เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 124

ถูกต้อง ผมถูกตัดไปแล้ว ถึงแม้จะตัดได้ปกปิดมากแต่เพราะเด็กน้อยเดิมทีมีผมน้อย ดังนั้นจึงมองออก เธอเงยหน้ามองครูพี่เลี้ยงแล้วถามขึ้น “มีใครทำอะไรผมของเด็กไหม?”

“เปล่านะคะ” ครูพี่เลี้ยงเดินไปอย่างสงสัย มองสำรวจเด็กน้อยในเปลแล้วถามขึ้น “ผมเด็กเป็นอะไรเหรอคะ?”

ไป๋ยิ่งอันได้สติกลับมา แล้วตอบอย่างลวกๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าผมของเด็กน้อยเหมือนเปลี่ยนไป”

ครูพี่เลี้ยงมองแล้วมองอีกก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไรแตกต่างนะคะ”

“อืม ฉันอาจจะมองผิดไป” ไป๋ยิ่งอันแทบทนไม่ไหวพุ่งเข้าหาเธอแล้วพูดขึ้น “เธอตั้งใจดูแลเด็กให้ดี ฉันกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”

“ค่ะ นายหญิงน้อย” ครูพี่เลี้ยงพยักหน้า

ไป๋ยิ่งอันทรงตัวด้วยความยากลำบาก ก้าวเท้าเดินกลับห้องตัวเองไป ฝีเท้าเธอเบาจนแทบไม่สามารถพยุงร่างตัวเองได้

กลับไปถึงห้องนอน เธอปิดประตูห้องอย่างง่ายดาย ร่างกายพิงหลังประตู สองขาอ่อนแรงสุดท้ายก็ไถลลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

เห็นได้ชัดว่าผมเด็กถูกตัดด้วยกรรไกร คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่เธอที่หวาดผวาอยู่ตลอดเวลากลัวว่าผู่เหลียนเหยาจะวางแผนร้ายอะไร จึงค่อนข้างให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของเด็กอยู่ตลอด แค่แวบเดียวก็มองออกอย่างแน่นอน

ตามประเพณีดั้งเดิม เด็กห้ามตัดผมเป็นเวลาร้อยวัน อาจจะไม่ใช่คนตระกูลหนานกงเป็นคนตัด และผมเด็กก็สั้นขนาดนั้น มันไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะตัด

วันนี้ตอนเช้าผู่เหลียนเหยาอาสาช่วยดูแลลูกให้เธอ ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเป็นคนตัดผมแน่ๆ! ต้องเป็นเธอแน่!

แต่เธอตัดผมเด็กออกไป……ต้องเอาไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่น่ามีอย่างอื่นแล้ว!

ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี?

เธอยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งตื่นตระหนกก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี หลังจากนั้นสักพัก เธอได้สตินิดหน่อยจากความตื่นตระหนก เริ่มคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา จากนั้นก็โทรหาสวีหย่าหรง

ไม่นานสวีหย่าหรงปลายสายโทรศัพท์ก็เอ่ยปาก ไป๋ยิ่งอันเอ่ยปากพูดอย่างกังวล “แม่ แม่รีบมาช่วยฉันหน่อย……”

ทุกวันนี้ สิ่งที่สวีหย่าหรงกลัวมากที่สุดคือรับสายขอความช่วยเหลือจากไป๋ยิ่งอัน เพราะมันบ่งบอกว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้น หลังจากได้ยินเสียงขอร้องของเธอ หัวใจเธอก็บีบรัดทันที รีบวิ่งออกมา “เกิดอะไรขึ้น? เรื่องเมื่อคืนไม่สำเร็จเหรอ?”

ไป๋ยิ่งอันรีบเช็ดน้ำตา แม้แต่เสียงก็สั่นสะท้าน “แม่ ครั้งนี้ฉันจบแล้ว ผู่เหลียนเหยานั่นมันน่ารังเกียจจริงๆ เธอ……เธอ……”

“เธอทำลายเรื่องดีๆ ของลูกเมื่อคืนเหรอ?” เสียงสวีหย่าหรงเย็นชาขึ้น

“เธอยิ่งกว่าทำลายเรื่องดีๆ ของฉันเมื่อคืนอีก วันนี้เธอยังตัดผมของเด็กไป แม่ แม่ว่าเธอจะเอาผมเด็กกับผมฉันไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาลไหม? เธอสงสัยฉันตลอดเลยใช่ไหม”

“ยิ่งอัน ลูกอย่าเพิ่งตื่นตระหนก”

“ฉันจะไม่ตื่นตระหนกได้ยังไง ถ้าผมเด็กกับผมฉันไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน งั้นฉันก็จบเห่แล้วสิ? คุณผู้หญิงกับหนานกงเฉินก็จะต้องรู้ความลับของพวกเรา” แค่นึกว่าถูกคนตระกูลหนานกงรู้ความลับนี้เข้า ไป๋ยิ่งอันก็กลัวจนสีหน้าซีดเซียว

เธอคิดว่าตัวเองแค่เข้ามาในตระกูลหนานกง แม้ว่าแผนจะสำเร็จแล้ว ก็ไม่คิดว่าในตระกูลหนานกงจะมีผู้หญิงจอมวางแผนอย่างผู่เหลียนเหยา

สวีหย่าหรงคิดแล้วถามขึ้น “ตอนนี้ผู่เหลียนเหยาเธออยู่ที่ไหน?”

“เมื่อเช้าแกล้งเป็นใจดีช่วยฉันดูเด็ก ตัดผมไปแล้วตอนนี้ออกไปข้างนอก บอกว่ามีธุระต้องไป เดาว่าไปโรงพยาบาล” ไป๋ยิ่งอันยังมีท่าทางไม่มีความเห็นสักนิด เวลาเจอปัญหาก็แค่ถามสวีหย่าหรงว่าควรทำอย่างไร

“งั้นแสดงว่าตอนนี้เธอเพิ่งไปโรงพยาบาลถูกไหม?”

“อืม”

สวีหย่าหรงครุ่นคิดสักพัก ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ยิ่งอัน ลูกฟังนะ วันนี้เธอแค่เอาผมไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาล และปกติโรงพยาบาลต้องใช้เวลาสามวันถึงจะได้ผลสรุป ในกรณีเร่งด่วนอย่างน้อยก็ใช้เวลาสองวัน ซึ่งพูดอีกอย่างก็คือเธอต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวันไปเอารายงานการตรวจดีเอ็นเอ”

“แต่ถ้าสองวันต่อมาเธอได้รับรายงานการตรวจดีเอ็นเอแล้ว ฉันก็จบเห่แล้วใช่ไหม?” ไป๋ยิ่งอันพูดพร้อมน้ำตาไหล

“ดังนั้นตอนนี้ลูกต้องทำหนึ่งเรื่อง”

“เรื่องอะไร?”

น้ำเสียงสวีหย่าหรงมืดครึ้ม “ให้เธอได้รับรายงานการตรวจดีเอ็นเอแล้วตายโดยไม่มีหลักฐาน”

“หมายความว่าไง?”

“ตอนนี้ รีบ……ทำให้เด็กหมดลมหายใจตาย” สวีหย่าหรงแทบจะเปล่งประโยคนี้ออกมาทีละคำ

และเมื่อไป๋ยิ่งอันได้ยินก็ตะลึงทันที นานสักพักถึงได้กระซิบทุ้มต่ำ “แม่ นี่แม่ล้อเล่นอะไรอ่ะ?”

“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” สวีหย่าหรงพูด “ถ้าลูกไม่ทำให้เด็กหมดลมหายใจตอนนี้ อีกสองสามวันลูกก็ตาย และตระกูลไป๋ของเราก็จะจัดงานศพให้ลูก หรือลูกอยากให้พวกเราสามคนโดนฝังเพราะเด็กที่ป่วยคนหนึ่งเหรอ”

“ฉันไม่ยอมแน่ๆ แต่……” ไป๋ยิ่งอันส่ายหน้า น้ำตาไหลเหมือนฝน “แม่ แบบนี้มันโหดร้ายไปแล้ว ฉันทำไม่ลงอ่ะ……”

ถึงเด็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกเธอ ถึงจะเกลียดชังทุกครั้งที่เห็นเขา แต่อย่างไรแล้วก็คือชีวิตมนุษย์ ถ้าทำให้เขาขาดอากาศตาย ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็กลายเป็นฆาตกรไม่ใช่เหรอ?

เธอทำไม่ได้ และทำไม่ลงเลย

แต่เสียงเตือนของสวีหย่าหรงดังก้องข้างหู “ลูกทำไม่ลงก็ต้องทำ ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาว่าลูกจะได้เป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงหรือไม่ แต่เพื่อรักษาชีวิต ลูกเข้าใจไหม?”

“ฉันไม่อยาก……ฉันทำไม่ลง……”

“ยิ่งอัน ลูกฟังแม่นะ” สวีหย่าหรงรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าเธอ “เด็กคนนี้ไม่มีห้องหัวใจ เขาไม่สามารถมีชีวิตได้อยู่แล้ว หมอบอกว่าเขามีอายุมากสุดได้แค่หนึ่งเดือนไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เขาดื่มนมไม่ได้ หายใจไม่ออก ทุกนาทีของชีวิตเขาล้วนเจ็บปวด นี่ลูกไม่ได้ทำร้ายเขา แต่ช่วยเขา ช่วยเขาให้หลุดพ้นชีวิตที่เจ็บปวดเข้าใจไหม?”

“เขาไม่โทษลูกหรอก ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษแม่แท้ๆ ของเขาไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงยัยชั้นต่ำนั่นพาเขามายังโลกใบนี้ ลูกเข้าใจหรือยัง? นี่ลูกกำลังช่วยเขา ไม่ใช่ทำร้ายเขา”

“ฉัน……ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างอึดอัด

สวีหย่าหรงหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดขึ้น “ยิ่งอัน ปล่อยให้มีชีวิต ชีวิตตระกูลไป๋ของเราตอนนี้อยู่ในกำมือลูก แม่เชื่อว่าลูกต้องตั้งใจใช่ไหม?”

ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าอย่างฟูมฟาย และไม่สนว่าสวีหย่าหรงจะเห็นหรือไม่ จากนั้นก็วางสายไป

หลังจากวางสาย เธอก็นั่งบนพื้นเป็นเวลานานเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง แต่ในใจก็ไม่สามารถสงบลงได้

ถึงแม้ว่าเดิมทีเด็กคนนี้จะป่วยไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ตัวเองทำให้เขาขาดอากาศตายคือช่วยเขาให้หลุดพ้นความเจ็บปวดตั้งแต่เนิ่นๆ แต่อย่างไรแล้วนี่มันก็ฆ่าคน เธอต้องใจเย็น ต้องกล้าพอที่จะเดินออกไปจากห้องนี้

ในตอนนี้ เธอรู้สึกเสียใจนิดหน่อยกับการตัดสินใจแรกของเธอ ไม่ยอมเป็นนายหญิงน้อยหลินดีๆ อยากมาเป็นนายหญิงน้อยหนานกง สรุปคือน้ำของที่นี่ลึกกว่าตระกูลหลินมาก เธอไม่สามารถควบคุมมันได้เลย

แต่เสียใจไปมันจะไปมีประโยชน์อะไร? เธอฝืนทำมาแล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว

ตอนนี้เธอทำได้แค่ขบฟัน เดินตามถนนสายนี้อย่างไร้ความปรานี ไม่อย่างนั้นก็มีแค่ทางตัน!

นั่งอยู่ที่พื้นเป็นเวลานาน สุดท้ายไป๋ยิ่งอันก็กู้อารมณ์บนใบหน้ากลับมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินไปที่ห้องเด็กน้อย

ครูพี่เลี้ยงเห็นเธอกลับมา ก็ทักอย่างสุภาพ

ไป๋ยิ่งอันตอบ ‘อืม’ มองสำรวจเด็กในเปลแล้วถามขึ้น “เมื่อกี้เด็กได้กินนมหรือยัง?”

“กินสิบมิลลิลิตรค่ะ แต่อาเจียนออกมาครึ่งหนึ่ง” ครูพี่เลี้ยงพูด

“เธอไปชงนมมา ฉันจะป้อนเขาเอง” เธอเงยหน้ายิ้มขมขื่นให้กับครูพี่เลี้ยง “บางทีเด็กน้อยอาจจะอยากให้แม่ป้อน”

“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ครูพี่เลี้ยงก้าวเท้าเดินไปที่ประตู

หลังจากครูพี่เลี้ยงไป ภายในห้องนอนก็เงียบในพริบตา เงียบจนได้ยินเสียงหายใจถี่ของเด็กน้อย ความเงียบที่อธิบายไม่ได้นี้ทำให้ไป๋ยิ่งอันที่กว่าจะสงบลงเกิดความตื่นตระหนกในใจอีกครั้ง เธอหายใจเข้าลึกๆ ก้มตัวลงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาจากเปล

เธอเริ่มมองสำรวจเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าเล็กๆ ริมฝีปากเล็กๆ จมูกเล็กจริงๆ ……

“เด็กน้อย เธออย่าโทษฉันนะ และอย่าเกลียดฉันด้วย……” เธอลูบเด็กน้อยด้วยฝ่ามือที่สั่นเทา พึมพำทั้งน้ำตา “ได้โปรดเชื่อใจฉัน ถ้าเธอไม่ได้ป่วย ฉันไม่ทำแบบนี้หรอก เด็กน้อย……ทุกวันนี้เธอทุกข์ทรมาน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่จะทำให้เธอเป็นอิสระในไม่ช้า บนสวรรค์ไม่มีโรคภัยไข้ใจ ชาติหน้าต้องเป็นเด็กน้อยที่แข็งแรงและมีความสุขนะ เติบโตอย่างแข็งแรงละมีความสุข……”

น้ำตาไป๋ยิ่งอันไหลออกมา ให้อภัยที่เธอทำตัวไม่ดีด้วย ไม่เคยฆ่าชีวิตใครเหมือนตอนนี้มาก่อนเลย นับประสาอะไรกับเด็กเพิ่งเกิดได้ไม่นาน

ครูพี่เลี้ยงชงนมออกมาจากห้องครัว เจอคุณผู้หญิงตื่นจากการนอนพักเที่ยงพอดี เธอหยุดฝีเท้าแล้วทักอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิง”

คุณผู้หญิงมองสำรวจนมที่ชงเสร็จแล้วในมือเธอแล้วถามขึ้น “เด็กไม่ยอมกินไม่ใช่เหรอ?”

“นายหญิงน้อยบอกว่าเธออยากป้อนนมด้วยตัวเองค่ะ” ครูพี่เลี้ยงยิ้มเล็กน้อยพูดขึ้น “บางทีนมที่แม่ป้อน เด็กอาจจะอยากดื่มสักหน่อย”

“เด็กอยากอาหารน้อยมาก กินแล้วก็ชอบอ้วก ถ้าสำลักอีกจะทำยังไง?” คุณผู้หญิงพูด “รออีกสักพักก่อน เด็กหิวแล้วค่อยป้อน”

พี่เหอส่งสายตาให้ครูพี่เลี้ยง “ไป เอานมไปเท”

ในบ้านนี้คำพูดของคุณผู้หญิงเป็นคำสั่งเด็ดขาด ครูพี่เลี้ยงไม่กล้าพูดอะไรมากอยู่แล้ว เดินกลับไปที่ห้องครัวอย่างเชื่อฟังแล้วเทนมที่ชงเสร็จแล้วทิ้งในอ่างล้างจาน

หลังจากออกมาจากห้องครัว เห็นคุณผู้หญิงยังยืนอยู่ที่เดิม ครูพี่เลี้ยงก็ก้มหน้า “คุณผู้หญิง ฉันไปก่อนนะคะ”

“ไปเถอะ ดูแลเด็กให้ดี” พี่เหอพูด

“แน่นอนค่ะ” ครูพี่เลี้ยงตอบ กำลังจะขึ้นไปชั้นบน ชั้นบนจู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมดังผ่านมา

ทั้งสามคนต่างอึ้ง หลังจากมองหน้ากัน พี่เหอก็ถามอย่างกังวล “นายหญิงน้อยเธอเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่รู้ค่ะ เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย” พี่เหอวิ่งนำขึ้นไปข้างบน คุณผู้หญิงรีบตามขึ้นไปด้วยการช่วยเหลือจากพี่เหอ

เมื่อพวกเธอมาถึงห้องเด็กน้อย เห็นไป๋ยิ่งอันอุ้มเด็กนั่งอยู่บนพื้น กรีดร้องฟูมฟายน้ำตาเต็มหน้า “ลูก ลูกของฉัน……คุณหมอหวง! คุณหมอหวงอยู่ที่ไหน?!”

เรื่องราวแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง คุณผู้หญิงตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบวางเด็กลง! เธออุ้มแน่นแบบนั้นอยากบีบคอเธอใช่ไหม?”

ครูพี่เลี้ยงรีบโทรหาคุณหมอหวง พี่เหอก็เดินเข้ามาแกะมือเธอแล้วพูดเร่งเร้า “นายหญิงน้อย รีบวางเด็กกลับไปที่เตียง รีบปล่อยมือ!”

“ลูกฉันหมดลมหายใจไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่มีชีวิตต่อไปได้จริงๆ!” ไป๋ยิ่งอันร้องไห้เสียงดังด้วยความโศกเศร้า แล้วชี้ไปที่ครูพี่เลี้ยง “ทำไมเด็กหมดลมหายใจแล้วเธอไม่รู้? ทำไมเธอประมาทแบบนี้! คืนลูกฉัน……!”

“ฉัน……นายหญิงน้อย เมื่อกี้ฉันดูเด็กยังดีอยู่เลย……” ครูพี่เลี้ยงตื่นตระหนกแล้ว ส่ายหน้าโบกมือไม่หยุด จู่ๆ ก็ถูกให้แบกรับข้อหาหนักขนาดนี้ เธอจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร?

“ฉันก็คิดว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ แต่เธอดูเขาตอนนี้สิ……เธอดูเขาเอง……”

“นายหญิงน้อย คุณเอาเด็กวางลงเตียงก่อน ขอร้องล่ะ” ครูพี่เลี้ยงเดินเข้ามา ช่วยพี่เหอกระชากเด็กออกจากอ้อมแขนไป๋ยิ่งอันกลับมาที่เตียง

สีหน้าเด็กบนเปลเป็นสีม่วง ไม่มีลมหายใจแล้ว

“อ่า……ทำไมเป็นแบบนี้? เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย เขายังดื่มนม……” ครูพี่เลี้ยงก็ตกใจมาก รีบหยิบถุงออกซิเจนมาแขวนไว้ที่หน้าเด็ก

ไป๋ยิ่งอันกลับผลักเธอออกไปจากข้างเตียง แล้วร้องลั่น “ตอนนี้แขวนไปจะไปมีประโยชน์อะไร? เมื่อกี้ทำไมไม่แขวน? ทำไมอ่ะ……!”

“ฉัน……ฉันไม่รู้……เมื่อกี้เด็กยังหายใจยังโอเคอยู่เลย ฉันก็……”

“ข้ออ้าง! ข้ออ้างทั้งนั้น!” ไป๋ยิ่งอันคำรามและกอดเด็กในอ้อมแขนอีกครั้ง คำรามเสียงดังใส่เธอ “ออกไป! ออกไปซะ! อย่ามาแตะต้องตัวลูกฉันอีก!”

“คุณผู้หญิง……” พี่เหอรีบพยุงร่างคุณผู้หญิงที่อ่อนกำลังทีละนิด แล้วพูดอย่างกระวนกระวาย “คุณผู้หญิง คุณอย่าเพิ่งกังวล เราไปนั่งกันก่อน”

คุณผู้หญิงพยักหน้าอย่างว่างเปล่า นั่งโซฟาโดยมีพี่เหอช่วยพยุง

ไม่นานคุณหมอหวงก็มา ไป๋ยิ่งอันมือหนึ่งอุ้มเด็ก อีกมือหนึ่งจับมุมเสื้อคุณหมอหวงแล้วร้องไห้ขอร้อง “คุณหมอหวง คุณต้องช่วยลูกฉันนะ ฉันไม่อยากเสียเขาไป ขอร้อง คุณต้องช่วยชีวิตเขา……”

“นายหญิงน้อย คุณวางเด็กลงก่อน” คุณหมอหวงพูด

ไป๋ยิ่งอันวางเด็กกลับไปที่เปลโดยไม่เต็มใจ คุณหมอหวงตรวจเช็คอย่างละเอียด สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาใช้มาตรการช่วยเหลืออีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เด็กก็ไม่ตื่นเลย

สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่หันตัวกลับไปพูดกับคุณผู้หญิงและไป๋ยิ่งอันว่า “คุณผู้หญิง นายหญิงน้อย ขอโทษครับ……ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้แล้ว”

เสียงร้องไห้แหลมดังขึ้นอีกครั้ง ไป๋ยิ่งอันก็กอดเด็กไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง

ถึงแม้เตรียมใจว่าจะสูญเสียเด็กตั้งนานแล้ว แต่คุณผู้หญิงก็ยังน้ำตาไหลอย่างเศร้าโศก แต่ไม่ได้โอเวอร์เหมือนไป๋ยิ่งอัน เธอเหลือบมองไป๋ยิ่งอันที่ร้องไห้อย่างตีอกชกหัว ฝ่ามือจับแขนพี่เหอไว้ พูดเสียงสั่น “พยุงฉันกลับห้องที แจ้งเฉินให้กลับมาจัดงานศพเด็กด้วย”

“ค่ะ คุณผู้หญิง” พี่เหอเช็ดน้ำตาในดวงตา พยุงคุณผู้หญิงออกจากห้องเด็กอ่อนไป

เพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมเร่งด่วน หนานกงเฉินกำลังจะกลับห้องทำงาน เซิ่งเคอก็ยิ้มเดินมา พูดขึ้น “พี่ วันนี้เป็นวันหยุดนะ”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมามองเขา “นายจะทำอะไร?”

“ตอนนี้ฉันกำลังมีความรัก แน่นอนว่าต้องการใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์เพื่อจัดการความรัก” เซิ่งเคอยิ้มเล็กน้อย “คืนนี้มีหนังเรื่องดัง ฉันนัดกับเหลียนเหยาแล้วว่าจะไปดูด้วยกัน คุณอยากพาพี่สะใภ้ไปด้วยไหม?”

หนานกงเฉินคิดแล้วพยักหน้า “เอาสิ”

เมื่อคืนไป๋ยิ่งอันได้รับความหวาดกลัว เดาว่าจิตใจต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ พาเธอไปดูหนังให้สบายใจขึ้นหน่อยก็ดีเหมือนกัน

“แต่ฉันมีตั๋วรอบสองทุ่ม ฉันเดาว่าซื้อตั๋วเร็วขนาดนั้นไม่ได้”

“ไม่เป็นไร พวกนายไปดูก่อนเถอะ” หนานกงเฉินเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็รีบรับสายทันที

เมื่อเขาได้ข่าวจากปากพี่เหอว่าเด็กเสียชีวิตไปแล้ว สีหน้าเขาก็แข็งตัวในพริบตาเดียว ไม่ได้แปลกใจเป็นพิเศษ แต่หัวใจเหมือนถูกแทงด้วยเข็ม เจ็บเหลือทน

จากไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าลูกของเขาจะจากไปแบบนี้จริงๆ ……

เซิ่งเคอเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน ก็ถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? พี่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด