เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 158

สรุปบท บทที่ 158 ถูกคนสะกดรอยตาม: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

บทที่ 158 ถูกคนสะกดรอยตาม – ตอนที่ต้องอ่านของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ตอนนี้ของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายInternetทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 158 ถูกคนสะกดรอยตาม จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีท่าทีว่าจะตื่นนอนและไม่มีความปรารถนานั้น หนานกงเฉินทำได้เพียงล้มเลิกความตั้งใจ เขากัดติ่งหูของเธอพร้อมพูดว่า : “ก็ได้ คืนนี้ปล่อยเธอไปก่อนก็แล้วกัน”

ถึงแม้ว่าการโอบกอดร่างกายอันหอมหวนและได้สัมผัสผิวอันนุ่มลื่นเช่นนี้จะทำให้นอนหลับได้ยากมากก็ตามที ทว่าเมื่อเห็นว่าเธอง่วงถึงเพียงนี้ เขาทำได้เพียงอดกลั้นความปรารถนาเอาไว้ โชคดีที่เขาเองก็เดินเที่ยวทั้งวันจนมีอาการเหนื่อยล้าเช่นกัน ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับตามเธอไป

วันต่อมา ไป๋มู่ชิงตื่นเพราะเสียงนกร้องอันไพเราะที่ดังเข้ามาจากด้านนอก เธอค่อย ๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น แสงแห่งรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาทั่วห้อง สีทองอร่ามงดงามจนต้องตกตะลึงไป

เธอหันข้างมองสำรวจดูจึงพบว่าข้างลำตัวเธอมีร่องรอยของคนนอน ทว่าคนผู้นั้นได้ออกไปแล้ว

เมื่อคืนนี้……อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าตนนั้นหลับใหลไปพร้อมกลิ่นหอมอันสดชื่นของดอกลาเวนเดอร์ขณะที่แช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเธอก็จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

เธอก้มหน้าเลิกผ้าห่มขึ้นจึงเห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตนเอง ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นหนานกงเฉินได้ทำอะไรเธอหรือไม่นะ ? น่าจะไม่ได้ทำใช่ไหม ? เข้าเหี้ยมโหดเช่นนั้น หากว่าทำเธอจะต้องรู้ตัวเป็นแน่

จะว่าไป ต่อให้ทำแล้วจะอย่างไรหรือ ? เป็นเรื่องที่ปกติมากเลยไม่ใช่หรือไง ?

ไป๋มู่ชิงส่ายหัวไปมา รู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องไปปวดหัวกับปัญหานี้ต่อแต่อย่างใด

เมื่อนึกถึงอ่างอาบน้ำกลิ่นดอกลาเวนเดอร์เมื่อคืนนี้แล้ว เธอจึงยกแขนขึ้นมาดมพบว่ามีกลิ่นหอมอยู่จริง ๆ ด้วย

เสียงคนสนทนาดังเจื้อยแจ้วเข้ามาจากด้านนอกเรื่อย ๆ และบางคราก็จะมีเสียงพูดของหนานกงเฉินด้วย ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยความสงสัย จากนั้นก็คลุมชุดนอนแล้วเดินออกไปยังระเบียง จึงเห็นหนานกงเฉินกำลังนั่งสนทนาอยู่กับคุณยายเจ้าของบ้านอยู่ชั้นหนึ่งเหมือนอย่างที่คิดไว้

สายตาของเขาตกอยู่บนอัลบั้มรูปถ่ายเล่มหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวสอดอยู่ช่องว่างระหว่างหน้าของอัลบั้ม บนใบหน้าเผยรอยยิ้มจาง ๆ ท่าทางสง่างาม ซึ่งเขากำลังนั่งฟังคุณยายเจ้าของบ้านบอกเล่าอย่างตั้งใจ แสงรุ่งอรุณอันอบอุ่นสาดส่องกระทบบนร่างของทั้งสองคน ภาพที่ปรากฏออกมามองดูแล้วแลดูอบอุ่นและน่าประทับใจ

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ไป๋มู่ชิงเห็นเขากำลังนั่งใจจดใจจ่อฟังผู้อื่นพูดอย่างอดทนเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่ไม่รู้จักอีก แม้แต่คุณผู้หญิง เธอก็ไม่เคยเห็นหนานกงเฉินนั่งสนทนากับท่านเช่นเวลานี้มาก่อน

เธอได้เด็ดกลีบดอกกุหลาบอันสดใสจากกระถางมาสองสามชิ้น จากนั้นก็ปล่อยลงไป กลีบดอกไม้หล่นลงบนอัลบั้มรูปถ่ายในมือของหนานกงเฉินพอดิบพอดี หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมาจึงพบว่าไป๋มู่ชิ่งซึ่งมีแสงรุ่งอรุณอันอบอุ่นอาบทั่วร่างอยู่กำลังส่งยิ้มมาให้ตน

เขาจึงส่งรอยยิ้มกลับไปให้ และโบกไม้โบกมือเรียกเธอ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าและวิ่งเข้าไปภายในห้องอย่างร่างเริง จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมทั้งกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปชั้นล่าง

เธอทักทายคุณยายท่านนั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เพิ่งเรียนรู้เมื่อไม่นานมานี้ คุณยายท่านนั้นจึงปลื้มอกปลื้มใจอย่างเห็นได้ชัด และได้ชี้นิ้วบอกให้เธอมาดูอัลบั้มรูปด้วยกัน

ไป๋มู่ชิงนั่งลงข้าง ๆ หนานกงเฉินพร้อมคล้องแขนเขาและถามว่า : “กำลังดูอะไรอยู่เหรอคะ ?”

หนานกงเฉินหันหน้าไปหาและดมเส้นผมของเธอ พร้อมพูดเสียงเบาว่า : “เธอหอมจัง”

“อยู่ต่อหน้าคนอื่นจริงจังหน่อยสิ” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นดันหน้าเขาออก จากนั้นก็ก้มหน้าดูอัลบั้มต่อพลางถามว่า : “ดูอะไรอยู่เหรอ ?”

“ดูอัลบั้มรูปครอบครัวของคุณยายท่านนี้น่ะ ดูสิ นี่คือลูกชายของท่าน ตอนนี้กำลังดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ที่เขตกองทัพเรือ คุณยายภูมิใจในตัวเขามากเลยละ”

“หล่อจริง ๆ ด้วยแฮะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

หนานกงเฉินยกมือขึ้นแล้วตบไปยังหน้าผากของเธอหนึ่งครั้ง : “จุดโฟกัสอย่าห่างไกลมากจะได้ไหม ?”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้เขา : “ฉันพูดเรื่องจริงนี่นา ผู้ชายที่ใส่ชุดทหารนี่หล่อหมดเลยนะ”

“ผู้ชายที่ใส่สูทไม่หล่อหรือไง ?”

“หล่อเหมือนกัน”

“ฉันกับเขาใครหล่อกว่ากันแน่ ?” หนานกงเฉินใช้คางชี้ไปยังผู้ชายสวมชุดทหารในอัลบั้ม

ผู้ชายคนนี้ลำพองใจมากพอแล้ว ไป๋มู่ชิงไม่อยากให้เขาลำพองใจมากกว่าเดิม จึงไม่อยากบอกความจริงเขาว่าอันที่จริงแล้วเขาเป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาบนโลกนี้เลย เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงฉีกยิ้มกว้างและกล่าวว่า : “พวกเราเลิกคุยกันเรื่องนี้เถอะ ถ้าฉันบอกว่าคุณหล่อกว่า คุณยายจะเสียใจเอานะ”

“คุณยายฟังไม่ออกหรอก” หนานกงเฉินไม่ยอมง่าย ๆ

ไป๋มู่ชิงทำได้เพียงประนีประนอมให้ เธอเงยหน้าขึ้นมาแล้วพรมจูบไปยังคางของเขา : “คุณหล่อกว่าหน่อย”

“แค่นิดหน่อยเหรอ ?”

“ไม่ใช่แค่นิดหน่อยแต่ว่า มากๆเลย” ไป๋มู่ชิงเอือมละอา ตอนนี้เธอพบว่าบางคราผู้ชายคนนี้ก็เอาใจยากเสียจริง !

ในที่สุดหนานกงเฉินก็พึงพอใจ ไม่มีอะไรทำให้ปลื้มใจยิ่งกว่าหญิงอันเป็นที่รักของตนชื่นชมต่อหน้าอีกแล้ว

เมื่อคุณยายท่านนั้นเห็นว่าทั้งสองคนกระหนุงกระหนิงกันอยู่ หลังจากที่ให้พนักงานมารินน้ำให้ไป๋มู่ชิง ตนจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ

ไป๋มู่ชิงมีความสนใจอัลบั้มที่ทำให้คุณยายท่านนั้นภูมิใจเล่มนี้เป็นอย่างมาก เธอเปิดหน้าอัลบั้มไปหันหน้ามาถามหนานกงเฉินไป เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าเธอมีความสนใจเช่นนี้กลับไม่พอใจขึ้นมา

“ทำไมเธอถึงสนใจผู้ชายคนนี้นัก ?” เขาถามในสิ่งที่ไม่พอใจ

ไป๋มู่ชิงมองค้อนใส่เขา : “เมื่อกี้ใครบอกกันว่าจุดโฟกัสอย่าห่างไกลมากจะได้ไหม ?”

“เธอบอกว่าเขาหล่อก่อนนะ”

“จากนั้นฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าคุณหล่อกว่าเขามาก ๆ มาก ๆ น่ะ?”

หนานกงเฉินยื่นมือไปปิดอัลบั้มรูปลง จากนั้นก็กัดใบหูของเธอเบา ๆ : “กลับห้อง สู้กันตัวต่อตัว”

ไป๋มู่ชิงหัวเราะ ‘คิก’ ออกมา จากนั้นก็ยกสองมือขึ้นบีบแก้มสองข้างบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา : “หนานกงเฉิน ฉันเห็นทีว่าคุณจะน่ารักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจริง ๆ ใช่ไหม ?”

กลับห้องไปสู้กันตัวต่อตัวงั้นหรือ ? เธอไม่เอาด้วยหรอก ดูเพียงแค่รูปร่างของเขา ต่อให้มีไป๋มู่ชิงสองคนก็อาจจะไม่ใช่คู่แข่งของเขาแต่อย่างใด

ทว่านี่มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอว่าจะยอมหรือไม่ยอม เพราะแค่เป็นสิ่งที่หนานกงเฉินต้องการ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเลย

เพื่อเป็นการไม่ให้ผู้อื่นเข้าใจผิด เธอจึงเดินตามหนานกงเฉินขึ้นไปชั้นบนกึ่งคัดค้านกึ่งขอประนีประนอม

เสียงประตูปิดลงดัง ‘ปัง’ จากนั้นร่างกายของเธอก็ถูกกดไว้บนเตียง

หนานกงเฉินมุดหน้าอันหล่อเหลาของตนเข้าไปในซอกคอของเธอ จากนั้นก็สูดดมยาว ๆ : “หอมเหมือนเดิมเลยนะ ดอกลาเวนเดอร์ตอนฤดูเก็บเกี่ยวนี่มันกลิ่นต้นตำรับที่สุดจริง ๆ”

“คุณก็แช่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ?” ไป๋มู่ชิงก็เลียนแบบท่าทางของเขา ยื่นหน้าเข้าไปสูดดมบริเวณซอกคอของเขา : “กลิ่นหอมจางไปนิดนะ”

“ถ้าฉันพาตัวที่มีกลิ่นหอมแบบนี้ออกไปข้างนอก คนอื่นคงมองว่าฉันโรคจิตแล้วละ”

“แล้วยังไงต่อ ?”

“เมื่อกี้ฉันอาบน้ำถูสบู่แรง ๆ ไปหนึ่งรอบแล้ว”

“น่าเสียดายจัง” ไป๋มู่ชิงใช้หมัดน้อย ๆ ชกไปยังไหล่ของเขา : “คุณกำลังสิ้นเปลืองน้ำมันหอมระเหยของฉันอยู่ คุณต้องชดใช้ฉันมานะ”

หนานกงเฉินจับมือน้อย ๆ ของเธอเอาไว้มือเดียว จากนั้นก็ยกขึ้นมาจูบ : “ถ้าเธอชอบ ฉันจะฝากคนอื่นหิ้วซื้อให้ อยากได้เท่าไหร่ได้หมดเลย”

“คุณรับปากนะ”

“อืม ฉันรับปาก แล้วเธอล่ะ ? ควรตอบแทนสักหน่อยไหม ?”

“ไม่ได้”

“หืม ?”

“ฉันต้องเก็บแรงเอาไว้เดินชมเมือง” ไป๋มู่ชิงจับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา : “ตอนนี้พาฉันไปเดินชมเมืองก่อน ตอนค่ำค่อยตอบแทนนะ โอเคไหม”

หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ตอนค่ำเธอก็ไม่หอมแล้วสิ”

“ฉันแช่อีกก็ได้นี่ รับประกันเลยว่าจะแช่ให้หอมกว่าตอนนี้อีกเลย” ไป๋มู่ชิงพูดรับปากด้วยสีหน้าจริงจัง

หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ตอบตกลง ด้วยการเลียนแบบน้ำเสียงของเธอเมื่อสักครู่ : “เธอรับปากเองนะ”

“ใช่ ฉันรับปาก”

ในที่สุดหนานกงเฉินก็พลิกตัวออกไปจากร่างของเธอ จากนั้นก็ดึงเธอขึ้นมาจากเตียง พร้อมกล่าวว่า : “พวกเราไปกินข้าวเช้าก่อน จากนั้นค่อยไปเดินชมเมือง”

“คุณรู้เส้นทางไหม ?”

“เมื่อกี้ฉันสอบถามคุณยายท่านนั้นเรียบร้อยแล้ว สถานที่ที่ท่านแนะนำมาเข้าท่าดี เธอน่าจะชอบ”

“เยี่ยมไปเลย” ไป๋มู่ชิงค่อนข้างชอบวิวทิวทัศน์แบบธรรมชาติเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อวานวิวทิวทัศน์ขณะที่เดินทางมาเธอก็รับรู้ได้ว่าที่นี่ต้องสุดยอดแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะยังมีสถานที่ที่เยี่ยมกว่านี้อีก

เมืองแห่งนี้เป็นเมืองยุโรปรูปแบบดั้งเดิม มีธรรมชาติงดงาม ต้นไม้เขียวชอุ่ม เป็นสถานที่ที่เห็นไม่ได้ในประเทศ สำหรับผู้คนที่มาที่แห่งนี้ต่างก็เป็นมิตรกันทุกคน ไม่มีความรู้สึกที่แบ่งแยกคนนอกเลยสักนิด

เมื่อทั้งสองคนดื่มด่ำกับบรรยากาศอันโดดเด่นของเมืองนี้ด้วยกันพอใจแล้ว ช่วงบ่ายจึงได้ออกเดินทางกลับปารีส

ไป๋มู่ชิงหลับอยู่บนรถตลอดทาง ขณะที่ตื่นขึ้นมาก็ได้อยู่ด้านหน้าคฤหาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หนานกงเฉินมองหน้าเธอพร้อมฉีกยิ้มขึ้น : “ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าจะต้องอุ้มเธอเข้าไปหรือเปล่า”

“ถึงแล้วเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงมองสำรวจบริเวณรอบ ๆ ในหัวมีความสับสนงุนงงเล็กน้อย

จากนั้นเธอก็มองเห็นเสี่ยวอี้วิ่งเข้ามาจากด้านใน : “พี่ พี่เขยกลับมาแล้วเหรอครับ ? เอาของขวัญมาให้ผมหรือเปล่า !”

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเสี่ยวอี้จึงได้ตาสว่างทันที เธอลงไปรับร่างน้อย ๆ ที่วิ่งพุ่งเข้ามา : “แน่นอนอยู่แล้ว จะไม่เอาของขวัญมาให้เธอได้ยังไงล่ะ ?”

“เอาอะไรมาฝากผมเหรอครับ ?”

“เข้าไปก็รู้เองแหละ” ไป๋มู่ชิงจูงมือเขาเดินเข้าด้านในพร้อมกัน

จูฮุ่ยยังไม่หายจากความหวาดกลัวหนานกงเฉินเช่นเคย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจึงดูเก้ ๆ กัง ๆ จนถึงขีดสุด หลังจากที่ต้อนรับทั้งสองคนให้เข้ามานั่งเหมือนดั่งต้อนรับแขกวีไอพีแล้วนั้น เธอจึงเดินเข้าไปรินน้ำในห้องครัว

ไป๋มู่ชิงเห็นดังนั้นจึงโน้มตัวลงไปกล่าวตำหนิเสียงเบาข้างหูหนานกงเฉิน : “ดูสิคุณทำให้แม่ฉันขวัญเสียไปแล้ว ทุกครั้งที่เห็นหน้าคุณก็จะตัวสั่น”

หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ : “นาน ๆ เข้าก็จะดีขึ้นเอง ต้องมีสักวันที่ฉันทำให้ท่านรู้ว่าฉัน ทะนุถนอมลูกสาวท่านมากแค่ไหน”

“นี่จ้ะ ดื่มน้ำ” ขณะที่จูฮุ่ยวางแก้วน้ำลงเบื้องหน้าหนานกงเฉินนั้น อาจเนื่องด้วยความวิตกกังวลจนเกินไป จึงทำให้แก้วหล่นลงพรมทำให้น้ำกระเด็นออกมา

“ขอโทษจ้ะ ขอโทษ……” เธอรีบก้มลงไปเก็บแก้วที่หล่นลงพื้นทันที

หนานกงเฉินกลับก้มลงไปเก็บขึ้นมาก่อนเธอ พร้อมทั้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม : “แม่ครับ ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ใช่เสือกินคนสักหน่อย”

“อืม แหะ ๆ……” จูฮุ่ยพยักหน้า ครั้นความกลัวในใจกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

“แม่ครับ ผมสงสัยมาก ทำไมมู่ชิงถึงไม่ได้รับพันธุกรรมความว่าง่ายจากคุณแม่มาบ้างนะ ? เธอรังแกผมทุกวันเลยครับ” หนานกงเฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นผลักใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาจากนั้นก็พูดโต้ตอบทันควัน : “คุณโกหก ฉันเป็นอย่างนั้นซะที่ไหนล่ะ”

ความจริงแล้วเธอทราบดีว่าที่หนานกงเฉินพูดเช่นนั้นก็เพื่อทำให้แม่ตนหายเกร็งเท่านั้น เธอจึงรู้สึกประทับใจขึ้นมาลึก ๆ

ช่วงค่ำ ไป๋มู่ชิงพูดถึงความคิดที่เธออยากอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวอี้อีกสองสามวันกับจูฮุ่ย เดิมเธออยากบอกความคิดนี้ถูกหนานกงเฉินปฏิเสธไปแล้ว ครั้นคาดไม่ถึงว่าจูฮุ่ยมีความคิดคัดค้านความคิดนี้ของเธอชัดเจนยิ่งกว่าหนานกงเฉินเสียอีก

“ลูกกลับประเทศไปดีกว่านะ” จูฮุ่ยพูดขึ้นโดยตรง

ไป๋มู่ชิงจึงมองเธอด้วยสายตาตกตะลึง : “แม่ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ? ไม่อยากเห็นหน้าหนูเหรอ ?”

“จะเป็นอย่างนั้นได้ไง ?” จูฮุ่ยส่ายหัวพร้อมกล่าวต่อ : “แม่แค่ไม่อยากทำให้คุณชายเฉินโมโหน่ะ ลูกกลับประเทศพร้อมเขาดีกว่านะ”

ก่อนหน้าที่หนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงยังไม่มานั้น ถึงแม้ตัวเธอจะกระวนกระวายใจอยู่ก็ตาม ทว่าอย่างน้อยทุกวันนี้ก็ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ต้องถูกผูกมัดขนาดนั้น หนานกงเฉินมาที่นี่ได้แค่ไม่นาน เธอกลับรู้สึกว่ามาเป็นแรมปี อยากให้เขาออกไปจากที่นี่โดยเร็ว

ความหวาดกลัวที่เธอมีต่อหนานกงเฉินนั้น ไม่ได้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าแม่ของตนหวาดกลัวจนถึงขั้นนี้ จึงพูดปลอบประโยนไปพร้อมรอยยิ้ม : “แม่คะ หนูบอกแม่ไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าคุณชายเฉินไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่แม่คิดขนาดนั้นและไม่ได้น่ากลัวเหมือนข่าวลือด้วย สวีหย่าหรงสองพ่อลูกนั่นเป็นเพราะไปโดนขีดอดทนสูงสุดของเขาเข้า ก็เลยทำกับพวกเขาอย่างนั้นค่ะ”

จูฮุ่ยจ้องหน้าไป๋มู่ชิง ทันใดนั้นเองก็ถามเธอไปอย่างสงสัยว่า : “มู่ชิง คุณชายเฉินกดดันพ่อของลูกจนเขาตาย ลูกไม่เกลียดเขาสักนิดเลยงั้นเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป ดวงตาสองข้างจ้องมองแม่ตนด้วยความตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นคิดไม่ถึงเลยว่าแม่จะถามเช่นนี้

เธอเองไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เลย เป็นเพราะตนนั้นเย็นชาเกินไปงั้นหรือ ? เธอถามตนเองอย่างช่วยไม่ได้ในใจ

ถึงแม้ไป๋จิ้งผิงจะไม่เคยเห็นว่าเธอเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขา ถึงขั้นให้ความร่วมมือภรรยาและลูกสาวคนใหม่ของเขาในการทำร้ายเธออย่างไม่จบไม่สิ้น ทว่าถึงกระนั้นเขาก็คือพ่อแท้ ๆ ของตนไม่ใช่หรือ ?

“แม่คะ แม่คิดว่าหนูควรเกลียดเขาเหรอคะ ?” เธอจ้องหน้าจูฮุ่ยแล้วถามด้วยความระมัดระวัง

“ไม่ใช่ แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่ถามเฉย ๆ” จูฮุ่ยก้มหน้าก้มตา พลางยิ้มอย่างเอือมละอา : “พ่อลูกไม่ได้ดีกับลูกนัก การที่ลูกไม่มีความรู้สึกให้เขาก็เป็นเรื่องปกติ แม่ก็แค่……”

“แม่ก็แค่คิดว่าถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อแท้ ๆ ของหนู หนูควรเกลียดหนานกงเฉินถูกไหมคะ ?” ไป๋มู่ชิงพูดต่อประโยคของแม่ตน พร้อมจ้องตาเขา จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ๆ : “แม่คะ แม่มีใจให้พ่อมาโดยตลอด ยังหวังว่าจะมีโชคชะตาร่วมกันอีกครั้งใช่ไหมคะ ?”

“ไม่ใช่นะ !” จูฮุ่ยตอบโต้ไปทันทีด้วยความร้อนรน

“แม่คะ แม่คิดอะไรในใจหนูเข้าใจหมด” ไป๋มู่ชิงมองแม่ที่ชะตากรรมขึ้น ๆ ลง ๆ เบื้องหน้าตน ภายในใจจึงเกิดเป็นความรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอยื่นมือไปลูบหลังมือของแม่ตน : “แม่คะ ในใจของผู้ชายคนนั้นไม่มีแม่อยู่เลย และไม่เคยเชื่อใจแม่ ไม่เคยรักปกป้องแม่เลย เลิกคิดถึงเขาได้แล้วค่ะ ความเจ็บปวดที่เขาก่อให้แม่ไม่เคยหยุดหย่อน และไม่เคยมาสนใจความเป็นความตายของเราสองแม่ลูกเลย แต่เป็นหนานกงเฉินที่รักษาเสี่ยวอี้ให้หายดี พวกเราควรรู้สึกขอบคุณเขานะคะ”

“แม่รู้ แม่ไม่ได้มีอคติกับคุณชายเฉิน” จูฮุ่ยรีบพูดขึ้น แม้ว่าในใจจะมีความเกลียดชังอยู่ก็ตาม ทว่าเธอก็ไม่กล้าพูดออกมาหรอก

หนานกงเฉินทำให้ไป๋จิ้งผิงตาย ถึงแม้เขาจะไม่เคยรักเธอเลย ทว่าเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่เธอเคยรักในชาตินี้เพียงผู้เดียว เธอจะไม่มีความรู้สึกเกลียดแค้นได้อย่างไร

ไป๋มู่ชิงทราบว่าในใจของแม่จะต้องเกลียดแค้นหนานกงเฉินเป็นแน่ เธอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าเบา ๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “แม่คะ แม้จะไม่สมควร แต่หนูอยากให้แม่เข้าใจเรื่องนี้ หนานกงเฉินเคยบอกหนูว่า เขาแค่กล่าวเตือนคนของสำนักภาษีบนมื้ออาหารว่าควรตรวจสอบภาษีของไป๋กรุ๊ปให้ดี ๆ และเมื่อสำนักภาษีมาตรวจสอบเลยพบปัญหามากมายจริง ๆ ไป๋กรุ๊ปเสียเครดิตไปชั่วข้ามคืน ลูกค้าแตกตื่นแยกย้ายกันไปคนละทิศ จากนั้นหนานกงเฉินก็เลยรับช่วงต่อไป๋กรุ๊ปทันที”

“เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจ”

“ใช่ค่ะ เขาจงใจจริง ๆ แต่ถ้าไม่เป็นเพราะไป๋กรุ๊ปขโมยภาษีจำนวนมหาศาลแบบนั้น แม้หนานกงเฉินจะเชิญให้คนของสำนักภาษีมาตรวจสอบก็คงไม่เจอปัญหาหรอกนะคะ”

“ถึงยังไง ต่อให้ภาษีอากรของไป๋กรุ๊ปไม่มีปัญหา หนานกงเฉินก็จะหาวิธีอื่นในการซื้อไป๋กรุ๊ปไปอยู่ดีนั้นแหละ” จูฮุ่ยกล่าว

“แต่ว่า……แม่คะถ้าไม่เป็นเพราะคนของตระกูลไป๋ไปยั่วโมโหหนานกงเฉินก่อน เขาคงไม่ลงมือจัดการพวกเขาหรอกค่ะ การที่คนของตระกูลไป๋ไปเล่นตลกกับหนานกงเฉินแบบนั้น ถึงขั้นที่ไป๋ยิ่งอันไปบีบคอลูกชายของหนานกงเฉินตายคามือ เรื่องนี้จะว่ายังไงคะ ? หรือว่าหนานกงเฉินควรเก็บอารมณ์ไม่พูดไม่จา แกล้งทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องขึ้นอย่างนั้นเหรอคะ”

จูฮุ่ยมองหน้าไป๋มู่ชิง อยู่ ๆ ก็หุบยิ้มลง : “ที่แท้ลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปเหมือนอย่างที่โบราณว่าจริง ๆ สินะ”

“หนู……” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

ก็จริง คิดไม่ถึงว่าตัวเธอจะพูดแทนหนานกงเฉินเช่นนี้

ความจริงแล้วขณะที่เธอกำลังปลอบใจแม่ของตนเองอยู่นั้น ไม่ใช่กำลังปลอบใจตนเองไปด้วยหรือ ? เธอพูดเกลี้ยกล่อมให้ตนเองยอมรับว่าว่าการตายของพ่อเป็นการหาเรื่องใส่ตัว

จูฮุ่ยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง : “แม่แค่พูดเฉย ๆ ลูกอย่าเก็บมาใส่ใจเลย ถึงยังไงใครหน้าไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงเฉินทั้งนั้น แม้พวกเราจะไม่พอใจเขาแล้วจะทำยังไงได้ ? ในเมื่อเขาดีกับลูก ลูกก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาให้ดี ๆ เถอะ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ราวกับกลัวว่าแม่จะไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินดีกับตนอย่างไรอย่างนั้น เธอพูดย้ำหลายรอบมากว่า : “แม่คะ คุณชายเฉินดีกับหนูมากจริง ๆ นะคะหนูรับรู้ได้ว่าเขาชอบหนูมากจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝง”

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว จริงใจก็ดี” จูฮุ่ยพยักหน้า จากนั้นก็พูดถามขึ้นอีกครั้ง : “จริงสิ พวกลูกจะกลับประเทศเมื่อไหร่เหรอ ? และก็คุณชายเฉินได้บอกไว้ไหมว่าจะส่งแม่กับเสี่ยวอี้กลับไปเมื่อไหร่”

หลังจากเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาที่สบาย ๆ ขึ้นมาหน่อย สีหน้าของไป๋มู่ชิงก็ผ่อนคลายลงมาเช่นกัน เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า : “หนูกับคุณชายเฉินว่าจะกลับวันมะรืนค่ะ สำหรับเรื่องแม่กับเสี่ยวอี้น่าจะต้องอยู่พักผ่อนที่นี่ต่ออีกสักสองเดือนนะคะ เพราะการผ่าตัดหัวใจเป็นเรื่องที่ต้องระวังเป็นพิเศษ พักผ่อนให้นาน ๆ หน่อย เมื่อไหร่ที่ตรวจซ้ำแล้วไม่พบปัญหาจริง ๆ แล้วค่อยกลับไปก็ไม่สายค่ะ”

“โอเค แม่เข้าใจแล้ว ขอบใจคุณชายเฉินแทนแม่ด้วย”

“แม่คะ ไม่ต้องขอบใจหรอกค่ะ ถ้าแม่ให้อภัยเขาได้คงเป็นการดีที่สุดนะคะ” ไป๋มู่ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่แล้วครับ คุณแม่ไม่กล้าซื้ออะไรให้ผมเลย” เสี่ยวอี้ทำปากมุ่ยพร้อมพูดขึ้น

“นั่นไม่ใช่เงินของพวกเราเองสักหน่อย ต้องใช้จ่ายประหยัด ๆ หน่อยสิ”

เสี่ยวอี้พูดโต้กลับทันควัน : “แต่พี่เขยบอกแล้วว่าตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

จูฮุ่ยตบไปที่ศีรษะของเขาเพื่อเป็นการตักเตือน เสี่ยวอี้จึงมุ่ยปาก ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นอีก

หลังจากที่ซื้อข้าวของเสร็จแล้ว จูฮุ่ยบอกว่าห้ามให้เสี่ยวอี้เหนื่อยเกินไป ต้องพาเขากลับไปพักผ่อนก่อน ไป๋มู่ชิงจึงยอมให้คนขับรถไปส่งทั้งสองคนกลับไปก่อน

“พี่ครับ พี่ไม่กลับไปเหรอ ?” เสี่ยวอี้ถาม

“พรุ่งนี้ก็ต้องกลับประเทศแล้ว พี่อยากเดินเล่นคนเดียวสักหน่อยน่ะ”

“พี่ครับ ผมอยากเดินกับพี่ด้วย”

“ไม่ได้ รีบกลับบ้านพร้อมแม่เดี๋ยวนี้” จูฮุ่ยจูงเขาเข้ามา จากนั้นก็พูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “งั้นลูกระวังตัวด้วยนะ อย่าเดินหลงทางล่ะ”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงส่งทั้งสองคนขึ้นรถ พร้อมทั้งโบกมือลา หลังจากที่รถขับพ้นสายตาแล้วเธอจึงหันหลังแล้วไปเดินเล่นคนเดียวต่อ

เธอเดินเลือกดูร้านเสื้อผ้าด้านหน้าหนึ่งรอบเพื่อซื้อเสื้อผ้าให้เสี่ยวอี้ และเลือกเสื้อสเวตเตอร์ให้หนานกงเฉินด้วย และขณะที่เธอเดินผ่านพื้นที่ขายของทารกโดยเฉพาะนั้น ก็สะดุดตาเข้ากับกางเกงตัวน้อยบนหุ่นโชว์เข้า

เธออดใจไม่ไหวจนต้องเดินเข้าไปมองสำรวจกางเกงตัวน้อยสุดแสนน่ารักตัวนั้น จากนั้นก็ใช้ภาษาอังกฤษสอบถามราคา

พนักงานตอบเธอด้วยรอยยิ้มว่าตัวนี้มีไซต์สำหรับเด็กก่อนสามขวบด้วย และถามว่าลูกของเธออายุเท่าไร

ไป๋มู่ชิงชะงักไป ลูกของเธออายุเท่าไร……

ลูกของเธอใกล้จะครึ่งขวบแล้ว ทว่าเธอไม่ทราบว่าตนจะหาเธอเจอได้เมื่อไหร่ และไม่ทราบว่าตนนั้นควรซื้อไซส์เท่าไรดี

พนักงานบอกเธอว่ากางเกงตัวน้อยนี้กำลังเข้าร่วมกิจกรรมลดราคา 70% อยู่ เธอจึงก้มมองราคา พบว่าไม่ได้แพงแต่อย่างใด ทว่าเธอยังคงส่ายหน้าให้กับพนักงานอย่างสุภาพและเดินออกจากร้านไป

เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองเศร้าโศกเสียใจ ปกติแล้วเธอจะเดินอ้อมบริเวณพื้นที่ขายของทารก หลังจากที่เธอเดินออกมาจากร้านแล้วก็ได้สาวเท้าอย่างเร็ว มุ่งไปทางลิฟต์ เร็วเสียจนคล้ายการวิ่งหนี

จนกระทั่งเดินออกจากห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้มา เธอจึงถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็เงยหน้ารับแสงแดดอันอบอุ่นด้านบน เพื่อให้อารมณ์ของตนเองกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง

ขณะที่เธอก้มหน้าลงนั้น อยู่ ๆ บริเวณส่วนเอวก็เหมือนมีอะไรมาคล้องไว้ เธอหยุดชะงักไป จากนั้นก็มองเห็นแขนของผู้ชายเธอกำลังจะร้องกรี๊ดขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ทว่าเธอยังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา ปากของเธอก็ถูกคนผู้นั้นปิดไว้เสียแล้ว

เธอถูกคนผู้นั้นบังคับให้เดินไปในตรอกข้าง ๆ ห้างสรรพสินค้า และเธอที่ถูกกระทำเช่นนั้นจึงกระวนกระวายขึ้นมายิ่งกว่าเดิม เธอดิ้นรนไปปากพลางเปล่งเสียงอื้อ ๆ เพื่อขัดขืนไป

จนกระทั่งข้างใบหูของเธอมีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา : “มู่ชิง ฉันเอง”

ไป๋มู่ชิงอึ้งไป เมื่อปากและเอวของเธอถูกปลดปล่อย ก็รีบหันหน้ามา จากนั้นก็มองผู้ชายคนนั้นด้วยความตกตะลึงทันที ผ่านมาชั่วครู่เธอจึงได้พูดขึ้นมาอย่างกะตุกตะกัก : “อันหนาน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ ?”

ที่นี่คือฝรั่งเศสนี่ เขาอยู่ประเทศอังกฤษไม่ใช่หรือ ? อีกทั้งยังเจอกับเธอด้วยความบังเอิญเช่นนี้อีก ?

แม้หลินอันหนานที่อยู่เบื้องหน้าตอนนี้ จะดูผอมกะหร่องกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ทว่ามองแล้วก็ถือว่าดูดีเช่นเคย เสื้อผ้าที่สวมใส่ และเครื่องประดับต่างก็เป็นของแบรนด์เนมดัง ๆ ทั้งนั้น ก็จริง คุณชายรองตระกูลหลินเพียงรับปากว่าจะส่งเขาออกนอกประเทศจะไม่ให้เขากลับเมืองซีอีกตลอดไป ครั้นไม่ได้บอกว่าจะให้เขาใช้ชีวิตตามยถากรรมสักหน่อย ตระกูลหลินมากมีเงินทองแบบนั้น จะยอมให้เขาใช้ชีวิตลำบากอยู่ด้านนอกได้อย่างไร ?

“พอรู้ว่าคุณจะมาฝรั่งเศส ผมก็เลยมาจากอังกฤษเพื่อมาเจอคุณโดยเฉพาะ” หลินอันหนานมีความตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด

ในที่สุดก็รอให้เธอได้อยู่ตามลำพังเสียที เขากังวลว่าตนจะไม่มีโอกาสได้สนทนากับเธอตัวต่อตัวเสียแล้ว

ไป๋มู่ชิงสมองว่างเปล่า เธอจ้องหน้าเขาแล้วถามออกไปว่า : “คุณจะมาหาฉันทำไม ?”

“คุณคิดว่าไงล่ะ ?” หลินอันหนานยิ้มจาง ๆ : “ผมได้ยินมาว่าคุณถูกหนานกงเฉินกักบริเวณ ก็เลยติดต่อคุณไม่ได้สักที กว่าจะได้ยินข่าวคราวว่าคุณจะมาฝรั่งเศสได้มันไม่ง่ายเลย……”

“อันหนาน” ไป๋มู่ชิงพูดตัดบทเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เธออ้าปากขึ้นอย่างลังเลและพูดว่า : “ฉัน……ฉันแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว”

“งานแต่งงานแบบนั้นไม่นับ”

“ไม่ใช่ ครั้งนี้แต่งงานกันแล้วจริง ๆ”

“เป็นไปไม่ได้” หลินอันหนานตัดบทเธอทันควัน จากนั้นก็แค่นหัวเราะแล้วพูดว่า : “คุณเคยบอกว่าจะยอมแต่งงานกับผม จะใช้ชีวิตกับผมตลอดไป อีกทั้งเราเคยพูดสาบานกับนักบวชแล้ว แลกแหวนกันแล้ว คุณดูสิตอนนี้ผมยังใส่แหวนที่คุณให้อยู่เลยนะ”

เขายกมือขวาขึ้นมา บนนิ้วนางมีแหวนที่เธอสวมให้เขาวันแต่งงานอยู่จริง ๆ

“มู่ชิง คุณสบายใจได้ ผมจะคิดหาวิธีช่วยคุณออกมาจากเขาให้ได้ อีกทั้งผมคิดหาวิธีออกเรียบร้อยแล้วด้วย ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราก็จะได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้งแล้ว อดทนรอผมอีกหน่อยนะโอเคไหม ?”

“อันหนาน” ความรู้สึกผิดภายในใจของไป๋มู่ชิงมีลึกขึ้นกว่าเดิม แม้จะไม่อยากพูดเช่นนี้ ทว่าเธอยังคงบังคับตนเองกล่าวขึ้นมาอยู่ดี : “กรุณาลืมฉันไปเถอะ และใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศให้สุขสบาย”

“ทำไม ?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงกัดฟัน : “ฉันแต่งงานกับหนานกงเฉินอย่างจริงจังแล้ว คุณน่าจะรู้ดี ในใจฉันผูกพันอยู่แต่กับเขา ฉันอยากอยู่ข้างกายเขา……ขอโทษ ฉัน……”

“แต่ว่าตอนนั้นตอนที่ผมไปรับคุณที่ห้องใต้หลังคา คุณรับปากผมว่าจะแต่งงานกับผม ถ้าไม่เป็นเพราะผม คุณคงโดนสองแม่ลูกนั่นทรมานจนตายไปตั้งนานแล้ว หรือว่าคุณลืมเรื่องพวกนี้แล้วงั้นเหรอ ? คุณลืมคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับผมแล้วเหรอ ?”

“ขอโทษ……” นอกจากสองพยางค์นี้ ไป๋มู่ชิงไม่รู้เลยว่าตนจะพูดอะไรได้

หลินอันหนานพูดถูก ตอนแรกเนื่องจากตัวเธอรับปากว่าจะแต่งงานกับเขา เขาถึงได้ช่วยเหลือเธอมาจากน้ำมือของหวีหย่าหรง ทว่าบัดนี้เธอกลับทำลายคำมั่นนั้น และสิ่งที่เธอทำได้ก็มีเพียงทำลายเท่านั้น

“ขอโทษนะอันหนานที่ฉันผิดคำมั่น คุณคิดซะว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่รักษาคำพูด เนรคุณผู้มีบุญคุณก็แล้วกัน เพราะตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของหนานกงเฉินแล้ว จะกลับไปอยู่ข้างคุณไม่ได้แล้ว”

“ทำไมคุณถึงเลวได้ขนาดนี้ !?” หลินอันหนานบีบคางของเธอแน่นด้วยความโกรธ จากนั้นก็ผลักเธอติดกำแพงพร้อมกัดฟันจ้องหน้าเธอตาเขม็ง : “ผมเพิ่งออกมาได้ไม่กี่เดือนคุณก็แต่งงานกับเขาแล้วเนี่ยนะ ? คุณอยากวางแผนเส้นทางชีวิตให้ตัวเองมากขนาดนั้นเลยเหรอ ? คุณคิดว่าผมจะจบแค่นี้เหรอ ? ผมจะบอกให้นะ ไม่มีทางหรอก ! ผมหลินอันหนานไม่มีทางจบเห่ง่าย ๆ แบบนั้นหรอก ถึงผมไม่กลับประเทศไปก็จะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม ให้ชีวิตที่ดีกับคุณได้เหมือนกัน……”

“อันหนาน ปล่อยฉันก่อน !” ไป๋มู่ชิงรู้สึกทรมานจนต้องขมวดคิ้ว

คางของเธอถูกหลินอันหนานบีบจนรู้สึกเจ็บปวด ประกอบกับแผ่นหลังพิงอยู่บนกำแพงที่แข็งทื่อเช่นนี้ เมื่อเธอขยับหน่อยแผ่นหลังก็ไปถูกับกำแพงจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดแปลบขึ้นมา

หลินอันหนานไม่ได้ปล่อยเธอแต่อย่างใด และบีบเธอแรงขึ้นกว่าเดิมอีก : “ทำไม ? ผมดีไม่พอเหรอ ? ดีกับแม่และน้องชายคุณไม่พอเหรอ ? ทำไมต้องเปลี่ยนไปหาอ้อมกอดของหนานกงเฉินด้วย ? ทำไม ?”

“เพราะฉันรักเขา !” ไป๋มู่ชิงตะโกนออกมา : “ขอโทษ ฉันรักเขา……!”

“คุณมันเลว !” หลินอันหนานเชิดคางของเธอขึ้นด้วยความโกรธจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปประกบปากเธอ

ไป๋มู่ชิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะจูบตนเช่นนี้ เธอจึงได้ดิ้นขัดขืนพร้อมทั้งพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย : “หลินอันหนาน กรุณาอย่าทำแบบนี้อีก เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้แล้ว……”

“ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ ? เพราะมันรวยกว่าผมงั้นเหรอ ?” เขาจูบเธออย่างแรง พร้อมทั้งกัดริมฝีปากของเธอจนทำให้เธอเจ็บปวด

ไป๋มู่ชิงกักเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ จากนั้นก็ทุบไหล่ของเขา : “ไม่ใช่เพราะเงิน อื้อ……”

“แล้วเป็นเพราะอะไร ?”

“ฉันบอกแล้วไงว่าเป็นเพราะรัก……”

“มันทำร้ายคุณขนาดนั้นแล้ว คุณยังรักมันอีกงั้นเหรอ ?” หลินอันหนานคลายปากของเธอออก สายตาที่จับจ้องเธออยู่ราวกับจะมีไฟลุกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น “ความเจ็บปวดที่มันทำกับคุณไม่ได้เยอะกว่าผมหรือไง ? ทำไมคุณรักมันแต่ไม่รักผม ?””

เขาแย่งถุงที่เธอกำแน่นอยู่ในมือมา จากนั้นก็หยิบเสื้อสเวตเตอร์จากด้านในที่ไป๋มู่ชิงเพิ่งซื้อออกมา : “เธอยังซื้อเสื้อสเวตเตอร์ให้เขาด้วยงั้นเหรอ ? หยอกล้อหัวเราะเฮฮาบนถนนฝรั่งเศสกับเขาไม่หยุด ? เธอยังมีศักดิ์ศรีอยู่บ้างไหม ?”

หลินอันหนานสะบัดเสื้อเข้าหน้าเธอ

ไป๋มู่ชิงเจ็บจนต้องปิดตาปี๋ เสื้อสเวตเตอร์หล่นลงพื้น

เธอจ้องหน้าเขาตาเขม็ง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนั้นเธอจึงรู้สึกเหมือนมีดวงตาสองข้างจับจ้องตัวเธออยู่ด้านหลังเรื่อย ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาสะกดรอยตามเธอนี่เอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด