ดวงชีวันพสุธา นิยาย บท 12

ซือห้าวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หมอยอดฝีมือจะมีสูตรลับเฉพาะหลายอย่างเก็บซ่อนเอาไว้ แต่ยาที่เหยียนหมิงโร่ปรุงออกมานั้นแปลกประหลาดเกินไป หนึ่งในนั้น หมอสวีพอจะแยกแยะออกมาได้ว่ามีตานเซินและซานซีเป็นส่วนผสมอยู่ ส่วนที่เหลืออีกสองชนิด นอกจะจะมีรสขม ก็แทบจะไม่มีสีและรสชาติอื่นเลย ไม่สามารถบอกได้ว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง (หมิงโร่ : ยาของฉันเป็นยาแผนปัจจุบัน อยากรู้ส่วนผสมต้องส่งไปตรวจที่ห้องทดลอง อาศัยหมอแผนโบราณอย่างหมอสวี ไม่มีทางวิเคราะห์ออกมาได้แน่นอน หึ ๆ)

หมอสวีนำสมุนไพรแต่ละชนิดมาชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้ง แล้วเปรียบเทียบกับน้ำหนักที่ส่งไปก่อนหน้านี้ คำนวณดูแต่ละอย่าง ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็หันไปตอบด้วยสีหน้าขมขื่น : “ทูลท่านอ๋อง สมุนไพรทุกชนิดพระชายาล้วนนำไปใช้งาน แต่เมื่อดูจากชนิดและปริมาณแล้ว ไม่สามารถปรุงเป็นยาออกมาได้เลย”

ซือห้าวเฉินไม่รู้สึกผิดหวังมากนัก อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ไร้รับการฝึกฝนมาจากหมอเทวดา หากสูตรยาถูกเปิดเผยได้ง่าย ๆ เช่นนั้นต่างหากจึงถือว่าไม่ปกติ : “ส่งยาพวกนี้กลับไป ห้ามให้นางมองออกเด็ดขาด”

“พ่ะย่ะค่ะ” เงาดำนั้นแบกยาถึงใหญ่กลับเข้าไปในเรือนไผ่อีกครั้ง แล้วค่อย ๆ จัดวางสมุนไพรแต่ละห่อกลับเข้าที่ดังเดิม แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อย มีเสียง “เอ้กอีเอ้กเอ๊ก” ดังก้องกังวาน ปลุกหมิงโร่ให้ตื่นขึ้น เธอลืมตาแล้วจ้องมองเพดานนิ่ง อยากที่จะนอนหลับต่อ แต่เสียงเอ้กอีเอ้กเอ๊กนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เธอพลิกตัวลงจากเตียง แล้วเดินตามเสียงไปยังลานด้านหลัง เห็นไก่สีแดงตัวใหญ่ยืนชูคออยู่บนรั้วของสวนผัก เมื่อเห็นหมิงโร่ก็แสดงท่าทีเย้ยหยัน และส่งเสียงร้องดังขึ้น

หมิงโร่ลูบหน้าผาก แทบอยากจะบีบคอไก่ตัวนี้ให้ตายไปซะ

เมื่อกลับไปถึงห้องก็นอนไม่หลับแล้ว หมิงโร่จึงวิ่งไปรอบ ๆ ลาน เพียงแต่ร่างกายนี้ไม่เคยผ่านการออกกำลังมาก่อน วิ่งไปเพียงไม่กี่รอบก็เหนื่อยหอบ หมิงโร่ในชาติก่อน วิ่งห้ากิโลเมตรได้เหมือนวิ่งเล่น เมื่อเกิดช่องว่างทางความรู้สึก ทำให้หมิงโร่รู้สึกว่าไก่ตัวนี้ดูขวางหูขวางตายิ่งขึ้น

เมื่อจือซูสังเกตเห็นว่าประตูห้องนอนของพระชายาเปิดแล้ว ก็รับเดินเข้าไปรับใช้ แต่กลับพบว่าภายในห้องว่างเปล่า จึงเดินตามหามาจนถึงลานด้านหลัง : “พระชายาเพคะ นี่พระองค์......”

“จือซู เที่ยงวันนี้ พวกเรากินไก่ผัดกันเถอะ” หมิงโร่จ้องไก่สีแดงตาเขม็ง

“พระ......พระชายา หากอยากเสวยเนื้อไก่ เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปบอกห้องครัวให้เพคะ” จือซูพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ไก่ตัวนี้ เสวยไม่ได้เพคะ”

“อะไรนะ ?” หางเสียงของหมิงโร่สูงขึ้น สร้างความกดดันที่ไม่อาจปฏิเสธได้

“คือว่า......คือว่าไก่ตัวนี้เคยใช้เข้าพิธีแต่งงานกับพระองค์แทนท่านอ๋องเพคะ......” จือซูสังเกตสีหน้าของพระชายาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าพระชายาไม่แสดงท่าทีโมโห จึงพูดต่อว่า “จางกงกงบอกว่า ต้องเลี้ยงดูให้ดี ห้ามทำร้ายมันเด็ดขาด”

“อ้อ......” เมื่อได้ยินที่มาที่ไปของไก่สีแดง หมิงโร่กลับไม่รู้สึกโกรธ อย่างไรเสียคนที่เข้าพิธีแต่งงานในตอนนั้นก็คือร่างเดิม ส่วนจะเป็นไก่ เป็นสุนัข หรือเป็นซือห้าวเฉิน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ แต่เมื่อได้ยินชื่อของ “จางกงกง” กลับรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ

ในสมองของเธอ ปรากฏภาพมือที่ผอมแห้งยกหมอนลายครามขึ้น แล้วทุบลงที่ท้ายทอยของนางอย่างแรง หมิงโร่ตกอยู่ในภวังค์ ถึงแม้จางกงกงผู้นี้จะได้รับคำสั่งจากผู้อื่น แต่ก็ถือเป็นฆาตกรที่ฆ่าร่างเดิม ความแค้นนี้ จะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน

“พระชายาเพคะ ให้หม่อมฉันช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้พระองค์นะเพคะ” เมื่อจือซูเห็นพระชายาจ้องไก่ตัวนั้นตาเขม็ง ก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา

“ดี”

เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จ หมิงโร่ก็พาจือซูออกจากจวน ขนมธรรมเนียมของตงเหิงนับได้ว่าเปิดกว้าง ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานสาวใช้ที่ยังไม่ออกเรือน หากต้องการออกไปด้านนอกจะต้องได้รับอนุญาตจากนายหญิงเสียก่อน ส่วนนายหญิงหากต้องการออกไปด้านนอก ขอเพียงมีสาวใช้คอยติดตามไปด้วยก็พอ

รถม้าหยุดลงที่ประตูร้านขายเสื้อผ้า จือซูเอ่ยเตือนเบา ๆ : “พระชายาเพคะ ถึงแล้วเพคะ”

“อืม” หมิงโร่ลืมตาขึ้น มีผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอยู่ เธอมาด้วยการแต่งงาน ต่อไปหากคิดจะออกจากจวนอ๋อง คงต้องใช้ “การตายอย่างกะทันหัน” เท่านั้น ดังนั้นยิ่งมีคนเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี

จือซูประคองหมิงโร่เข้าไปในร้านเสื้อผ้า หมิงโร่เลือกเสื้อคอปกสีฟ้า กับรองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งตามขนาดตัวของเธอ และถือโอกาสเลือกชุดคนรับใช้ให้จือซูอีกหนึ่งชุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงชีวันพสุธา