เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 139

ด้วยวิธีการปฏิบัติกับตระกูลไป๋ของหนานกงเฉิน ทำให้เธอจินตนาการได้ว่าจุดจบของหลินอันหนานก็คงไม่ดีเช่นกัน

แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงเป็นห่วงหลินอันหนาน ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนช่วยเธอออกมาจากเงื้อมมือของซูวยาหยง ช่วงนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ เอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิด

ขอเพียงหวังว่าเขาจะเห็นแก่คุณนายหลิน ในฐานะที่เป็นป้าแท้ๆของเขา จะเบามือกับหลินอันหนานบ้าง !

ขณะที่เธอกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ตัวเลยว่ารถได้หยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่

ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นเอนหลังพิงหน้าต่างกระจกและมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก

ที่นี่ดูคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมาเลยแม้เพียงสักครั้ง เมื่อลองมองทิวทัศน์ไกลๆอีกครั้ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือสวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั่นเอง

เมื่อครูหนานกงเฉินไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่กลับพาเธอเข้าทางหลังบ้านโดยตรง

สวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั้นใหญ่เกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และผู้คนจากตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยให้เธอไปไหนโดยพลการ เธอจึงรู้สึกว่ามันแปลก แค่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน เธอจะถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอความตายจริงๆเหรอ?

เมื่อแสงไฟข้างหน้าเธอมืดลงและประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยกศีรษะขึ้นทำให้เธอล้มลงไปกับพื้น โชคยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า ล้มลงไปจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก

วินาทีต่อมาหนานกงเฉินจับเธอขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ลากข้อมือของเธอแล้วเดินไปทางด้านขวา

ไป๋มู่ชิงถูกเขาลากออกไปตลอดทางและถามอย่างโกรธ ๆว่า "หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไรคุณปล่อยฉันไปเถอะนะ ... "

หนานกงเฉินปล่อยเธอตามที่ขอร้อง เพียงแต่เป็นการเหวี่ยงเธอลงกับพื้น ร่างของไป๋มู่ชิงล้มลง ศีรษะเกือบไปกระแทกเข้ากับก้อนหินที่วางอยู่ด้านข้าง

เธอรีบลุกขึ้นจากพื้น เอาตัวแอบซ่อนอยู่หลังก้อนหินและจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก

ถ้าหนานกงเฉินหยิบปืนออกมาและฆ่าเธอในป่ารกร้างแห่งนี้เธอจะไม่แปลกใจเลย ด้วยความโกรธของหนานกงเฉินในเวลานี้นั้น ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ

“ รู้ไหมวันนี้เป็นวันอะไร?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและในที่สุดก็ส่ายหัว

เธอไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ!

หนานกงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลากเธอออกไปจากหินโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เจ็บปวดของเธอและชี้ไปที่ป้ายหินตรงหน้า"ไม่รู้งั้นเหรอ เธอดูซะให้เต็มตา"

ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหลุมฝังศพขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนหลุมฝังศพขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างขึ้น เหนือหลุมฝังศพมีรูปถ่ายของทารกน้อย

ทันทีที่เธอเห็นหลุมฝังศพใหม่นี้และรูปถ่ายทารกบนหลุมฝังศพ ไป๋มู่ชิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ

เด็กคนนี้ ... เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขา

ไม่ว่าเขาจะใช่ลูกที่เธอคลอดมาเองหรือไม่ ในฐานะคนเป็นแม่ เธอได้เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ถูกแขวนไว้บนป้ายหลุมศพ อย่างไรก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด

เธอคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพ ใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากและคร่ำครวญ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไม หนานกงเฉินถึงบังคับให้เธอสวมชุดสีดำในวันนี้และพาเธอมาที่นี่

เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยน้ำตาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดออกมาสามคำ "ฉันขอโทษ ... "

หนานกงเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งพลางจับไหล่ของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และบังคับให้เธอหันกลับมา จ้องมองเธอ กัดฟันแล้วพูดว่า "เธอยังจะมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ ตอนแรกเธอเสแสร้งทำเป็นว่ารักเขามาก ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็จะคลอดออกมาให้ได้ แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ ความเป็นจริงเธอกลับใช้เขาเป็นเครื่องมือ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ไป๋ยิ่งอันเข้ามาในตระกูลหนานกง สุดท้ายแผนการของพวกเธอก็สำเร็จ และยังทำให้เขาตายอีก ในฐานะที่เป็นแม่ ทำไมเธอถึงเลือดเย็นทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ลงคอ เธอไม่กลัวจะตกนรกตลอดชีวิตหรือไง เธอ....

"ไม่ ... !" ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขา ร้องไห้อย่างขมขื่นและส่ายหัว "ฉันเปล่านะ ฉันรักเขาจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ ... ฉันไม่เคยคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเลยด้วยซ้ำ ... "

"คำโกหกหลอกลวงแบบนี้ ลองพูดกับเขาสิ ดูซิว่าเขาจะให้อภัยไหม!" หนานกงเฉิน ผลักอย่างแรง ทำให้เธอหันหน้าไปทางหลุมฝังศพขนาดเล็กอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง จับหลุมฝังศพและร้องไห้อย่างขมขื่น "ขอโทษ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ถูกบังคับ ขอร้องล่ะยกโทษให้แม่ด้วย ขอโทษ ... "

เธอใช้หลังมือสัมผัสน้ำตาบนใบหน้าไปมาพลางร้องไห้ด้วยความเสียใจ

แม้ว่าตัวเธอเองจะถูกบังคับให้ทำก็ตาม แต่ลูกก็ต้องมาตายเพราะพวกเธอและเธอเองก็มีส่วนในการก่อให้เกิดบาปนี้ด้วย!

เสียงร้องไห้และคำขอโทษของเธอดังก้องในหูของหนานกงเฉิน เขาจึงขัดจังหวะเธออย่างรู้สึกรำคาญ "พอแล้ว อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เพราะมันล้างบาปของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว !"

"นายน้อยเฉิน" ไป๋มู่ชิงหันมาหาเขาอย่างรวดเร็วพลางจับขากางเกงของเขาและร้องไห้อย่างขมขื่น "ฉันถูกบังคับจริงๆ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อฉันและปล่อยฉันไป คุณฉลาดมากขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ คุณควรจะรู้ว่าฉันถูกบังคับ "

"ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ ... " หนานกงเฉินโน้มตัวและดึงฝ่ามือออกจากขาของเธอ"ฉันพูดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ว่าเธอจะโดนเอามีดจ่ออยู่ที่คอ การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม "

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เพราะรู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะสนใจเธอที่ถูกซวีหยาหรงสองแม่ลูกบังคับหรือไม่ ต่อให้เวลาสามวันสามคืนในการให้เธออธิบาย ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์

“ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะยอมปล่อยครอบครัวของฉันไป” เธอส่ายหัว“ คุณฆ่าพ่อของฉันและยึดบริษัทของเขา แค่นั้นยังไม่สะใจอีกเหรอ ต้องทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นเสี่ยวอี้อีก คุณพอใจหรือยัง "

"เธอช่วยทำความเข้าใจใหม่นะ" หนานกงเฉินยังคงต่อว่าเธอ "การหนีภาษีของพ่อเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันขอให้เขาทำลูกค้าของเขามีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะร่วมมือด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ซื้อเขาก็ตาม บริษัทก็จะตกเป็นของคนอื่นในท้ายที่สุด เขาต้องเผชิญกับคุกยี่สิบปี เขาเริ่มกลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง เขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากตึก

เขาหัวเราะเยาะ "ไม่งั้นเธอคิดว่าทำไมเขาถึงกระโดดตึกล่ะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะยอมกระโดดลงมาเพื่อเธองั้นเหรอ?"

"ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ทำไมเขาถึงโดนตรวจสอบบัญชีภาษีล่ะ" ไป๋มู่ชิงพูดอย่างโกรธ ๆ ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไป๋กรุ๊ปเป็นจำนวนมาก ตระกูลไป๋จะกลายเป็นของเขาได้อย่างไร?

"ถูกต้อง ฉันขอให้คนเก็บภาษีดูเรื่องภาษีของบริษัทเป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาไม่หนีภาษาก่อนเอง จะกลัวโดนตรวจสอบไปทำไมล่ะ"หนานกงเฉินหยุดการสนทนาทันทีพลางลูบคิ้วของเขา"จริงๆเลย ... ทำไมฉันต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเธอด้วยนะ ตระกูลไป๋พังพินาศด้วยฝีมือฉัน ไป๋จิ้งผิงก็ฆ่าตัวตายเพราะฉันบีบบังคับ ซวีหยาหรงก็โดนฉันทำให้เข้าคุก แล้วยังไง นี่มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ? "

ซวีหยาหรงสมควรได้รับโทษ เรื่องนี้ไป๋มูชิงรู้อยู่เต็มอก เธอไม่สนใจหรอกว่าจะมีจุดจบอย่างไร สำหรับเธอในตอนนี้นั้นขอเพียงแค่เสี่ยวอี้แข็งแรงและอิสระของเธอเพียงเท่านั้น

"งั้นคุณบอกฉันมาสิ ตอนนี้เสียวอี้อยู่ที่ไหน เขายังสบายดีหรือเปล่า" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอถามเขา

แต่หนานกงเฉินกลับไม่สนใจเธอ แต่เดินไปที่หลุมฝังศพขนาดเล็กแล้วนั่งยองๆและจุดธูป

“ วันนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ลูกชายของเราจากไป แต่ในใจของเธอกลับมีแค่เสี่ยวอี้ใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและผิดหวัง

"ฉัน ... " ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

เธอรู้สึกเพียงว่าผู้คนไม่สามารถกลับมาจากความตายได้ และตอนนี้เธอห่วงใยผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่

"เอาล่ะ ถ้าคุณร้องไห้และเช็ดน้ำตาที่หลุมฝังศพของลูกเหมือนเมื่อกี้ มันจะยิ่งทำให้ดูปลอมและน่าขันยิ่งกว่า" หนานกงเฉินหันศีรษะและหัวเราะเยาะเย้ยเธอ"นี่ต่างหากคือเธอ คุณหนูรองตระกูลไป๋ผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม!"

หลังจากพูดจบเขาก็ก้าวไปยังรถ

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ด้านหลังของเขา น้ำตาคลอเบ้า จนหนานกงเฉินหันหน้ามาและพูดใส่เธอสองคำ"ขึ้นรถ"

เธอเหลือบมองไปที่หลุมฝังศพของลูกเป็นครั้งสุดท้าย และลุกขึ้นจากพื้น เดินไปที่รถ

ไป๋ยิ่งอันเดินออกจากบ้านของเหอหลิงและเดินไปที่ประตูหน้าหมู่บ้านด้วยความสิ้นหวัง

จิตใจของเธอสะท้อนสิ่งที่เหอหลิงเพิ่งพูดกับเธอเมื่อครู่ เหอหลิงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาและทำอะไรไม่ถูก"พี่ ไม่ใช่ว่าบ้านของเราไม่ต้อนรับพี่นะ แต่ต้อนรับไม่ได้ เลขาของหนานกงเฉินเคยพูดไว้ว่าใครที่ยอมให้คุณมาอยู่ด้วย จุดจบจะไม่ต่างจากตะกูลไป๋ "

เหอหลิงรู้สึกเสียใจกับเธอ จึงวิ่งกลับไปที่บ้านและหยิบธนบัตรออกมาให้เธอ ยัดใส่มือแล้วพูดว่า พี่ พี่เอาเงินนี้ไปเช่าห้องอยู่นะ แล้วทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตดีๆนะ"

เหอหลิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง ส่วนแม่ของเหอหลิงก็เป็นป้าของเธอ ยังหลีกเลี่ยงเธอกันหมด แล้วใครจะกล้าต้อนรับเธอล่ะ?

เงินที่พ่อเคยทิ้งไว้ให้สามล้าน เธอก็ใช่้หมดแล้ว แม้แต่หน้าสักครั้งเธอก็ไม่ได้เจอ นับประสาอะไรกับเธอ

กลายเป็นว่านี่เป็นการลงโทษเธอของหนานกงเฉิน ดังที่เขากล่าวว่าการมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการตาย

เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา กำธนบัตรในมือแล้วรีบออกจากชุมชนที่เหอหลิงอยู่

ทันทีที่เธอเดินออกจากประตูชุมชนเธอก็เห็นผู่เหลียนเหยาอยู่ข้างรถสีแดงโดยไม่คาดคิดขณะนี้ผู่เหลียนเหยาได้รับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่เธอยังคงอยู่ในสภาพที่ขายังใส่เฝือกอยู่และเธอนั่งอยู่บนรถเข็น

หากเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ที่แล้ว ไป๋ยิ่งอันอาจจะทำให้เธออับอาย แต่วันนี้แตกต่างออกไปคนที่อับอายและไม่กล้าสู้หน้าผู้คนกลับเป็นเธอเอง และผู่เหลียนเหยาก็ดูตั้งใจที่จะดักรอเจอเธอที่นี่

เธอก้าวเท้าหมุนตัว เสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเธอแล้วเลี้ยวไปอีกทาง

“ พี่สะใภ้” ผู่เหลียนเหยาเรียกเธอ

ด้วยความสิ้นหวังเธอต้องหันกลับมาและผู่เหลียนเหยาก็ยิ้มเล็กน้อย "เหลียนเหยา เธอมาทำอะไรที่นี่"

"ฉันมาที่นี่เพื่อเดินเล่นน่ะ " ผู่เหลียนเหยาเข็นรถเข็นของเธอเพื่อไปหาเธอและมองเธอด้วยความกังวล "ฉันได้ยินมาว่าคุณกับพี่ฉันกำลังหย่าร้างกัน เป็นอะไรไปพี่ฉันกลั่นแกล้งเธอเหรอ?”

"ไม่มีอะไร"

“ ไม่มีอะไรแปลว่าอะไร หรือพวกเขาหลอกฉัน คุณกับพี่ก็ยังดีๆกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ” ผู่เหลียนเหยาเดินเข้ามาหาเธอทีละน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็มืดมนทีละน้อย

ไป๋ยิ่งอันมองไปที่รอยยิ้มที่มุ่งร้ายบนใบหน้าของเธอและมองไปที่เธออีกครั้ง"เธอความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ?"

"ไม่" ผู่เหลียนเหยากางฝ่ามือออก: "ฉันจะความจำเสื่อมได้ยังไง ครั้งที่แล้วฉันแกล้งเธอครั้งสุดท้าย ฉันจะลืมทริปเมืองหลิวที่แสนวิเศษแบบนี้ได้ยังไง"

ที่แท้ก็เสแสร้ง !

ไป๋ยิ่งอันกัดฟันแน่น ไม่แปลกใจที่มาที่นี่เพื่อดักรอเธอ เธอเงียบไปสักครู่ และมองลงไปที่ขาที่หักทั้งสองข้างพลางพูดว่า: "ฉันได้ยินมาว่าขาของเธอจะไม่กลับมาดีอีกต่อไปแล้ว ไม่จริงใช่ไหม"

ยังไงซะเธอก็พ่ายแพ้แล้ว เธอเหลือเพียงการใช้วิธีนี้เอาคืนเท่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อพูดแบบนี้ สีหน้าของผู่เหลียนเหยาก็เปลี่ยนไป แต่เธอก็กลับมาเป็นปกติในทันทีและยิ้มให้เธอ "ไม่เป็นไร ตราบใดที่เซิ่งเคอไม่รังเกียจก็พอแล้ว คุณย่าปลอบฉันว่าต่อไปจะให้คนรับใช้ฉันอีกสองคน ไม่ให้ฉันต้องลำบากเพราะขาสองข้างนี้แน่นอน "

"คุณล่ะ พี่สะใภ้" ผู่เหลียนเหยาหยุดและรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็กว้างขึ้น "บ้านแตกแล้ว บ้านหนานกงก็กลับไปไม่ได้ แบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ?"

เธอมาที่นี่จงใจมาเพื่อหัวเราะเยาะเย้ย ไป๋ยิ่งอันกำมือแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ยังดีกว่าพิการเป็นง่อย"

กลังจากพูดจบ ก็เดินออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดจาถากถางเธออีก

เดินออกมาได้เพียงแค่สองก้าว ไป๋ยิ่งอันชะงักฝีเท้า หันกลับมาจ้องเธอ: "ฉันสงสัยจริงๆว่าคุณหนูผู่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพียงแค่เพราะเอาใจหนานกงเฉิน หรือมีจุดประสงค์อื่นที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า?”

เธอสงสัยเกี่ยวกับคำถามนี้มาตลอด และในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามมันออกไป

ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู่เหลียนเหยาคงจะไม่บอกความจริงกับเธอ แต่ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ถามล่ะก็ อีกหน่อยก็คงจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกแล้ว

ผู่เหลียนเหยามองไปที่เธอแล้วยิ้มเล็กน้อย "แล้วคุณคิดว่าฉันควรทำยังไง มองดูพวกเธอสองพี่น้องปั่นหัวคุณชายเฉินเฉยๆงั้นเหรอ รู้ไว้ซะว่าฉันเป็นคู่หมั้นของเซิ่งเคอ ครึ่งหนึ่งยังเป็นตระกุลหนานกง การปกป้องตระกูลหนานกงไม่ใช่แค่เป็นความรบผิดชอบของเซ่งเคอแต่เป็นของฉันด้วย”

"เหอะเพราะแค่เหตุผลนี้น่ะเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก" ไป่หยิงอันดูหมิ่น

“ ฉันไม่ต้องการให้คุณเชื่อ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด