เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 152

“คุณย่าคะ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ” ผู่เหลียนเหยาเลื่อนวีลแชร์ออกมาจากข้าง ๆ พร้อมทั้งมองหน้าคุณผู้หญิงและพูดว่า : “คุณย่าคะ พี่สะใภ้บอกแล้วไงคะว่าที่พี่เขาโกหกคุณย่าก็เป็นเพราะไม่มีทางเลือกและความหวังดี ไม่ได้เจตนานะคะ”

“ใช่แล้วครับคุณย่า” เซิ่งซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวแสดงความเห็นด้วยอีกแรง : “ดึกดื่นแบบนี้ คุณย่าจะไล่ให้พี่สะใภ้ไปที่ไหนกันครับ?”

ขณะนี้คุณผู้หญิงโมโหจนไม่สนใจอะไรแล้ว ความผิดหวังและความโมโหพลุ่งพล่านอยู่ในใจ จนทำให้ไม่ฟังคำปลอบประโยนจากใครทั้งสิ้น เมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้ตะคอกเสียงดังพร้อมทั้งหายใจถี่ : “ใครพูดอีก ก็ไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลหนานพร้อมมันไปเลย !”

เมื่อคุณผู้หญิงตะคอกมาเช่นนั้น เซิ่งซินและผู่เหลียนเหยาต่างก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีกเลย

ไป๋มู่ชิงทราบดีว่าหากตนเองพูดอะไรในเวลานี้ก็ไร้ประโยชน์ ทว่าเธอตัดสินใจลองพูดอธิบายดูสักตั้ง : “คุณย่าคะ ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้เจตนาจริง ๆ ครั้งหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว……”

“ครั้งหน้าเหรอ ? ไม่มีครั้งหน้าแล้ว !” คุณผู้หญิงเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ทอดสายตามองเธอจากบนลงล่าง : “ไป๋ยิ่งอันฟังฉันให้ดี ๆ นะ ตอนแรกฉันก็ไม่เห็นเธออยู่ในสายตา ไม่ชอบเธออยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะเฉินพาเธอมาอาศัยที่บ้าน ฉันคงไล่เธอออกไปตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนเธอไม่เหมาะสมกับเฉินเลยสักนิด ยิ่งตอนนี้บ้านตระกูลไป๋ตกต่ำแล้ว เธอก็ยิ่งไม่เหมาะสมเข้าไปใหญ่ ถ้าเธอมีสามัญสำนึกอยู่บ้างละก็ เธอควรไสหัวออกไปจากบ้านตระกูลหนานด้วยสำนึกของเธอเองซะ ไม่ใช่ให้ฉันเอ่ยปากไล่เธอไปเองแบบนี้”

เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินที่คุณผู้หญิงพูดมาเช่นนั้น ใบหน้าที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความต้อยต่ำปนรู้สึกผิดก็ได้มีสายตาแปลก ๆ แวบเข้ามา เธอลังเลชั่วครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาคุณผู้หญิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเป็นครั้งแรก : “คุณย่า จริงอยู่ที่ตระกูลไป๋เทียบไม่ได้กับตระกูลหนาน ฉันเองก็ไม่เหมาะสมกับหนานกงเฉิน แต่ตอนแรกตระกูลหนานกงเป็นผู้ที่มัดมือชกนำสินสอดมาที่บ้านตระกูลไป๋เอง ฉันไม่ได้หวังให้คุณย่าชอบฉันหรอกค่ะ แค่หวังว่าคุณย่าจะตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้ และเคารพฉันด้วยสักนิด”

“เธอกล้าต่อปากต่อคำกับฉันงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงถูกคำพูดของเธอแทงใจดำเข้า กระนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที

“นี่ไม่ใช่การต่อปากต่อคำนะคะ แค่กำลังพูดหลักการที่ง่ายที่สุดเท่านั้นค่ะ คุณย่า”

“ไป ! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ !” คุณผู้หญิงหันหน้าไปหาพี่เหอด้วยความโมโหจัด : “ยามล่ะ ? เรียกยามขึ้นมาแล้วลากนังผู้หญิงคนนี้ออกไป !”

พี่เหอมองไปยังไป๋มู่ชิงที่มีสีหน้าดื้อรั้นไม่ยอมใครบนเตียง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินออกไป

หลังจากที่ภายในห้องเงียบสงัดเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่งแล้วนั้น ยามหนุ่มสองคนก็วิ่งขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว พวกเขามองสำรวจทั่วห้อง จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังเตียงนอนกระชากไป๋มู่ชิงขึ้นอย่างรุนแรง

ไป๋มู่ชิงสะบัดมือของยามทั้งสองคนออก พร้อมกล่าวด้วยความโมโหจัด : “ฉันเดินเองได้” เมื่อพูดจบก็หันไปจ้องหน้าคุณผู้หญิงแล้วพูดว่า : “คุณย่า ฉันผิดที่ไปโกหกคุณย่า แต่ฉันอธิบายและขอโทษไปแล้ว ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ คุณย่าจำเป็นต้องตัดขาดแบบนี้เลยเหรอคะ ?”

“เฉดหัวมันออกไปเดี๋ยวนี้ !” คุณผู้หญิงกัดฟันกรอบ

สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็สิ้นหวัง

ยามสองคนล็อกแขนของเธอแน่นพาลากเดินมุ่งไปทางประตู และขณะที่เท้าก้าวออกจากห้องนอนไป ไป๋มู่ชิงก็หยุดเดินทันที จากนั้นก็มองไปยังหนานกงเฉินที่กำลังตกอยู่ในห้วงนิทราห้องตรงข้าม ในใจของเธอมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ผุดขึ้นมา

ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระแล้วไม่ใช่หรือ ? เหตุใดต้องมีความอาลัยอาวรณ์กับเขาด้วย ?

ยังไม่ทันได้มองหนานกงเฉินให้เต็มที่ ไป๋มู่ชิงก็ถูกยามสองคนนั้นลากลงไปชั้นล่างทันที

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงออกไปแล้วนั้น ผู่เหลียนเหยาจึงกล่าวปลอบใจคุณผู้หญิงด้วยความระมัดระวัง : “คุณย่าคะ พี่สะใภ้ผิดที่ไปโกหกคุณย่า แต่เธอจะต้องมีปมอยู่ในใจแน่นอน อาจเป็นเพราะคุณย่าไม่ชอบเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเธอเลยโกหกว่าตัวเองท้องเพื่อจะได้เปลี่ยนแปลงความคิดเชิงลบของคุณย่าที่มีต่อเธอให้กลายเป็นดีขึ้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ หรอกค่ะ”

“ไม่มีเจตนาร้ายงั้นเหรอ ?” เมื่อคุณผู้หญิงได้ยินผู่เหลียนเหยาพูดมาเช่นนั้นก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ : “อยากมีหน้ามีตาอยู่ในบ้านตระกูลหนานจนตัวสั่น แม้เรื่องแบบนี้ก็โกหกมาได้ หลอกให้ฉันดีใจเปล่ามาตั้งหลายวัน แถมฉันยังไปวัดเพื่อขอพรให้หลานแทบจะทุกวันอีก ผลสุดท้ายมันดันมาบอกฉันว่าไม่ได้ตั้งท้อง ฉัน……”

คุณผู้หญิงด่าไปด่ามาน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม เป็นน้้ำตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและความเสียใจ

ผู่เหลียนเหยาเลื่อนวิลแชร์เข้าไปหาเธอพร้อมลูบหลังมือของเธอ : “คุณย่าคะ อย่าร้องไห้เลยนะคะ พี่สะใภ้ยังสาวอยู่เลย จะต้องตั้งท้องจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็ว ให้เวลาเธอหน่อยนะคะ”

“อย่าพูดถึงมันให้ฉันได้ยินอีก !” คุณผู้หญิงสะบัดมือของผู่เหลียนเหยาออก

เซิ่งซินกระพริบตาสองครั้งส่งสัญญาณให้ผู่เหลียนเหยาหยุดพูดได้แล้ว จากนั้นก็คล้องแขนคุณผู้หญิงเอาไว้แล้วพูดว่า : “คุณย่าครับ เดี๋ยวผมพยุงคุณย่ากลับห้องไปพักผ่อนนะครับ”

“จริงด้วยค่ะ รีบพยุงคุณย่ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะค่ะ” ผู่เหลียนเหยากล่าว

คุณผู้หญิงปาดน้ำตาบนใบหน้าออก จากนั้นก็เดินไปยังห้องนอนของหนานกงเฉินแล้วมองดูชั่วครู่หนึ่ง เวลาต่อมาค่อยเดินกลับห้องตัวเองไปพร้อมกับเซิ่งซินและพี่เหอ

ตอนแรกไป๋มู่ชิงไม่อยากให้ตนเองเดินด้วยท่าทางที่ซมซานเช่นนี้ ทว่าเธอไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน บริเวณหน้าท้องทั้งเจ็บทั้งทรมาน จึงไม่สามารถสะบัดหนีจากการจับกุมของยามทั้งสองคนได้เลย สุดท้ายเธอก็ถูกพวกเขาโยนออกจากบริเวณบ้านไปอย่างแรงจนต้องล้มลงไปกองอยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่ซมซานเหลือทน

เธอเจ็บปวดจนต้องร้องโอดโอยขึ้นมา หลังจากล้มลงบนพื้นเธอใช้เวลาห้านาทีกว่าความเจ็บปวดบริเวณหน้าท้องของเธอจะทุเลาลงบ้าง จากนั้นค่อยลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล

หลังจากนั้นก็มีเสียงการสนทนาของยามสองคนนั้นดังเข้ามาจากด้านหลัง : “ตระกูลไป๋ล่มละลายแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ยังถูกคุณผู้หญิงไล่ออกจากบ้านไปอีก ดูซิว่าเธอจะไปไหนได้”

“อย่าพูดอะไรที่เลวทรามแบบนี้สิ ฉันว่าเธอน่าสงสารจะตายไป” ยามอีกคนกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกเห็นใจ

“ผู้หญิงขี้ประจบประแจงคนรวยแบบนี้ทำไมต้องไปเห็นใจด้วย ต่อให้ถูกคุณผู้หญิงเอาไม้เท้าตีจนตายก็ยังไม่ควรค่าแก่การเห็นใจเลย ชิ……”

“คุณชายใหญ่เอาอกเอาใจเธอมากเลยนะ ระวังไว้เถอะสักวันที่เธอได้อำนาจมาแล้ว จะทำให้นาย……” ยามผู้นั้นทำมือแสดงท่าทางที่ว่า จะฆ่านายให้ตาย เพื่อนอีกคนจึงได้รีบพูดตอบโต้ทันที : “ไม่มีทาง !”

“……”

ขณะที่ยามทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่นั้น ไป๋มู่ชิงได้กัดฟันพาร่างกายอันเจ็บปวดของตนก้าวเดินไปยังเส้นทางเบื้องหน้า

ดึกดื่นแบบนี้ เธอไม่ทราบว่าตนควรไปที่ไหนดี เธอออกมาด้วยชุดนอนชุดเดียว ไม่มีโทรศัพท์ไม่มีเงิน ข้างทางไม่มีแม้แต่คนให้ขอความช่วยเหลือ อีกทั้งบ้านตระกูลหนานเองก็ตั้งอยู่ในทำเลที่ห่างไกลผู้คนด้วย ไม่ว่าจะเดินเข้าไปในเมืองหรือเดินไปบ้านเหยาเหม่ยเองก็เป็นไปไม่ได้ทั้งสิ้น

ค่ำคืนแห่งเดือนกันยายนนี้อากาศมีความเย็นเล็กน้อย เมื่อลมพัดกระทบเข้ามาเธอก็ตัวสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว จนต้องกอดชุดนอนของตัวเองเอาไว้แน่น

สองข้างทางคือต้นไม้เขียวชอุ่ม ไฟข้างทางมืดสลัว เงียบสงัดไร้ซึ่งเงาของผู้คน

ทันใดนั้นเองเธอก็นึกถึงเรื่องที่ถูกขอทานลอบทำร้ายครั้งที่แล้วขึ้นมา จนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ถ้าหากเจอเหตุการณ์เช่นนั้นเข้าอีกแล้วก็ คราวนี้ไม่มีหนานกงเฉินวิ่งเข้ามาช่วยเหลือเธออีกแล้ว !

เธอยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งเดินก็ยิ่งก้าวเร็วขึ้น สุดท้ายก็อดไม่ได้จนต้องวิ่งด้วยความเร็ว

เมื่อวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังจะวิ่งข้ามไปยังทางเดินฝั่งตรงข้ามนั้น ก็เกือบจะชนเข้ากับรถเก๋งคันหรูที่ขับมาจากเบื้องหน้า

รถคันนั้นขับช้ามาก แทบจะไม่เป็นภัยอันตรายต่อชีวิตของเธอเลย ทว่ากลับเป็นตัวเธอเองที่วิ่งเข้าไปชนรถผู้อื่นแทน

เธอหยุดชะงักไป จากนั้นก็รีบเดินมาทางฝั่งคนขับรถผู้ชายทันที พร้อมทั้งโค้งลำตัวลงเพื่อแสดงความขอโทษ

ราวกับว่ารถคันนั้นตั้งใจหยุดจอดให้เธอโดยเฉพาะ โดยหยุดขณะที่เธอเดินตามมาพอดิบพอดี คนขับรถไม่เพียงแต่ไม่โมโห แถมยังเรียกเธอว่า ‘คุณหนูไป๋’ พร้อมลงจากรถเพื่อเดินไปเปิดประตูที่นั่งด้านหลังให้เธอด้วย

ไป๋มู่ชิงมองสำรวจเขาผู้นั้นด้วยความตกตะลึง จากนั้นถึงกล่าวขึ้นทันทีว่า : “ขอโทษนะคะ……พวกคุณจำคนผิดแล้ว”

สิ่งที่แวบเข้ามาให้หัวเธอคือ ฝ่ายนั้นจะต้องเป็นเพื่อนของไป๋ยิ่งอันแน่นอน เพราะมีเพียงไป๋ยิ่งอันคนเดียวที่จะมีเพื่อนที่เป็นคุณชายร่ำรวยเช่นนี้ได้ และขณะที่เธอเตรียมหันหลังเดินออกไปนั้น ข้างในประตูรถที่นั่งด้านหลังก็มีผู้ชายคนหนึ่งโผล่หน้าออกมา พร้อมทั้งพูดกับเธอ : “คุณหนูไป๋ จำผมได้หรือเปล่าครับ ?”

ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับไปอีกครั้ง แล้วมองสำรวจชายที่นั่งด้านหลังผู้นั้น จากนั้นก็รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเล็กน้อย ทว่าเนื่องจากแสงไฟที่สลัว ๆ นี้ทำให้เธอนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร

“คุณหนูไป๋ได้ดีแล้วหยิ่งจริง ๆ ด้วย” น้ำเสียงของชายผู้นั้นมีความผิดหวังปนอยู่ ผ่านมาชั่วครู่จึงกล่าวเสริมไปอีกว่า : “ผมชื่อเฉียวเฟิง เป็นน้องชายของเฉียวซือเหิง ครั้งที่แล้วพวกเราเคยเจอกันที่บ้านตระกูลเฉียวครับ”

เมื่อเขาพูดมาเช่นนั้นแล้ว ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นมาได้ จึงได้พูด ‘อ๋อ’ ขึ้นมา : “คุณนี่เอง นึกออกแล้วน้องชายสามีซูซี่นี่เอง”

“ถูกต้องครับ” เฉียวเฟิงพยักหน้า พร้อมทั้งมองสำรวจเธอ : “คุณหนูไป๋ดึก ๆ ดื่นแบบนี้……จะไปที่ไหนเหรอครับ ?”

“เอ่อ……” ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองสภาพตัวเองตอนนี้ ชุดนอนรองเท้าแตะ ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เธอยิ้มอย่างเขินอาย จากนั้นจึงพูดตอบเขาไปว่า : “ฉันขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ ?”

แม้ซูซี่จะสาธยายน้องชายสามีของเธอไว้อย่างน่ากลัวมากก็ตาม ทว่าในเวลานี้นอกจากขอความช่วยเหลือจากเขาแล้ว เธอก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน

บริเวณที่เธออยู่ตอนนี้นั้นอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก คาดว่าเดินจนฟ้าสว่างก็ไม่ถึงแน่นอน

“ขึ้นรถเถอะครับ” เฉียวเฟิงพูดกับเธอ

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงโค้งลำตัวเดินเข้าไปโดยไม่ต้องคิดเลย

รถออกตัว ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่นั่งติดประตู ไม่กล้าที่จะหันไปมองเฉียวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ หลังจากผ่านมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วค่อยหันหน้าไปทางเขา

เมื่อเธอหันหน้าไป จึงพบว่าเฉียวเฟิงกำลังจ้องมองตนอยู่ ใบหน้าจึงร้อนผ่าวขึ้นมายิ่งกว่าเดิม เฉียวเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองหน่อยเหรอครับ ?”

ไป๋มู่ชิงจึงตอบกลับไปว่า : “ขอโทษนะคะ ฉัน……”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่บอกก็ได้”

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จริง ๆ ว่าควรอธิบายสถานการณ์ของตนให้เขาฟังเช่นไรดี เนื่องจากเขาถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ ไม่ถึงขั้นสามารถระบายความในใจให้ฟังได้

เธอเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปหาเขา : “ขอยืมโทรศัพท์ของคุณหน่อยได้ไหมคะ ?”

“ได้สิ” เฉียวเฟิงยื่นโทรศัพท์ให้เธอแล้วกล่าวว่า : “วันนี้พี่สะใภ้ของผมอยู่ที่คอนโด คุณไปพักที่ห้องเธอได้นะ”

“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันโทรหาเธอ” ไป๋มู่ชิงใช้โทรศัพท์ของเฉียวเฟิงโทรหาซูซี่ สิ่งที่ทำให้เธอดีใจนั่นก็คือคืนนี้ซูซี่อยู่คอนโดพอดี

หลังจากสนทนากับซูซี่อย่างเรียบง่ายเสร็จแล้วนั้น ไป๋มู่ชิงจึงยื่นโทรศัพท์คืนเขาไป : “ซูซี่บอกว่าอยากคุยอะไรกับคุณหน่อยค่ะ”

เฉียวเฟิงรับโทรศัพท์ไป หลังจากฟังปลายสายพูดชั่วครู่หนึ่งแล้วนั้นก็วางสาย และหันหน้ามาพูดกับไป๋มู่ชิง : “พี่สะใภ้ใหญ่บอกให้ผมส่งคุณไปคอนโดเธอน่ะ”

“ขอบคุณนะคะ รบกวนด้วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงมองหน้าเฉียวเฟิง แสงไฟสลัว ๆ เมื่อกระทบที่ใบหน้าของเขา ดูหล่อเหลาและอบอุ่นเป็นอย่างมาก ไม่เป็นเหมือนอย่างที่ซูซี่พูดไว้เลยว่า เขาเป็นคนอารมณ์ร้อน เข้าใกล้ยาก

เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง แล้วส่งยิ้มจาง ๆ ให้ : “มีอะไรหรือเปล่าครับ ? รู้สึกคุ้นหน้าผมเหรอ ?”

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่……” ไป๋มู่ชิงชักสายตากลับ จากนั้นก็ก้มหน้าลง

ครึ่งชั่วโมงผ่านมา เฉียวเฟิงมาส่งไป๋มู่ชิงที่ด้านล่างคอนโดของซูซี่

หลังจากที่ซูซี่รับฟังความในใจของเธอจบแล้วนั้น ก็ได้ตบโต๊ะแล้วสบถด้วยความโกรธ : “คุณผู้หญิงเป็นถึงผู้ใหญ่ของตระกูลหนานกง คิดไม่ถึงว่าจะพูดอะไรที่มันไม่เพราะแบบนี้ออกมาได้ ช่างกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้นะ”

ไป๋มู่ชิงนั่งขดตัวอยู่บนโซฟา เธอลืมตาขึ้นปรือ ๆ ด้วยความง่วงนอนและอ่อนเพลีย : “เสี่ยวซี่ ให้ฉันไปนอนก่อนได้ไหม ?”

“เฮ้อ เธอปลุกฉันตื่นกลางดึกแบบนี้ ทำให้ฉันหลับไม่ลงแล้ว เธอยังมีหน้ามาบอกว่าอยากเข้านอนอีกเหรอเนี่ย” ซูซี่บ่นงึมงำ : “ฉันคิดว่านะ ครั้งนี้เธอจะยอมไม่ได้อีกเป็นอันขาดนะ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ห้ามกลับบ้านหลังนั้นไปอีก เป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย แต่ว่า……จะว่าไปแล้ว เธอมีสิทธิ์พูดว่าไม่ด้วยเหรอ ? เธอคัดค้านหนานกงเฉินได้ด้วยเหรอ ? ให้ฉันเดานะ เช้าตรู่วันพรุ่งนี้หนานกงเฉินคงมาลากเธอกลับไปเหมือนเดิมนั่นแหละ นี่ พรุ่งนี้เธอห้ามกลับไปกับเขาเด็ดขาดเลยนะเข้าใจไหม ? เป็นผู้หญิงต้องมีศักดิ์ศรีนะ ได้ยินหรือยัง ?”

เมื่อซูซี่บ่นจบ ก็ได้ก้มหน้าลงจึงพบว่าไป๋มู่ชิงได้หลับไปแล้ว พร้อมทั้งแก้วกระดาษในมือเธอร่วงลงพื้น

หลังจากมองเธอเป็นเวลาชั่วครู่แล้ว ซูซี่จึงได้พูดตัดพ้ออย่างช่วยไม่ได้ขึ้นว่า : “ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้ดีกว่าเธอสักเท่าไหร่หรอก”

พูดจบ เธอได้โน้มตัวลงไปหยิบแก้วน้ำที่หล่นบนพรมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะคืน จากนั้นก็นำผ้าห่มมาคลุมตัวให้เธอ

หนานกงเฉินฟื้นขึ้นในเวลาสิบโมงกว่าของเช้าวันถัดมา เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบกับคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนล้อมรอบเตียงของเขาอยู่

เขากวาดสายตามองคนกลุ่มนั้น พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยชอบใจนัก : “นี่พวกคุณทำอะไรกันน่ะ ?”

การที่ถูกคนล้อมวงยืนจ้องตนเองตั้งแต่เช้า ความรู้สึกเช่นนี้มันแย่จริง ๆ

“เฉิน ฟื้นสักทีนะ” คุณผู้หญิงเดินเข้ามาหาเขา ตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า : “ถ้าหลานยังไม่ฟื้น พวกเราว่าจะส่งไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลแล้ว”

หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้นบาง ๆ โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด : “แค่อาการป่วยกำเริบเอง ไม่เห็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ”

“พี่ ตอนนี้สิบโมงแล้วนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนพี่คงตื่นตั้งนานแล้ว” ผู่เหลียนเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม : “พี่ทำให้ทุกคนตกใจแทบแย่แน่ะ”

“สิบโมงแล้วเหรอ……” หนานกงเฉินทอดสายตามองเวลาบนผนัง สิบโมงแล้วจริง ๆ ด้วย

เหตุการณ์ตอนที่ตนอาการกำเริบนั้นเขาจำได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร ทว่าเขารับรู้ได้ว่าตนเองต้องทำร้ายไป๋มู่ชิงอีกแล้วเป็นแน่ เพราะเขาจำได้ว่าตนผลักเธอลงเตียงไป ไม่รู้ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ? คิดได้ดังนั้นเขาจึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยสันชาตญาณ พบว่าทุกคนในบ้านต่างยืนอยู่ในห้องนี้กันหมด ครั้นไม่เห็นไป๋มู่ชิงเพียงคนเดียว

เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง แล้วมองไปรอบ ๆ พร้อมทั้งสอบถามทุกคนว่า : “ยิ่งอันล่ะ ? เธอบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ? ยังไม่ฟื้นใช่ไหม ?”

“พี่สะใภ้ไม่เป็นอะไรหรอกครับ พี่สบายใจได้” เซิ่งซินกล่าวปลอบใจ

“เฉิน ลุกขึ้นมาทานอะไรหน่อยไหม ? หรืออยากนอนต่ออีกสักหน่อย ?” คุณผู้หญิงถามด้วยความเป็นห่วง

“ทุกคนลงไปกันก่อนเลยครับ ผมขอจัดการตัวเองก่อน” หนานกงเฉินกล่าว

คุณผู้หญิงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้ทุกคนแยกย้าย

หลังจากที่ภายในห้องนอนเงียบเสียงลงแล้ว หนานกงเฉินจึงได้ลงจากเตียงแล้วเดินไปยังห้องนอนตรงข้ามทันทีโดยยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า

ห้องนอนฝั่งตรงข้ามมีบรรยากาศอันเงียบสงัด ไร้ซึ่งเงาของไป๋มู่ชิง เขายืนอยู่ตรงบริเวณปลายเตียงขนาดใหญ่อันว่างเปล่า ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงได้เดินสาวเท้าเร็ว ๆ ลงไปชั้นล่าง

ที่ชั้นล่าง เมื่อคุณผู้หญิงเห็นว่าเขาลงมาโดยยังสวมชุดนอนอยู่ อีกทั้งยังเดินอย่างรีบร้อนเข้ามาอีก จึงได้ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “เฉิน เป็นอะไรไป ? มีเรื่องอะไรทำไมถึงรีบร้อนแบบนี้ ?”

เซิ่งเคอและเซิ่งซินออกไปข้างนอกเรียบร้อยแล้ว บริเวณชั้นล่างจึงมีเพียงคุณผู้หญิงและผู่เหลียนเหยาสองคนเท่านั้น

หนานกงเฉินมองหน้าพวกเขาทั้งสองคนแล้วถามว่า : “คุณย่า ยิ่งอันไม่อยู่ในห้อง เธออยู่ที่ไหน ?”

สีหน้าของเขาเคร่งขรึม จ้องมองรอคำตอบ

คุณผู้หญิงและผู่เหลียนเหยาต่างก็รู้จักนิสัยของเขาดี พวกเธอไม่มีทางปกปิดเขาได้แน่นอน ผู่เหลียนเหยาไม่กล้าพูดอันใดเลย ส่วนคุณผู้หญิงนั้นไม่ได้เกรงกลัวเขาแต่อย่างใด เพียงแค่เห็นแก่ที่ร่างกายของเขายังไม่ได้ฟื้นตัวสมบูรณ์ดี ดังนั้นจึงไม่อยากไปกระตุ้นเขา

ในเมื่อเขาถามมาแล้ว เธอทำได้เพียงตอบไปอย่างใจเย็นว่า : “เฉิน หลานยังไม่รู้ใช่ไหม ? ผู้หญิงคนนั้นอยากมีหน้ามีตาในบ้านตระกูลหนานกง เลยโกหกว่าตัวเองท้อง ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อวานนี้คุณหมอหวงบอกย่า พวกเราก็คงถูกปิดจนถึงทุกวันนี้แน่ ๆ”

สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคนอื่นจะรู้เร็วถึงเพียงนี้

เมื่อคุณผู้หญิงเห็นว่าเขามีสีหน้าเปลี่ยนไป เลยคิดว่าเขาคงไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนจริง ๆ จึงพูดขึ้นด้วยความโมโห : “ผู้หญิงที่มาจากตระกูลต่ำต้อยแบบนี้เล่ห์กลเยอะนัก วันวันเอาแต่คิดว่าจะครองตำแหน่งนายหญิงน้อยตระกูลหนานกงยังไง ครั้งที่แล้วแม่หล่อนยืนกรานว่าจะคลอดลูกที่ร่างกายอ่อนแอให้ได้ ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งท้องแต่ดันมาโกหกว่าตัวเองท้องอีก หล่อนคิดว่าแค่มีลูกของตระกูลหนานกงแล้วจะยึดครองตำแหน่งนายหญิงน้อยได้งั้นเหรอ ? ฝันไปเถอะ !”

คุณผู้หญิงยิ่งด่าก็ยิ่งใจร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเธอได้หันหน้าไปหาหนานกงเฉิน : “เจ้าหลานบื้อ นอนเตียงเดียวกันกับหล่อนทุกคืนแท้ ๆ มองไม่ออกเลยหรือไงว่าหล่อนไม่ได้ท้อง ?”

“ผมมองออกครับ”

“มองออกกับผีสิ !” คุณผู้หญิงโกรธจัดจนสบถคำหยาบออกมา : “ครั้งที่แล้วหล่อนปิดบังหลานมาสี่เดือน ครั้งนี้ถ้าไม่เป็นเพราะย่าจับได้ก่อน คาดว่าหล่อนคงปิดบังไปจนถึงเก้าเดือน จากนั้นก็แอบไปเก็บลูกเสือลูกตะเข้กลับมาแล้วบอกว่าเป็นลูกของตระกูลหนานกงอย่างนั้นแน่เลย”

“คุณย่าคงดูละครมากเกินไปน่ะครับ” หนานกงเฉินเก็บรอยยิ้มเอาไว้

ทว่าคำพูดเมื่อสักครู่ของคุณผู้หญิงได้พูดแทงใจดำของเขาเข้าแล้ว เรื่องนี้เขาเป็นคนโง่ที่ทั้งบื้อทั้งซื่อจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะถูกไป๋มู่ชิงปิดบังได้ตั้งสี่เดือน

“จริงด้วย คุณย่าคะ คิดว่ากำลังอยู่ในละครหรือเปล่าคะเนี่ย จะมีเรื่องแบบเอาแมวดาวมาปลอมเป็นลูกด้วยหรือเปล่าคะ ?” ผู่เหลียนเหยายิ้มพลางดึงคุณผู้หญิงนั่งลงบนโซฟาเหมือนเดิม :“พี่สะใภ้ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ อีกอย่างครั้งที่แล้วที่โกหกพี่ชายก็เป็นเพราะช่วยไม่ได้ อีกอย่างคุณย่าเป็นคนบอกให้พี่สะใภ้ทำแบบนั้นเองนี่คะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด