เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 154

“ผู้หญิงของฉันเยอะขนาดนั้น ฉันลืมไปแล้วละ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ : “เธอทนพักไปก่อนเถอะ ถ้าคิดว่ามันขัดหูขัดตาก็ทิ้งของที่เป็นของเขาทิ้งไปให้หมดซะ”

“คุณพูดเองนะ งั้นฉันจะโยนทิ้งจริง ๆ นะ” ไป๋มู่ชิงพูดพร้อมกัดฟันกรอบ น่าเกลียดจริง ๆ เลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับว่าผู้หญิงของตนเยอะมากได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ ?

“อืม” หนานกงเฉินพยักหน้า แล้วกล่าวว่า : “รีบไปล้างหน้าเถอะ ล้างเสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าวเช้า”

พูดจบ เขาก็ได้หันหลังแล้วเดินลงชั้นล่างนำไปก่อน

หลังจากที่หนานกงเฉินไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงเดินไปเดินมาในห้องอย่างกระส่ายกระสับ

ครั้งก่อนช่วงเวลาที่เธอเคยถูกขังอยู่ที่นี่ เธอกลัดกลุ้มใจจนผมจะขาวโพลนหมดแล้ว ไม่มีอารมณ์ไปคิดเรื่องอื่นเลย ยิ่งไม่มีอารมณ์ไปคิดว่าภายในห้องนี้เคยมีใครมาพักอยู่ก่อนหน้าหรือไม่ด้วย

ห้องนอนที่เธอพักอยู่นั้นเป็นห้องนอนรับแขกชั้นสาม ส่วนห้องนอนใหญ่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่เธอพักอยู่ และเธออาศัยอยู่ที่นี่มานานมากกลับไม่เคยก้าวเข้าไปในห้องนั้นเลย

ข้าง ๆ ห้องนอนใหญ่คือห้องเสื้อผ้าขนาดกว้างขวาง เธอเคยเข้าไปหนึ่งครั้งเมื่อก่อนหน้านี้ คราวนี้เมื่อเดินเข้าไปแล้วมองสำรวจเสื้อผ้าที่อยู่ด้านในอีกครั้ง ทันใดนั้นในใจของเธอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ แปลบเข้ามา

นี่คือความริษยาหรือ ? น่าจะแหละ !

เธอกวาดสายตามองเสื้อผ้าหลากสีสัน เป็นชุดตามฤดูกาลและหลากหลายรุ่นที่มีดีไซน์มากมายยิ่งกว่าร้านเสื้อผ้าแบรนด์แนมเสียอีก ครั้นเมื่อคิดถึงว่าชุดทั้งหมดนี้คือที่สามีตนซื้อให้กับผู้หญิงคนอื่นแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนก็ไม่มีทางสบายใจทั้งนั้น

ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจะอยู่ที่ไหนกันนะ ? ยังติดต่อกับหนานกงเฉินอยู่หรือเปล่า ?

น่าจะมีติดต่อกันบ้างใช่ไหม ? ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องเก็บของที่เป็นของเธอเอาไว้ทั้งหมดเช่นนี้ด้วย ?

ไป๋มู่ชิงกวาดเสื้อผ้าเบื้องหน้าลงบนพื้นทั้งหมด จากนั้นก็เอายัดใส่ถุงที่เตรียมเอาไว้แล้ว ทว่าหลังจากที่เธอนำชุดทั้งหมดยัดใส่ถุงขยะแล้ว สุดท้ายกลับตัดใจเผาชุดเหล่านี้ไม่ลงอยู่ดี เสื้อผ้าสุดแสนจะแพงเช่นนี้หากเผาทิ้งเสียเลยมันน่าเสียดายแย่ เธอทำไม่ลงจริง ๆ !

ถูกต้อง เธอเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้แหละ !

สุดท้าย เธอจึงแขวนเรียงเสื้อผ้าพวกนั้นกลับเข้าที่เดิมทีละชุดราวกับคนสติไม่ดี

ส่วนประตูอีกหนึ่งบานของห้องเสื้อผ้านั้นเชื่อมกับห้องนอนใหญ่อยู่ ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ด้านหลังของประตู เธอยื่นมือไปจับด้ามประตูแล้วบิดลง ทว่าอยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าการที่เธอทำเช่นนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี หากผู้หญิงคนนั้นอยู่ในก้นบึ้งส่วนจิตใจของหนานกงเฉิน แม้ว่าตัวเธอจะระเบิดห้องเสื้อผ้านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ และหากเธอผู้นั้นเป็นคนรักเก่าสักคนของหนานกงเฉินจริง ๆ เช่นนั้นแม้เขาจะเก็บของเหล่านี้ไว้ตลอดชีวิต ก็เป็นเพียงเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้วเท่านั้นแอง

หลังจากที่คิดได้ดังนั้น ไป๋มู่ชิงจึงขี้เกียจคิดมากแล้ว เธอหันหลังและออกไปจากห้องเสื้อผ้าทันที

ขณะที่พักอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็ก ไป๋มู่ชิงกลับเข้าสู่วันเวลาสุดแทนน่าเบื่อที่ทุกวันนอกจากดูโทรทัศน์ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นนั้นอีก ทว่าคราวนี้โชคดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์ทิ้ง หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโลกภายนอกอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว

ตั้งแต่ที่เธอมาพักที่คฤหาสน์หลังเล็ก หนานกงเฉินจะกลับมาที่นี่แทบทุกคืน จากนั้นก็จะทรมานเธอหนึ่งยก หรือพูดอย่างสวยหรูได้ว่าเขาตั้งใจอยากทำให้เธอตั้งครรภ์เร็ว ๆ เพื่อลบล้างคำดูหมิ่น

เธอไม่กล้าคาดหวังการลบล้างคำดูหมิ่นนั้นแต่อย่างใด ถึงอย่างไรเธอก็ทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของคุณผู้หญิงนอกจากเธอจะเป็นเครื่องมือคลอดลูกแล้ว ก็เทียบไม่ได้แม้แต่คนใช้เลย น่าจะสืบเนื่องจากเธอไม่ใช่คนรักฟ้าลิขิตของหนานกงเฉินเหมือนอย่างในตำนานนั่นแหละ

วันนี้ไป๋มู่ชิงตื่นนอนมาช่วงบ่าย จากนั้นคนรับใช้ใหม่ที่ชื่อเสี่ยวหยวนขึ้นมาบอกเธอว่าคุณผู้หญิงมาที่นี่

เมื่อได้ยินชื่อคุณผู้หญิง ไป๋มู่ชิงลืมความง่วงไปทันที จากนั้นเธอจึงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วลงไปชั้นล่าง

เธอกวาดสายตามองไปด้านนอกประตูพบว่าฝนกำลังตกอยู่ คิดไม่ถึงว่าคุณผู้หญิงจะถ่อมาถึงที่นี่ได้ มันคือเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมาหาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ?

แม้จะไม่ชอบนิสัยของคุณผู้หญิงก็ตาม ทว่าเพื่อหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกทุกประการเอาไว้ก่อน จากนั้นก็กล่าวทักทายเธอไปอย่างสุภาพ : “คุณย่า มาได้ยังไงคะเนี่ย ?”

คุณผู้หญิงถือแก้วน้ำชาอยู่ในมือ เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตจ้องหน้าไป๋มู่ชิง หลังจากผ่านมาชั่วครู่ก็ได้หัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน : “ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ เลย ทั้งที่คืนนั้นเธอพูดอย่างเย่อหยิ่งว่าจะออกไปจากตระกูลหนานกงแล้วแท้ ๆ ที่แท้ก็คือออกมาจากคฤหาสน์หลังเก่าเพื่อมาที่นี่นี่เอง”

“คุณชายใหญ่พาฉันมาที่นี่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงบอกไปตามความเป็นจริง

“แล้วเธอจะทำยังไงต่อเหรอ ? ก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปงั้นเหรอ ?”

“คุณย่าคะ ฉันเชื่อฟังคุณชายใหญ่ทุกอย่าง ถ้าเขาปริปากบอกว่าจะหย่ากับฉัน ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอนค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดยกปัญหาให้หนานกงเฉินพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมา ทำให้คุณผู้หญิงพูดไม่ออก

คุณผู้หญิงไร้คำพูด ผ่านมาชั่วครู่จึงได้กล่าวด้วยความโมโห : “เธอคิดว่าการที่ตัวเองมีหน้าตาเหมือนนังชั่วนั่น แล้วจะทำให้เฉินหลงไปได้ตลอดงั้นเหรอ ? ฝันไปเถอะ !”

คุณผู้หญิงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถ้าหากไม่เป็นเพราะไป๋มู่ชิง หนานกงเฉินคงไม่คัดค้านที่จะไปตามหาคนรักฟ้าลิขิตของเขา และคงไม่โกหกว่าเธอผู้นั้นได้ตายไปแล้วเพื่อเป็นการเพิกเฉยต่อความต้องการของตนเช่นนี้หรอก

ครั้นคำพูดนี้ของคุณผู้หญิง กลับทำให้ไป๋มู่ชิงจุกแน่นอยู่ในใจ เธอไม่ทราบมาก่อนว่าการที่หนานกงเฉินดีกับเธอนั้นเป็นเพราะเธอมีหน้าตาที่คล้ายกับคุณหนูจู

เธอเคยเห็นรูปถ่ายของคุณหนูจูผู้นั้น ครั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าตนเหมือนเธอตรงไหน หรือเป็นเพราะตนมองไม่ออกงั้นหรือ ?

“คุณย่า ที่ท่านมาวันนี้ เป็นเพราะดูหมิ่นฉันในคืนนั้นยังไม่สะใจพอ ก็เลยมาเสริมในวันนี้เหรอคะ ?” เธอพูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ

กิริยาเช่นนี้ของเธอทำให้คุณผู้หญิงไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง พี่เหอจึงรีบปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงคะ อย่าเพิ่งโกรธนะคะ พูดกันดี ๆ เถอะนะคะ”

คุณผู้หญิงระงับความโกรธในใจของตนลง น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีความนุ่มนวลลงบ้าง : “ฉันจะพูดตามความจริงให้เธอฟังก็แล้วกันนะ ฉันไม่ค้านที่เธอจะคบกับเฉินหรอกนะ แต่ภรรยาของเขาห้ามเป็นเธอ”

ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองต่ำแล้วฟังอย่างเงียบสงบ ไม่พูดแทรก

คุณผู้หญิงจึงพูดต่อไป : “เธอรู้หรือเปล่าว่าครั้งที่แล้วที่เฉินอาการกำเริบเขาฟื้นตอนไหน ? ปกติขอแค่ฟ้าสว่างเขาก็ฟื้นแล้ว แต่ครั้งที่แล้วกลับเป็นสิบโมงเช้า แถมคุณหมอหวงเป็นคนใช้ยาช่วยปลุกเขาด้วยซ้ำ”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมมองคุณผู้หญิงด้วยความตกใจ

หนานกงเฉินไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้แต่อย่างใด เธอไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงได้ฟื้นช้าเช่นนี้ มากไปกว่านั้นคือ เธอไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่คุณผู้หญิงบอกเธอเรื่องนี้เลย

“ตั้งแต่ที่เจอกับเธอ เฉินก็ล้มเลิกที่จะตามหาคนรักฟ้าลิขิต เขาคิดว่าเมื่อตนผ่านอายุ 30 ปีไปแล้วเคล็ดนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าอาการป่วยของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องตามเขา หรือมีความรู้สึกอันแท้จริงต่อเขาหรือไม่กันแน่ แต่ฉันหวังว่าเธอจะเห็นแก่ความเป็นความตายของเขา หวังดีกับเขา อย่าเป็นตัวถ่วงเขาเลย”

ไป๋มู่ชิงนิ่งเงียบไปเวลาชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น : “คุณย่า ฉันเข้าใจความหมายของคุณย่าแล้วค่ะ คุณย่าต้องการให้ฉันถอยออกเพื่อให้เขาตามหาคนรักฟ้าลิขิตใช่ไหมคะ ? ไม่ต้องห่วงนะคะ หลังจากเจอผู้หญิงคนนั้นแล้วอย่าลืมบอกฉันด้วยนะ ฉันจะละตำแหน่งนายหญิงน้อยตระกูลหนานกงให้กับเธอคนนั้นเอง ”

“เธอจะยอมให้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?” คุณผู้หญิงหัวเราะในลำคอ : “ฉันรู้ เมื่อถึงเวลานั้นเธอยังจะพูดคำนั้นอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่ว่าเชื่อฟังเฉินทุกอย่าง จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างหลังเฉินด้วยสีหน้าไร้เดียงสาน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วให้เฉินมาปรับความเข้าใจกับฉัน”

ไป๋มู่ชิงไร้คำพูดที่จะตอบโต้ อันที่จริงแล้วเธอไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นหนานกงเฉินจะยอมหย่าร้างกับเธอหรือไม่ และเรื่องที่หนานกงเฉินไม่ยินยอมนั้น ปกติแล้วก็จะยากมากที่จะมีใครสักคนมาบังคับเขาได้

หากหนานกงเฉินไม่ยินยอมแล้วเธอยังทำอะไรได้อีก ?

“คุณย่าคะ รอให้เจอคนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่าค่ะ บางทีเมื่อถึงตอนนั้นคุณชายใหญ่อาจเบื่อฉันแล้ว และขอหย่ากับฉันเองก็ได้” เธอไม่สามารถที่จะตอบคุณผู้หญิงไปตรง ๆ ได้ จึงทำได้เพียงพูดเช่นนั้นออกไป

อยู่ ๆ พี่เหอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น : “นายหญิงน้อยคะ คุณผู้หญิงได้เบาะแสแล้วค่ะ คาดว่าอีกไม่นานคงเจอตัวผู้หญิงคนนั้นค่ะ”

ได้เบาะแสแล้วงั้นหรือ ? เร็วเช่นนี้เลย ?

อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ รู้สึกแย่เต็มทน

คนรักที่ถือว่าเป็นผู้ที่โชคชะตาลิขิตของหนานกงเฉินจะปรากฏตัวแล้วงั้นหรือ ? ถึงเวลานั้นหนานกงเฉินคงต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอนเลย ก็คล้ายกับทั้งเจ็ดคนก่อนหน้า

“อีกอย่างครั้งนี้จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน” พี่เหอพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค : “เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงถึงได้หวังว่า เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะให้ความร่วมมือกับทุกคน ในการให้คุณชายใหญ่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเข้าสู่วงศ์ตระกูลอย่างราบรื่นค่ะ”

“ได้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตัวแข็งทื่อคล้ายกับหุ่นยนต์อย่างไรอย่างนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของหนานกงเฉิน เธอมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ ?

“ในเมื่อเธอยอมตอบตกลงแล้วก็ง่ายแล้วละ” คุณผู้หญิงยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แล้วพูดว่า “ยิ่งอัน หลังจากเข้ามาในบ้านตระกูลหนานกงแล้ว เธอเองก็ลำบากมาไม่น้อย เพราะงั้นเธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่มีทางเอาเปรียบเธอหรอก เรื่องเงินเธอพูดมาได้ตามใจชอบเลย หลังจากได้เงินก้อนนี้ไปแล้วเธอไปอยู่ต่างประเทศจะต้องมีชีวิตดีกว่าตอนนี้อีกแน่นอน……”

“คุณจะให้ฉันไปอยู่ต่างประเทศเหรอ ?” เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินคำว่าไปอยู่ต่างประเทศ จึงได้ตัดบทเธอทันที

“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ ? ยังมีวิธีอื่นด้วยเหรอ ?”

“ฉันไม่ไปอยู่ต่างประเทศ” ไป๋มู่ชิงพูดโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด

ไปอยู่ต่างประเทศงั้นหรือ ? ใครจะไปรู้ว่าไปแล้วจะเป็นเหมือนหกคนก่อนหน้าที่ตอนนี้ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาหรือเปล่า ? เธอยังมีคนในครอบครัวที่ต้องดูแล และยังมีลูกสาวที่ต้องตามหาด้วย เธอจะไปอยู่ต่างประเทศได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร ?

“ถ้างั้นความหมายของเธอคือปฏิเสธงั้นสิ ?”

“คุณย่าคะ คุณมีเงินแล้วจะมาบังคับขู่เข็นคนอื่นไม่ได้นะคะ สิ่งที่ฉันทำได้คือไม่ปฏิเสธการหย่า สำหรับว่าคุณชายเฉินจะคิดยังไงนั้นมันเป็นเรื่องของเขา แค่เขาพยักหน้าตกลง เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะออกไปจากตระกูลหนานกงโดยไม่เอาเงินไปสักแดงเลยก็ได้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นยืนจากโซฟา แล้วพูดว่า : “ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวก่อน”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” คุณผู้หญิงลุกขึ้นยืนจากโซฟาตามเธอ

ไป๋มู่ชิงจึงได้หยุดฝีเท้าของตน คุณผู้หญิงจ้องแผ่นหลังของเธอแล้วกัดฟันพูดว่า : “นี่เธอกำลังบังคับฉันอยู่นะ”

“คุณย่าจะทำกับฉันเหมือนหกคนก่อนหน้างั้นเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับมาแล้วยิ้มให้กับคุณผู้หญิง : “ถ้าใช่ละก็ ถ้างั้นก็เชิญตามสบายเลยค่ะ บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีหนึ่งข้อก็ได้นะคะ”

วิธีการของคุณผู้หญิงจะปฏิบัติกับเธออย่างไรหรือ ? ลักพาตัวเธอไปที่ต่างประเทศ ? ใช้ให้คนขับรถชนเธอตาย……?ไป๋มู่ชิงเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เธอหันหลังกลับแล้วเดินมุ่งขึ้นชั้นบน

เมื่อเห็นเงาหลังของเธอหายไปจากชั้นสองแล้ว พี่เหอจึงได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “คุณผู้หญิงคะ นิสัยของนายหญิงน้อยก็ดื้อรั้นแบบนี้แหละค่ะ ต้องใช้ไม้อ่อน คุณจะใช้ไม้แข็งกับเธอไม่ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามค่ะ”

“ฉันต้องคุกเข่าขอร้องหล่อนหรือไง ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยความโมโห

“ไม่ใช่ให้คุณไปคุกเข่าขอร้องเธอค่ะ นายหญิงน้อยไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเหมือนกัน บางทีการทำให้ซาบซึ้งใจและใช้เหตุผลในการพูดคุยกันจะเหมาะในการใช้กับคุณเขานะคะ”

คุณผู้หญิงหึในลำคอ เธอไม่เคยถูกคนนอกปฏิบัติด้วยอย่างต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนเลย จะใช้วิธีทำให้ซาบซึ้งใจและใช้เหตุผลในการพูดคุยกันได้อย่างไรกัน ?

ขณะที่หนานกงเฉินกลับมายังคฤหาสน์หลังเล็กตอนค่ำนั้น ไป๋มู่ชิงกำลังนอนหันหลังให้กับประตูอยู่พอดี

เขาหยุดที่ข้างประตู จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้ามาแล้วนั่งลงขอบเตียงเบื้องหลังเธอ แล้วตบหลังมือของเธอเบา ๆ : “หลับแล้วเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเขา ปิดตาแกล้งหลับต่อไป

“เลิกแกล้งทำได้แล้ว ฉันรู้ว่าเธอนอนไม่หลับ” หนานกงเฉินพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงเบิกตาขึ้น ทว่าไม่ได้หันหลังมาหาเขา หนานกงเฉินจึงถามขึ้น : “คุณย่ามาหาเธอเหรอ ?”

“คุณรู้เรื่องแล้ว ?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นน้ำเสียงเฉื่อยชา

“รู้แล้ว” หนานกงเฉินพลิกตัวเธอมา จากนั้นก็โน้มตัวลงไปพรมจูบบนริมฝีปากของเธอ : “พูดมาซิ ท่านพูดอะไรกับเธอบ้าง ฉันจะได้แนะนำเธอ”

“ท่านต้องการให้ฉันหย่ากับคุณ” ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาด้วยอารมณ์โมโห ภายในดวงตาสะท้อนความโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด

หนานกงเฉินเดาออกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงพยักหน้าแล้วถามกลับ : “แล้วเธอล่ะ ? ตอบกลับท่านยังไงเหรอ ?”

“ฉันบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ”

“ทุกต้องที่สุด” หนานกงเฉินพรมจูบไปบนริมฝีปากของเธออีกครั้ง : “เรื่องหย่าฉันเป็นคนตัดสินใจเอง เธอไม่มีสิทธิ์พูด”

“ท่านยังบอกฉันมากล่อมให้คุณหย่ากับฉันด้วย” ไป๋มู่ชิงผลักใบหน้าของเขาออกไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ อารมณ์ของเธอตอนนี้ดำดิ่งจนขีดสุด เขายังมีอารมณ์มาจูบเธออีกหรือไง อีกทั้งยังทำท่าทางที่ไม่เก็บมาใส่ใจอย่างไรอย่างนั้นด้วย

ทั้งที่เขาเป็นคนบังคับลากเธอเข้าสำนักกิจการพลเรือนเองแท้ ๆ ครั้นตอนนี้กลับกลายเป็นเธอที่กลัดกลุ้มใจเพียงคนเดียว

“เรื่องนี้เธอตอบกลับยังไงอีกเหรอ ?”

“ฉันบอกว่าฉันจะพยายาม”

หนานกงเฉินใช้ปลายนิ้วกดบนริมฝีปากของเธอ : “ได้เลย เธอพูดกล่อมสิ ฉันฟังอยู่”

“หนานกงเฉิน คุณให้ความสำคัญกับปัญหานี้สักหน่อยได้ไหม ?” ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกด้วยอารมณ์ไม่พอใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงพร้อมจ้องหน้าเขาตาเขม็ง

สำหรับอารมณ์โมโหของเธอ หนานกงเฉินไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ฉันไม่ให้ความสำคัญตรงไหน ?”

“คุณย่าบอกว่าท่านเจอเบาะแสของคนรักฟ้าลิขิตของคุณคนนั้นแล้ว ไม่นานก็จะเจอตัวเธอแล้ว ให้ฉันให้ความร่วมมือในการยอมให้คุณแต่งงานกับเธอ” ไป๋มู่ชิงกัดฟันกรอบ : “หนานกงเฉิน คุณไม่ยอมปล่อยฉันไป แต่ฉันไม่ไปไม่ได้เหมือนกันนะ ที่คุณย่าพูดก็ถูกว่าเรื่องนี้มันสัมพันธ์ถึงความเป็นความตายของคุณ ถ้าฉันไม่ปล่อยมือก็เห็นได้ชัดว่าฉันไร้มนุษยธรรม ไม่สนใจความเป็นความตายของคุณ คุณจะให้ฉันทำยังไงฮะ ?”

ในที่สุดสีหน้าของหนานกงเฉินก็บึ้งตึงขึ้นมา คุณย่าเจอเบาะแสของคนรักฟ้าลิขิตแล้วงั้นหรือ ?

ผู้หญิงคนนั้นจากไปได้หลายปีแล้ว ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย อยู่ ๆ ก็จะโผล่มาในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร ?

ผ่านมาชั่วครู่ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “สัมพันธ์ถึงความเป็นความตายของฉันงั้นเหรอ เธอเชื่อด้วย ?”

“ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว ฉันไม่เคยเชื่อตำนานคนรักฟ้าลิขิตอะไรนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว !”

“งั้นก็สิ้นเรื่อง” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นร่าเริง : “เชื่อก็จะมี ไม่เชื่อก็จะไม่มี”

“แต่ว่าคุณย่าเชื่อนี่”

“เธอไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันกล่อมคุณย่าเอง”

ความเชื่อที่คุณผู้หญิงเชื่อมาตลอดหลายปี จะยอมประนีประนอมให้เพราะคำกล่อมของเขาแค่นี้ได้อย่างไร ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้หนานกงเฉินทราบดี ไป๋มู่ชิงก็ทราบดีเช่นกัน

เธอจ้องหน้าเขา : “ทำไมไม่ยอมหย่ากับฉันสักที?”

หนานกงเฉินจ้องตาเธอกลับแล้วพูดว่า : “ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบเธอ จะลดค่าของฉันหนานกงเฉินลงหรือเปล่า ?”

ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะส่งให้เขา : “เรื่องความรักทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน จะลดค่าลงได้ยังไงกัน อีกอย่างรักแรกพบเป็นอะไรที่บริสุทธิ์และลืมยากที่สุดแล้ว การที่คุณทุ่มเทได้แบบนี้ก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง”

“เธอกำลังพูดซี้ซั้วอะไรอยู่ ?”

“การที่คุณชอบฉัน ก็เป็นเพราะฉันหน้าตาคล้ายกับรักแรกพบคนนั้นของคุณไม่ใช่หรือไง” เมื่อคิดมาจนถึงเรื่องนี้ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ

แม้เธอจะต่ำต้อยแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับไปเป็นตัวแทนของคนอื่นเขาเช่นนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด