เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 159

หลินอันหนานใช้สองมือจับที่ไหล่พร้อมทั้งเขย่าเธอด้วยความโมโห : “ต่อให้คุณไม่สนว่าเขาจะเคยทำร้ายคุณ ถ้างั้นคุณไม่สนเรื่องที่ว่าเขาเคยทำร้ายยายของคุณจนตายงั้นเหรอ ? คุณลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้วใช่ไหม ?”

“หลินอันหนาน ! พอได้แล้ว !” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอผลักหน้าอกเขาเต็มแรง : “เรื่องของฉัน ฉันรู้ว่าต้องทำยังไงคุณไม่ต้องมาเตือน !”

“ดูสิคุณละอายใจแล้วใช่ไหมล่ะ ? คุณไม่ได้ลืมเรื่องการตายของยายคุณใช่ไหม ? แต่ว่าคุณยังแต่งงานกับเขา แถมยังแจ้นมาฮันนีมูนที่ฝรั่งเศสกับเขาอีก คุณไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ไม่กลัวคุณยายที่อยู่ในยมโลกโกรธหรือไง ?”

“พูดพอใจแล้วหรือยัง ? พอหรือยัง !” ไป๋มู่ชิงตะโกนพร้อมน้ำตาไหลพรากลง โมโหจนอยากเอาอะไรสักอย่างมาอุดปากเขาไว้

ทำไมต้องบอกเธอเรื่องนี้ด้วย ? เธอได้กล่อมให้ตนเองลืมความเคียดแค้นในอดีตไปจนหมดสิ้นแล้ว เหตุใดต้องขุดเรื่องของคุณยายมาให้เธอทรมานใจด้วย ?

“ทำไมไม่ให้ผมพูด ? คุณละอายใจอยู่งั้นเหรอ ?”

“ฉันไม่ได้ละอายใจ ! หนานกงเฉินไม่ได้จงใจทำให้ยายฉันตาย ฉันไม่โทษไม่เกลียดเขาตั้งนานแล้ว”

“เธอมัน……ไร้ยางอาย !” หลินอันหนานโพล่งคำเหล่านั้นออกมาพูดดูหมิ่นเธอ

“ถูกต้อง ฉันมันไร้ยางอาย แต่ว่าไม่เกี่ยวกับคุณเลย……!” ไป๋มู่ชิงใช้แรงผลักเขาออกเต็มที่ จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีออกจากตรงนี้ซึ่งแม้แต่เสื้อสเวตเตอร์บนพื้นก็ไม่ทันได้ก้มลงเก็บ

หลินอันหนานยื่นมือไปหมายจะคว้าแขนเธอเอาไว้ ครั้นน่าเสียดายที่จับไว้ไม่อยู่

ไป๋มู่ชิงวิ่งออกมาจากตรอกนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนด้านนอกเดินกันขวักไขว่ หลินอันนานจึงไม่กล้าวิ่งตาม ทำได้เพียงจ้องมองเธอวิ่งหนีไป

เมื่อเห็นเงาของเธอหายไปท่ามกลางผู้คนมากมาย หลินอันหนานโมโหจนกระทืบเสื้อสเวตเตอร์ที่อยู่บนพื้นอย่างแรง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเนื่องจากความเดือดดาล

หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลาชั่วครู่แล้ว เขาจึงคืนสีหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม สายตาจ้องมองไปยังทิศทางที่ไป๋มู่ชิงวิ่งหายไปพร้อมทั้งกัดฟันแน่น : “ฉันไม่ยอมวางมือยุติทุกอย่างแบบนี้แน่ มู่ชิงคอยดูเถอะ !”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวิ่งออกจากตรอกแคบนั่นแล้ว ก็ได้วิ่งมุ่งไปยังคฤหาสน์ราวกับคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น เธอเป็นกังวลว่าหลินอันหนานจะวิ่งตามมาและจะจับเธอกลับไปดูหมิ่นและขืนใจจูบเธออีก

เธอวิ่งมาตลอดทางไม่หยุด บนหน้าผากร้อนผ่าวจนมีเหงื่อไหลรินลงมา

จนกระทั่งเห็นคฤหาสน์อยู่เบื้องหน้า จึงได้หยุดเท้าลง เธอหันหลังกลับไปดูจึงพบว่าหลินอันหนานไม่ได้วิ่งตามมา เธอนั่งยองยองอยู่บนพื้นและหายใจหอบ

ไม่ง่ายเลยกว่าจะโล่งอกมาได้บ้าง เธอมุดหน้าลงระหว่างหัวเข่าสองข้างพร้อมทั้งปิดตาลงด้วยความรู้สึกทรมาน

เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะเจอหลินอันหนานที่ฝรั่งเศส อีกทั้งยังเจอกันในสถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย

เป็นเธอเองที่ละเลยหลินอันหนาน เธอนึกว่าหลังจากที่หลินอันหนานถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเขาก็จะขาดกันไปเอง เธอคิดว่าหลินอันหนานจะถอยเนื่องด้วยความลำบาก และไม่คิดอันใดกับเธออีก ครั้นคิดไม่ถึงว่า……

ตัวเธอไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำอย่างไร และเธอควรจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินอันหนานเช่นไร ?

เมื่อหนานกงเฉินกลับคฤหาสน์มาและไม่เห็นเงาของไป๋มู่ชิง จึงสอบถามเสี่ยวอี้ถึงทราบว่าเธอไปเดินซื้อของคนเดียว

เขาหยิบโทรศัพท์โทรหาไป๋มู่ชิง ทว่ากลับไม่มีคนรับเลย

เขายืนโทรศัพท์อยู่ระเบียงชั้นสอง เวลาต่อมาก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาจากประตูใหญ่ นั่นคือเสียงโทรศัพท์ที่เขาตั้งค่าให้ไป๋มู่ชิงโดยเฉพาะ

เขาคิดว่าไป๋มู่ชิงมาถึงบ้านแล้ว ทว่ารอเป็นระยะเวลาหนึ่งก็ไม่เห็นเธอเข้ามาสักที เขาจึงหันหลังเดินลงไปชั้นล่าง มุ่งไปยังประตูใหญ่

เมื่อเขามองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังมุดหน้าอยู่ระหว่างหัวเข่า พร้อมทั้งใบหน้าอันเจ็บปวด เขาจึงรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจขึ้นมา เห็นดังนั้นเขาจึงวิ่งเข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้าเธอทันที จากนั้นก็มองสำรวจตัวเธอแล้วถามว่า : “มู่ชิงเป็นอะไรไป ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ?”

ไป๋มู่ชิงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ขอบตาแดงก่ำคล้ายกำลังจะร้องไห้ ริมฝีปากแตกกร้าน มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย

“เธอเป็นอะไรเหรอ ? ถูกคนรังแกมาใช่ไหม ?” เมื่อเห็นสภาพเธอหนานกงเฉินก็เป็นกังวลใจเพิ่มมากขึ้น

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า พร้อมจ้องหน้าเขาน้ำตาไหลพราก : “เมื่อกี้ฉันเจอหลินอันหนานบนถนน”

“หลินอันหนานเหรอ ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของหนานกงเฉินก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที เขาไต่สวนต่อไปอย่างร้อนรนใจ : “แล้วไงต่อ ? เขารังแกเธองั้นเหรอ ?”

เขาใช้มือเชิดคางของเธอขึ้นมา พร้อมมองริมฝีปากที่แตกกร้านและมีเลือดซึมออกมา สีหน้าก็ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปใหญ่ : “ปากเธอถูกเขากัดจนเป็นแผลใช่ไหม ? เขาจูบเธองั้นเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี และไม่ทราบว่าควรเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เธออยู่กับหลินอันหนานให้เขาฟังเช่นไรดี ความเงียบของเธอก็คือการยอมรับ ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็ลุกพรวดพราดขึ้น : “บอกฉันมา มันอยู่ไหน?”

ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นตามเขา จากนั้นก็ดึงเขาไว้พลางพูดว่า : “เฉิน อย่าเพิ่งใจร้อนเลย ที่เขามาหาฉันหลัก ๆ เป็นเพราะ……”

“เธอกำลังขอร้องแทนมันอยู่เหรอ ?” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ อารมณ์โมโหเดือดดาลขึ้น : “หรือว่าเธออยากเกี่ยวพันกับมันต่อไป ?”

“ถ้าฉันอยากเกี่ยวพันกับเขาต่อไป คงไม่วิ่งกลับมาแบบนี้หรอก คงไปหาที่นั่งคุยย้อนความหลังกับเขาแล้วละ และคงไม่เล่าเรื่องที่ฉันเจอเขาเมื่อกี้ให้คุณฟังด้วย” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ฉันแค่ไม่อยากให้คุณจัดการปัญหาด้วยความใจร้อนเท่านั้น ทำแบบนั้นมีแต่จะยั่วอารมณ์ความอยากแก้แค้นให้กับเขาเท่านั้น และจะไม่ส่งผลดีต่อเราทั้งสองคนเลย”

เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่พูดไม่จา ไป๋มู่ชิงจึงพูดต่อไปว่า : “การที่เขามาหาฉันจนเจอ เป็นเพราะตอนนั้นที่เขาช่วยเหลือฉันจากน้ำมือของสวีหย่าหรง ฉันไปรับปากกับเขาว่าจะแต่งงานด้วย เขาคิดว่าฉันควรรักษาคำพูด ควรกลับไปอยู่เคียงข้างเขา”

“ถ้างั้นเธอตอบมันไปว่ายังไง ?”

“ฉันบอกเขาไปว่าฉันแต่งงานอย่างเป็นทางการกับคุณแล้ว จากนั้นเขาก็โมโหแล้วจูบฉันด้วยแรงโกรธ” ไป๋มู่ชิงยังจับแขนของหนานกงเฉินเอาไว้อยู่ : “เฉิน ตอนนั้นฉันรับปากว่าจะแต่งงานกับเขาจริง ๆ ตอนนี้คนที่ผิดคำมั่นสัญญาคือฉัน เพราะงั้น……”

“ฉันขอถามเธอหน่อย นอกจากเธอบอกมันไปว่าเธอแต่งงานกับฉันอย่างเป็นทางการแล้ว ยังบอกอะไรอีก ?” หนานกงเฉินค่อนข้างทิ้งน้ำหนักที่ปัญหานี้

“ฉันบอกเขาว่าคนที่ฉันรักคือคุณ เขาเลยโมโหจนโยนเสื้อสเวตเตอร์ที่ฉันซื้อให้คุณทิ้งเลย……อื้อ……” ไป๋มู่ชิงรับรู้ถึงความเจ็บแปลบที่ริมฝีปาก เธอเบิกตาขึ้นจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาเบื้องหน้าจากนั้นก็อึ้งไป

เนื่องจากบนริมฝีปากของเธอมีบาดแผลอยู่ หนานกงเฉินจึงไม่กล้าจุมพิตเธอแรงจนเกินไป หลังจากที่จุมพิตเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วนั้นก็ได้คลายเธอออก จากนั้นก็ดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของตน พร้อมพรมจูบไปยังเส้นผมของเธอแล้วพูดว่า : “แค่นี้ก็พอแล้ว”

“อะไรพอเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงสับสนงงงวยเล็กน้อย

“ขอแค่เธอยอมบอกมันไปว่าคนที่เธอรักคือฉัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

“แต่ว่า……”

“เธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่มีทางทำอะไรมันหรอก” หนานกงเฉินกล่าว : “เรื่องที่มันขืนใจจูบเธอ ฉันไม่ควรปล่อยเลยไป แต่เห็นแก่ที่มันเคยช่วยชีวิตเธอหนึ่งครั้ง และเธอผิดคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับมันหนึ่งครั้ง ฉันจะปล่อยมันไปสักครั้ง อีกอย่างถ้าเรื่องนี้ยกเลิกหมด เธอก็ไม่ต้องไปรู้สึกผิดกับมันอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าห้ามมีครั้งหน้าเด็ดขาด”

ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาด้วยความตกตะลึง : “ความหมายของคุณคือ คุณจะไม่ไปตามหาเขาแล้วงั้นเหรอ ?”

“ทำไม ? เธอเป็นห่วงมันมากงั้นเหรอ ?”

“ไม่ใช่ ฉันแค่ไม่อยากให้คุณมีเรื่องกับเขาอีกครั้ง ถึงยังไงเรื่องที่ฉันเป็นภรรยาของคุณก็ทำร้ายเขามากพอแล้ว เรื่องนี้ช่างมันเถอะ”

“โอเค ครั้งนี้ฉันจะเชื่อเธอก็แล้วกัน” หนานกงเฉินปาดคราบเลือดบนมุมปากของเธอออกแล้วพูดว่า : “ไปเถอะ กลับห้อง”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าพร้อมสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเขา

จูฮุ่ยเห็นสีหน้าของไป๋มู่ชิงไม่ค่อยดีจึงเดินเข้ามา พร้อมมองสำรวจเธอจากนั้นก็สอบถามอย่างเป็นห่วง : “มู่ชิง ลูกเป็นอะไรไป ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ?”

ไป๋มู่ชิงส่งรอยยิ้มให้เธอ : “เปล่าค่ะ”

“ปากของลูก……”

“อ้อ พอดีเจอคนประหลาดเลยตกใจน่ะค่ะ แล้วก็เลยกัดปากตัวเอง” เมื่อไป๋มู่ชิงพูดจบ ก็ได้เดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมหนานกงเฉิน

หลังจากเดินเข้ามาในห้องนอนแล้ว หนานกงเฉินก็ได้รินน้ำให้เธอดื่ม จากนั้นก็มองแผลรอยแตกบนริมฝีปากของเธอและขมวดคิ้ว : “เจ็บไหม ?”

“ไม่เจ็บ” ไป๋มู่ชิงใช้ลิ้นเลียริมฝีปาก จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพลางถามไปว่า : “จริงสิ หลังจากพวกเรากลับประเทศวันพรุ่งนี้แล้ว ถ้าหลินอันหนานมาหาแม่กับเสี่ยวอี้จะทำยังไง ?”

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ยอมให้เขามีโอกาสนี้แน่นอน” ปัญหานี้หนานกงเฉินก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนจะต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับประเทศแล้ว

ก่อนที่จะออกเดินทาง เสี่ยวอี้จับมือไป๋มู่ชิงไม่ยอมตัดใจให้เธอไป ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็ลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขาพร้อมพูดปลอบใจว่า : “เสี่ยวอี้ รอให้อาการป่วยของหนูดีจนหายขาดแล้ว ก็จะกลับประเทศได้และก็จะเห็นหน้าพี่ทุกวันเลย”

“แต่ว่าอีกนานเลยนี่ครับ”

“ไม่นานมากหรอก อย่างมากสุดสองเดือนก็กลับไปได้แล้ว”

“จริงไหมครับ ?” เสี่ยวอี้หันหน้าไปทางหนานกงเฉิน พร้อมทั้งส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เขา

หนานกงเฉินพยักหน้า : “แน่นอนอยู่แล้ว คุณหมอก็บอกแบบนั้นเลย”

“ที่คุณหมอพูดผมฟังไม่รู้เรื่องเลย”

“เพราะงั้น หนูจะต้องตั้งใจเรียนกับครูสอนพิเศษนะ เมื่อโตขึ้นก็จะไม่เป็นเหมือนพี่สาวที่ออกนอกประเทศมาก็พูดไม่ได้แม้แต่ชื่อตัวเอง”

“คุณเอาฉันมาล้อเล่นอีกแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงกระทุ้งเอวของเขาอย่างไม่พอใจ

หนานกงเฉินโอบไหล่ของเธอเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่บอกลาจูฮุ่ยและเสี่ยวอี้เสร็จก็เปิดประตูรถพร้อมขึ้นไปนั่ง

ภายในสนามบิน หนานกงเฉินไปทำการเช็คอิน ส่วนไป๋มู่ชิงก็ยืนเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

เธอกำลังลังเลว่าจะส่งข้อความบอกลาหลินอันหนานหรือเปล่า และถือโอกาสเตือนสติเขาสักหน่อยว่า ตัวเธอได้แต่งงานไปแล้ว ให้เขาอย่าทำเรื่องบ้า ๆ เพื่อเธออีกต่อไปแล้ว

เมื่อวานนี้ตอนที่อยู่ในตรอกแคบ หลินอันหนานบอกไว้ว่าเขากำลังวางแผนชิงเธอกลับไป เธอไม่ทราบว่าเป็นแผนการอันใด ไม่ว่าจะเป็นอะไรเธอก็ไม่หวังให้เขาเสียเวลาและกำลังกายกำลังใจเพื่อไปทำร้ายหนานกงเฉินอีกแล้ว

ยังไม่ทันรอให้เธอได้พิจารณาว่าควรส่งข้อความไปหรือไม่ ทว่าทันใดนั้นเองก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาเบื้องหน้า : “มู่ชิง”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง และพบว่าหลินอันหนานกำลังยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้าเธอเหมือนอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

เธอหันหน้าไปมองหนานกงเฉินที่กำลังทำการโหลดกระเป๋าเดินทางอยู่ จากนั้นจึงคว้าข้อมือของหลินอันหนาน ลากเขามาข้าง ๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ พร้อมพูดว่า : “คุณมาที่นี่ทำไม ? ครั้งที่แล้วคุณทำร้ายคุณชายเฉินแล้วนะ หรือว่าตอนนี้ยังอยากทำร้ายเขาอีกงั้นเหรอ ?”

หลินอันหนานหันหน้าไปมองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง และพูดขึ้นอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว : “ผมจะมาเจรจากับมัน”

“ไม่มีอะไรต้องเจรจากันแล้ว หนานกงเฉินไม่อยากเจรจากับคุณหรอก”

“ทำไมไม่มีอะไรต้องเจรจากันแล้ว ? เธอไม่อยากให้พวกเราเจรจากันเหรอ ?” หลินอันหนานหรี่ตาถามกลับ

“อันหนาน……” สีหน้าของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความเอือมละอา : “เมื่อวานนี้ฉันพูดไว้ชัดเจนแล้วว่าฉันแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ โปรดล้มเลิกความตั้งใจและไปแต่งงานกับผู้หญิงที่รักคุณจริง ๆ อย่ามายั่วโมโหคุณชายเฉินอีกเลย”

“ผมบอกแล้วไง คนที่ผมรักคือคุณ เพราะงั้นผมแค่ต้องการเจรจากับเขาเท่านั้น……”

“คุณชายหลิน” อยู่ ๆ เสียงของหนานกงเฉินก็แทรกตัดบทเขา พร้อมทั้งเดินเข้ามาขนานข้างไป๋มู่ชิงและโอบไหล่ของเธอไว้ เขามองใบหน้าของหลินอันหนานผู้ที่อยู่ต่อหน้า ผ่านมาชั่วครู่จึงได้กล่าวขึ้นมาน้ำเสียราบเรียบ : “ขอบใจนะที่ครั้งนั้นนายยกไป๋มู่ชิงให้ฉัน ในเมื่อยกให้แล้วก็อย่ามาเสียใจภายหลังอยากได้คืนไปสิ อย่าบอกว่ามู่ชิงไม่ใช่สิ่งของที่จะยกให้คนอิื่นได้ แม้ว่าเธอจะเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่ใช่คนที่ชอบเล่นสนุกกับสิ่งของเป็นชีวิตจิตใจสักหน่อย และรับไม่ได้กับเรื่องที่มีคนให้สิ่งของฉันแต่สุดท้ายก็มาโวยวายอยากได้คืน”

“เพราะงั้น……การมาเจรจากับฉันเนี่ยไม่ต้องหรอก อ้อ ฉันขอฝากนายไว้สักประโยคนะ ก่อนที่ความอดทนของฉันจะยังไม่ถูกนายบดขยี้จนหมด กรุณาหายไปจากสายตาของฉันโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

ไป๋มู่ชิงกระพริบตาส่งสัญญาณเพื่อบอกให้เขารีบไป ทว่าหลินอันหนานไม่ยอม เขากัดฟันกรอบพร้อมพูดว่า : “ตอนนั้นที่มู่ชิงเกือบถูกสวีหย่าหรงทำร้ายปางตาย ฉันเป็นคนช่วยเหลือเธอออกมาเอง ไม่ใช่นายหนานกงเฉิน มู่ชิงได้สาบานต่อหน้าบาทหลวงกับฉัน และแลกแหวนกันแล้วด้วย งานแต่งงานของเราจัดขึ้นท่ามกลางสักขีพยานของทุกคน”

ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายใจ มองหนานกงเฉินด้วยความเป็นกังวล

สีหน้าหนานกงเฉินกลับไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดขึ้นว่า : “ที่นายพูดคือตอนที่อยู่โรงแรมครั้งนั้นน่ะเหรอ ? นั่นมันเป็นแค่ละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้น แต่การแต่งงานของฉันกับมู่ชิงเชื่อมโยงไปถึงการคุ้มครองทางกฎหมายเชียวนะ”

หนานกงเฉินหยุดชะงักไป จากนั้นก็พูดต่อไปว่า : “เมื่อวานเรื่องที่นายขืนใจจูบมู่ชิง ตอนแรกฉันไม่อยากปล่อยนายไปเลย แต่ในเมื่อมู่ชิงขอร้องแทนนายแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป ถือซะว่าคืนบุญคุณที่นายเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้ตอนนั้นก็แล้วกัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระหว่างนายกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ฉันหวังว่านายจะจำเรื่องนี้ใส่หัวไว้นะ”

หนานกงเฉินพูดจบ ก็ได้โอบไหล่ของไป๋มู่ชิงแน่นพร้อมพูดว่า : “เมียจ๋า เราไปกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าหลินอันหนาน จากนั้นก็หันหลังเดินไปพร้อมเขา

ทันใดนั้นหลินอันหนานก็ตะโกนใส่หนานกงเฉินว่า : “มู่ชิงมีความคิดเป็นของตัวเอง นายควรเคารพการตัดสินใจของเธอ”

หนานกงเฉินหันหน้ามาสบตากับเขาอีกครั้ง : “มู่ชิงเลือกที่จะแต่งงานกับฉันแล้ว”

“เธอต้องถูกนายบังคับแน่นอน”

หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็คลายไป๋มู่ชิงออกพร้อมยิ้มขึ้นจาง ๆ : “ได้เลย งั้นก็ให้มู่ชิงเลือกอยู่ตรงนี้อีกครั้งสิ ถ้าเกิดเขาเลือกฉัน ถ้างั้นจากนี้ไปคุณชายหลินกรุณาอยู่ห่าง ๆ เธอด้วยนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงขนลุกซู่ทันที

เขาให้เธอเลือกต่อหน้าทั้งสองคนหรือนี่ ?

เขาเงยหน้าขึ้นมองหลินอันหนาน ประสานกับสายตาอันสับสนที่เขามองมา ภายในสายตานั้นมีความตั้งตารอคอย ความรักใคร่ และความอ้อนวอนแอบแฝงอยู่เล็กน้อย ?

“มู่ชิง เธอมองพวกเราตอนนี้แล้วบอกมาว่า เธออยากอยู่กับใคร” หนานกงเฉินมองหน้าไป๋มู่ชิงแล้วถามขึ้น

เมื่อเขาที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเห็นไป๋มู่ชิงนิ่งเงียบไป จึงเริ่มกระวนกระวายใจเหมือนหลินอันหนานขึ้นมาทันที สายตาที่จ้องมองเธอนั้นมีความเดือดดาลสุดขีด เขาไม่เคยคิดเอาไว้ก่อนว่าหากในเวลานี้ไป๋มู่ชิงดันไปเลือกหลินอันหนาน ถ้างั้นเขาควรทำเช่นไรดี ? หรือว่าต้องยอมสนับสนุนพวกเขาจริง ๆ งั้นหรือ ?

ไม่สิ เขารู้ดีว่าตนเองจะต้องทำไม่ได้แน่นอน !

หลังจากที่เงียบสงัดไปได้ชั่วครู่ ไป๋มู่ชิงจึงเงยหน้ามองหลินอันหนานพร้อมพูดว่า : “อันหนาน เมื่อก่อนฉันเคยรักคุณจริง ๆ แต่หลังจากที่เกิดเรื่องแต่งงานแทนครั้งนั้น และตอนที่มองเห็นคุณอยู่ในห้องน้ำกับไป๋ยิ่งอัน ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณได้หายวับไปชั่วข้ามคืนแล้ว คนที่ฉันรักตอนนี้คือหนานกงเฉิน และฉันแต่งงานกับเขาแล้ว ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจที่คุณช่วยเหลือฉันในครั้งนั้นมาก ฉันยอมตอบแทนคุณด้วยวิธีไหนก็ได้ นอกจาก……แต่งงาน”

เธอหยุดพูดสักพัก จากนั้นก็พูดต่อ : “ขอโทษด้วย คุณทำกับฉันไม่ดีหนึ่งครั้ง ฉันติดค้างคุณหนึ่งครั้ง เราสองคนหายกันแล้วนะ”

เธอแทบจะไม่กล้าสบสายตาของหลินอันหนานโดยตรง เพราะทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา

หลินอันหนานผิดหวังจนถึงขีดสุดจริง ๆ ผิดหวังจนเลือดซึมอยู่ในใจ

หนานกงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็สบายใจขึ้นมาสักที เขาไม่ได้พูดอะไรมาก ยื่นมือไปโอบไหล่ของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วพูดขึ้นว่า : “มู่ชิง พวกเราไปกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า หลังจากมองหน้าหลินอันหนานเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจึงได้เดินไปยังทางเข้าตรวจเช็กความปลอดภัยพร้อมหนานกงเฉิน

หลินอันหนานยื่นอยู่ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน มองเงาหลังของสองคนที่กำลังโอบกันเดินจากไป ความผิดหวังบนใบหน้าค่อย ๆ กลายเป็นความโกรธแค้น เดือดดาลขึ้นมาทีละน้อย

ความจริงเขาเดาออกตั้งนานแล้วว่าจะกลายเป็นจุดจบเช่นนี้ ทว่ายังคงมาสนามบินตามความต้องการของตนอยู่ดี เป้าหมายคืออะไรนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ชัดเจน

ตั้งแต่เข้าประตูตรวจเช็คความปลอดภัยจนขึ้นไปบนเครื่อง ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

ขณะที่เครื่องเริ่มออกตัวบินขึ้นแล้ว ในที่สุดหนานกงเฉินก็อดไม่ได้จนต้องหันหน้าไปจ้องหน้าเธอ : “เป็นอะไร ? ยังเศร้าอยู่เหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงเรียกสติกลับคืนมาเล็กน้อย พร้อมทั้งส่ายหัว : “เปล่านี่”

“แล้วทำไมหลังจากออกมาจากมันเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ?” การที่เธอเลือกตนต่อหน้าหลินอันหนานได้นั้นเขารู้สึกดีใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่ชอบที่เธอหน้าบูดบึ้งเพราะผู้ชายคนอื่น

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ สองมือโอบแขนของเขาเอาไว้ พร้อมเอียงศีรษะไปแนบอิงบนไหล่ของเขา : “ใครใช้ให้ฉันเป็นคนมีเมตตาแบบนี้ล่ะ ตั้งแต่เด็กจนโตมีแต่คนอื่นโกหกฉัน รังแกฉัน แต่ฉันไม่เคยตัดใจทำร้ายคนอื่นลงเลยสักครั้ง แม้หลินอันหนานจะเคยให้ร้ายฉันมาก่อน แต่ว่าเขาก็ถือว่ารู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเขาก็เป็นคนช่วยเหลือฉันออกมาจากน้ำมือของสวีหย่าหรงเอง ตอนนั้นเขายืนอยู่ด้านหน้าแล้วให้ทางเลือกสองอย่างกับฉัน หนึ่งคืออยู่ในห้องใต้หลังคาต่อไปแล้วถูกสวีหย่าหรงกักขัง สองคือแต่งงานกับเขา เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอดออกมาฉันเลยเลือกข้อสอง แต่ว่า……”

เธอส่ายหน้า พร้อมถอนหายใจเบา ๆ อีกครั้ง : “คิดไม่ถึงว่าฉันก็มีตอนที่ผิดคำมั่นสัญญาและทำร้ายคนอื่นด้วย ฉันที่เป็นอย่างนี้แตกต่างอะไรกับไป๋ยิ่งอันล่ะ ?”

หนานกงเฉินยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอ : “เอาล่ะ เลิกคิดมากได้แล้ว เมื่อกี้เธอพูดเองไม่ใช่หรือไงว่ามันเคยทำไม่ดีกับเธอหนึ่งครั้ง และเธอก็ติดค้างมันหนึ่งครั้ง ทั้งสองเลิกแล้วต่อกัน”

“แต่ฉันยังคิดเหมือนเดิมว่า……”

“ห้ามคิดอย่างอื่นอีกแล้ว” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ : “เธอควรคิดแบบนี้ต่างหาก ถ้าตอนนั้นมันไม่ร่วมมือกับบ้านตระกูลไป๋ส่งเธอมาบ้านตระกูลหนานกง แล้วจะมีเรื่องต่อจากนั้นได้ยังไง และทำไมต้องให้มันมาช่วยเธอออกจากห้องใต้หลังคาด้วย ?”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองเขา ก็จริงเหมือนอย่างที่เขาว่ามา เมื่อเขาพูดมาเช่นนั้น ความรู้สึกผิดในใจของเธอจึงลดลงไม่น้อยในทันใด

“แต่ว่า……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด