เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 155

“อะไรกัน หรือว่างานไม่ใช่เรื่องสำคัญเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงจั๊กจี้จากการไซ้ซอกคอของเขา จึงได้หัวเราะพร้อมดิ้นไปดิ้นมา

“ธุระทางบริษัทให้สามีเธอจัดการก็พอแล้ว หน้าที่ของเธอคือรีบมีทายาทสืบสกุลให้ฉันโดยเร็ว” หนานกงเฉินโยนเธอไปบนเตียง จากนั้นก็ขึ้นคล่อมอยู่ด้านบน

ไป๋มู่ชิงหัวเราะไปขัดขืนไป พร้อมทั้งตะโกนขึ้น : “หนานกงเฉิน ฉันเพิ่งเข้าทำงานเองนะ คุณจะให้ฉันลาพักคลอดหรือไง”

“ไม่ดีเหรอ ? ไม่ต้องไปทำงานแถมยังมีเงินเดือนใช้อีก”

“ไม่เอาด้วยหรอก……ฉันต้องทำเรื่องใหญ่ !”

“ถ้าขัดขืนต่ออีกฉันจะหักเงินโบนัสเธอนะ” หนานกงเฉินพูดพลางกดร่างของเธอเอาไว้

ไป๋มู่ชิงไม่กล้าดิ้นไปมาเหมือนอย่างที่คิดไว้ ร่างกายของเธอสั่นเทา ในหัวยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ สุดท้ายจึงได้ตะโกนระบายความไม่สบายใจนั้นออกมา : “เมื่อกี้ใครเป็นคนบอกว่าบริษัทเป็นของเรากัน ตอนนี้กลับใช้วิธีหักเงินโบนัสเพื่อข่มขู่ให้ฉันทำเรื่องแบบนี้เนี่ยนะ ? เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการทำงานด้วย ? ไอ้นายทุนชั่ว!”

จุมพิตของหนานกงเฉินเคลื่อนขึ้นไปอยู่ข้างใบหูของเธอ เขาแค่นหัวเราะแล้วพูดว่า : “ใครใช้ให้ฉันเป็นนายทุนชั่วล่ะ ?”

หนานกงเฉินไม่ให้โอกาสเธอในการโต้เถียงต่อไปอีก เขาประกบปากเข้ากับของเธอทันที คำพูดที่ยังไม่ทันได้เปล่งออกมาจึงถูกดันกลับคืน

หนานกงเฉินจอดรถที่ด้านหน้าบริษัท เขาหันหน้ามาพูดกับไป๋มู่ชิงที่กำลังเตรียมลงรถ : “รอเดี๋ยว”

“มีอะไรคะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้ามาพลางก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็โน้มตัวลงมาจูบบนแก้มของเขาหนึ่งครั้ง : “เจอกันตอนเย็นค่ะ”

หนานกงเฉินไม่พอใจกับคำว่า ‘เจอกันตอนเย็น’ ของเธอเป็นอย่างมาก จึงได้ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “คุณภรรยา การที่ฉันพาเธอมาทำงานที่บริษัท เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือมีคนกินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อน การที่เธอเย็นชาใส่สามีตัวเองแบบนี้มันเหมาะสมแล้วจริง ๆ เหรอ ?”

“มื้อเช้ามื้อเย็นก็กินด้วยกันหมดนี่ คุณไม่เบื่อหรือไง ?” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เขา : “ฉันให้โอกาสคุณไปทานข้าวกับเลขาสาวสวยเหล่านั้นไม่ดีเหรอคะ ?”

“เลขาจะเรียกน้ำย่อยได้ดีเท่าเธอได้ยังไง”

“เลิกล้อเล่นได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงก้มมองเวลาอีกครั้ง : “เหลืออีกสามนาทีจะสายแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกันนะ”

เธอผลักเปิดประตูแล้วลงรถไป หนานกงเฉินเดินตามลงรถไปด้วยติด ๆ มุ่งไปยังล็อบบี้ขนาดใหญ่ชั้นหนึ่ง

ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับมาจึงพบว่าเขากำลังตามตนอยู่ จึงได้ถามขึ้นอย่างเอือมละอา : “คุณจะตามฉันมาทำไม ?”

“ฉันยังมีอะไรจะพูดกับเธออีก” หนานกงเฉินตอบรับการทักทายของพนักงานคนอื่นไป พร้อมทั้งตอบเธอไป

ไป๋มู่ชิงเห็นพวกเสี่ยวเถียนอยู่เบื้องหน้า จึงหันหน้าไปพูดกับเขาทันที : “มีธุระอะไรตอนเที่ยงค่อยว่ากันเถอะ ตอนเที่ยงฉันจะให้โอกาสคุณเลี้ยงข้าวฉันก็ได้”

“ตกลง” หนานกงเฉินหยุดเดินตามเธอ จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังลิฟต์ส่วนตัว

“มู่ชิง อรุณสวัสดิ์” เสี่ยวเถียนและเพื่อนร่วมงานสาวคนอื่น ๆ กล่าวทักทายเธอ

“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” หลังจากที่ไป๋มู่ชิงทักทายทุกคนเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าลิฟต์ไปพร้อมกัน

พนักงานผู้หญิงสวมชุดทำงานเต็มยศกลุ่มหนึ่งกำลังสนทนาหัวเราะคิกคักกันอยู่ในลิฟต์ ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองตนเองที่สวมชุดทำงานเต็มยศเช่นเดียวกัน ทั้งที่เข้ามาอยู่ในสังคมของพวกเธอได้แล้วแท้ ๆ ทว่ากลับไม่สามารถมีความสุขทุกวันได้อย่างพวกเธอเลย

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเธอทุกคนได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย สบายกว่าตัวเธอเองก็เป็นได้ !

เธอปรารถนาที่จะเป็นเหมือนอย่างผู้หญิงกลุ่มนี้มาก มีการงานที่มั่นคง มีลูกสาวที่น่ารักร่างกายแข็งแรง ใช้ชีวิตอยู่บนความเรียบง่าย มีชีวิตชีวาเช่นนี้ทุกวัน

“มู่ชิง เธอเป็นอะไรไป ?” เพื่อนร่วมงานสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเธอเอาแต่จ้องมองทุกคนโดยไม่พูดจา จึงได้มองหน้าเธอแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย

ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมา หัวเราะแล้วตอบไปว่า : “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกว่าชีวิตพวกเธอเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาทุกวันเลย ฉันอิจฉามาก”

“เธอเนี่ยนะอิจฉาพวกเรา ?” เพื่อนร่วมงานสาวผู้นั้นพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “เธอต่างหากที่พวกเราทุกคนต้องอิจฉา เมื่อวานนี้ฉันได้ยินมีคนคุยกันในห้องน้ำด้วยว่าชาติที่แล้วเธอจะต้องกอบกู้ทางช้างเผือกมาแน่ ๆ ชาตินี้เลยได้แต่งงานกับคุณชายเฉิน”

“อย่างนั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อน ๆ

เหตุใดเธอจึงคิดว่าตนเองจะต้องไปทำอะไรไม่ดีกับย่าเมิ่งไว้แน่ ๆ ชาตินี้ก็เลยเกี่ยวพันกับตระกูลหนานกงแบบนี้

“เฮ้อ คนเราก็เป็นอย่างนี้กันหมดไม่ใช่หรือไง ? คนอื่นอะไร ๆ ก็ดีหมด แต่ตัวเองอะไร ๆ ก็ไม่ดีสักอย่าง” เสี่ยวเถียนพูดพลางตบไหล่ไป๋มู่ชิงไป : “เธอรู้ไหมว่าเมื่อคืนนี้ฉันทะเลาะกับแฟนที่เอาแต่เล่นเกมทั้งวันจนถึงกี่โมง ? ดูรอยคล้ำใต้ตาของฉันก็รู้แล้วละ”

เธอชี้มายังดวงตาสองข้างของตัวเอง

“ของเธอยังน้อยนะ ดูจุดด่างดำบนหน้าฉันสิ” พนักงานสาวอีกคนชี้ใบหน้าตนเอง : “ลูกสาวคนโตเพิ่งหายป่วยสัปดาห์ที่แล้ว ลูกสาวคนเล็กก็มาไข้สูงติดต่อกันสี่วัน ฉันต้องตื่นขึ้นมาต้มยาสมุนไพรตีห้าทุกวัน หกโมงทำอาหารเช้า เจ็ดโมงส่งลูกไปเรียน ใกล้จะบ้าตายแล้ว”

“และก็ยังมี……”

“ถึงแล้ว ๆ ออกไปเถอะ”

“นี่ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“ไว้ค่อยหาเวลาว่างมานั่งระบายกันเนอะ ตอนนี้รีบกลับเข้าทำงานแผนกตัวเองก่อนเถอะ” เสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเข้าไปยังแผนกออกแบบ ทุกคนก็ได้แยกย้ายไปยังโต๊ะทำงานของตนเอง ไป๋มู่ชิงเห็นท่าทางส่ายหัวของทุกคนแล้ว อยู่ ๆ ก็เกิดความคิดที่ว่าความจริงแล้วตนนั้นไม่ใช่ผู้ที่ทุกข์ตรมที่สุดแต่อย่างใด

แต่จะว่าไป หากให้โอกาสเธอสักครั้ง เธอก็ยินยอมดูแลเจ้าหญิงตัวน้อยของตนเองหามรุ่มหามค่ำทุกวัน ต่อให้นอนดึกจนใบหน้าเต็มไปด้วยจุดด่างดำก็ยอม

ครั้นน่าเสียดายที่ลูกของเธอไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเธอเลย !

ช่วงเที่ยง ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วพูดว่า : “คุณบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับฉันไม่ใช่เหรอ ? เรื่องอะไรกันแน่ ?”

หนานกงเฉินนำสเต๊กเนื้อชิ้นเล็กที่หั่นไว้แล้วใส่จานของเธอ : “ลองดูซิรสชาติเป็นยังไง”

ไป๋มู่ชิงจิ้มสเต๊กเนื้อชิ้นเล็กเข้าปาก แล้วพยักหน้า : “อร่อย”

“ลองอันนี้ดูอีก” หนานกงเฉินหั่นเนื้อสันในไก่เป็นชิ้นเล็กในจานตัวเองแล้วยื่นให้เธอ

ไป๋มู่ชิงทานเนื้อที่เขาตักให้ไม่หยุดไป พร้อมกรอกตามองบนไป : “หนานกงเฉินนานแล้วนะ คุณจะพูดเรื่องสำคัญได้ยัง”

หนานกงเฉินจิ้มสเต๊กชิ้นเล็กเข้าปากตัวเอง แล้วพูดว่า : “ความจริงก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก”

“คุณ……โกหกฉันงั้นเหรอ ?”

“ใช่น่ะสิ อยากทานข้าวเที่ยงกับเธอยังต้องโกหกด้วย น่าสงสารจังเลย”

“คุณชายใหญ่เฉิน ฉันพบว่าตอนที่คุณไม่เย็นชาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เขา จากนั้นก็พูดทิ้งท้ายให้เขาสองพยางค์ : “น่าเบื่อ !”

“ขอบใจ” หนานกงเฉินยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก พลางครุ่นคิดไปมา : “ความจริงเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เมื่อคืนลืมพูดกับเธอ”

“เรื่องอะไรเหรอ ?”

เขาจ้องหน้าเธอ แล้วพูดขึ้นว่า : “วันเกิดของเธอใกล้จะถึงแล้ว อยากได้อะไรเป็นของขวัญหรือเปล่า ? ฉันจะหามาให้”

ไป๋มู่ชิงชะงักเล็กน้อย วันเกิดของเธอหรือ ? จริงด้วย วันเกิดของเธอใกล้จะถึงแล้ว เรื่องนี้แม้แต่ตัวเธอเองก็ใกล้ลืมไปแล้ว ทว่าเขากลับจำได้หรือนี่ ?

เธอฉีกยิ้มขึ้น : “ไม่ต้องหรอก การที่คุณให้ฉันออกมาทำงานก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้วละ”

“เธอขออะไรที่มันดีกว่านี้ได้”

ของขวัญที่ดีกว่านี้เหรอ ? ไป๋มู่ชิงอ้าปากคล้ายจะพูดอะไร ครั้นสุดท้ายก็ส่ายหน้า : “แค่เป็นสิ่งของที่คุณให้ ฉันชอบหมดแหละ”

“ความหมายของเธอคือ ให้ฉันคิดเอาเอง ?”

“ถูกต้อง ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยของขวัญจากคุณนะ”

“งั้นพอดีเลย” หนานกงเฉินยิ้มขึ้น : “อาทิตย์หน้าฉันจะไปทำงานนอกสถานที่ ที่ประเทศฝรั่งเศส เธอไปกับฉัน ไปแคว้นโพรวองซ์ แนวชายฝั่งทะเลสีฟ้าทางตอนใต้เป็นต้น นี่เป็นสถานที่ที่ฉันไปกับผู้หญิงครั้งแรกเลยนะ เซอร์ไพรส์พอไหม ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็มีความผิดหวังลอยผ่านเข้ามา เหตุใดไม่เอาเสี่ยวอี้มาให้เธอ เพื่อมอบเซอร์ไพรส์ใหญ่กับเธอเล่า ?

แม้แคว้นโพรวองซ์จะเป็นสถานที่ที่เธออยากไปมาตลอด และการที่ออกไปท่องเที่ยวกับเขาสองคนนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สวยงามอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับการเอาเสี่ยวอี้มาให้นั้นถือว่าเทียบกันไม่ติด

“ทำไม ? ไม่เซอร์ไพรส์พอเหรอ งั้นเธออยากไปที่ไหนบอกฉันมา ฉันพาเธอไปได้หมด”

“ไม่หรอก เซอร์ไพรส์มากพอแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงกักเก็บความผิดหวังที่อยู่ในใจเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม : “ฉันฝันว่าอยากเดินชมวิวในทุ่งดอกไม้ที่แคว้นโพรวองซ์กับคนรักมาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันคิดว่านี่จะต้องเป็นของขวัญที่ทำให้ลืมไม่ได้ตลอดชีวิตเลยค่ะ”

“ชอบก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินอมยิ้ม

“แต่ว่า……”

“อะไรเหรอ ?”

“อาทิตย์หน้าฉันต้องทำงาน”

สีหน้าของหนานกงเฉินบึ้งตึงขึ้นมา : “คุณภรรยา อย่าทำให้หมดสนุกแบบนี้ได้ไหม ?”

“ฉันพูดจริงจังนะ”

“ฉันก็จริงจังเหมือนกัน ถ้าต่อไปทำให้หมดสนุกแบบนี้อีก ฉันจะไล่เธอออกให้หยุดพักยาวไปเลย”

“หัวรุนแรง !”

“บอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง ? สามีที่หนึ่ง งานที่สอง”

ไป๋มู่ชิงทำหน้ามุ่ย ไม่กล่าวอันใดต่อ

“สามี ดูภาพร่างที่ฉันวาดอันนี้สิ สวยไหม ?” ไป๋มู่ชิงยื่นโทรศัพท์ไปให้หนานกงเฉินดู จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ : “วันนี้ผู้จัดการหวงชมฉันในที่ประชุมด้วยนะ”

หนานกงเฉินหลับตาลง พร้อมกอดเธอเอาไว้แน่น : “เห็นแล้ว ใช้ได้”

“คุณเห็นแล้วเหรอ ? ตอนไหน ?”

“ตอนประชุมวันนี้”

“จริงเหรอ ? คุณคิดว่าใช้ได้จริง ๆ เหรอ ?” ใบหน้าไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความตื่นตื่นเต้นดีใจ

“อืม” หนานกงเฉินนำโทรศัพท์ของเธอไปวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง : “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปขึ้นเครื่อง”

ไป๋มู่ชิงกลับยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์กลับคืนมา แล้วเปิดภาพร่างที่ตนทำขึ้นใหม่ล่าสุดขึ้นพร้อมบังคับให้เขาดู : “คุณไม่ได้ดูสักนิด คุณบอกฉันมาว่าคุณชอบส่วนไหนของรูปนั้นมากที่สุด ?”

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอหัวรั้นเช่นนั้น จึงทำได้เพียงลืมตาแล้วมองหน้าจอโทรศัพท์ของเธอ จากนั้นก็ชี้ไปสักส่วนในรูปนั้น : “ฉันชอบสวนดอกไม้ลอยฟ้า รู้สึกเหมือนจะสบายมาก”

“จริงเหรอ ? ฉันชอบเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงยิ้มตาหยี : “สถานที่ตรงนี้ตอนเช้าจะมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา ถ้าตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงไปนอนเล่นอาบแดด อ่านหนังสือที่นั้นละก็นะ แค่คิดก็สบายมากเลยแหละ ”

“ถ้าชอบเดี๋ยวซื้อให้สักหลัง”

“ไม่ต้องหรอก ฉันพักบ้านที่เยอะขนาดนั้นไม่ไหวหรอก” ไป๋มู่ชิงดันตัวเองขึ้นนั่งแล้วจ้องหน้าเขา : “ความหมายของคุณคือ จะใช้แผนงานออกแบบของฉันเหรอ ?”

“แผ่นร่างออกแบบของคุณภรรยาของประธานกรรมการบริหาร แน่นอนว่าจะต้องพิจารณาใช้งานเป็นคนแรกอยู่แล้ว”

“จริงหรือเปล่า ? พูดกันไว้แล้วไม่ใช่หรือไงว่าจะไม่ให้สิทธิพิเศษกับฉัน ?”

“แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เรื่องจริงสิ นี่มันคืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ จะทำตามที่ใจอยากไม่ได้หรอกนะ จะต้องคำนึงถึงการใช้งานจริง รวมถึงขนาดใช้สอยภายในห้องด้วย เพราะสิ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจมากที่สุดก็คือส่วนนี้แหละ เธอออกแบบสวนลอยฟ้าที่ใหญ่ขนาดนี้ มันเป็นการสิ้นเปลืองพื้นที่ไม่ใช่หรือไง ?” หนานกงเฉินก้มหน้าลงไปพรมจูบริมฝีปากของเธอ : “เพราะงั้นที่ประชุมวันนี้ ฉันเอาแผ่นร่างของเธอทิ้งเป็นคนแรกแล้วก็ด่าผู้จัดการหวงไปยกใหญ่ด้วย”

“ฮะ ? ด่าผู้จัดการเหรอ ?”

“อืม”

“ด่าว่าอะไร ?”

“ด่าว่าต่อจากนี้อย่าเอาภาพออกแบบที่ไร้คุณภาพแบบนี้มาให้ฉันดูอีก จากนั้นก็ถามไปอีกว่า คนที่ไร้ความสามารถแบบนี้ใครเป็นคนรับเข้ามาทำงานกัน แต่พออ่านชื่อด้านล่างของกระดาษแล้ว……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด