึงภาพภายในห้องทำงานก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้
แม่พอลไม่ได้สนใจอะไรมากมาย เดินตรงไปหาทั้งสองคนอย่างหน้าตาเฉย ตีสนิทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุณญาธิดา เรื่องก่อนหน้านี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันกลับไปสั่งสอนพอลที่บ้านเรียบร้อยแล้ว หวังว่าคุณที่เป็นผู้ใหญ่จะไม่ถือสาเอาความอะไรกับเด็กนะคะ อย่ามาถือสาอะไรกับคนธรรมดาทั่วไปแบบฉันเลย”
ญาธิดาได้ยินแบบนั้นก็ทำได้แค่ยิ้มเบาๆ “ก็เหมือนกับที่คุณพูดเอาไว้ เด็กๆ เล่นหยอกล้อกันมันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ฉันไม่ถือสาเอาความอะไรกับเด็กหรอกค่ะ”
ความหมายของคำพูดนี้ เกรงว่าจะมีแค่คนแบบแม่พอลเท่านั้นที่จงใจทำให้เด็กลำบากใจ
แม่พอลมองภวินท์อยู่เงียบๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดูไม่ดี พยักหน้ายอมรับคำพูดของญาธิดาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
ในตาของภวินท์มีเพียงแค่ญาธิดา ยังคงจูงมือของเธอพร้อมกับพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
ผู้ชายที่สวมชุดสูทรองเท้าหนังมาโดยตลอดวันนี้สวมชุดกีฬาสีเทา ญาธิดาก็ใส่เสื้อกันหนาวหลวมๆ กับกางเกงขาสั้น เสื้อผ้าของทั้งสองคนสีคล้ายกันมากๆ ดูแล้วเหมือนกับชุดคู่รัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...