เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 172

คืนนี้หนานกงเฉินมีงานเลี้ยงพิเศษคงยังไม่ได้กลับ ไป๋มู่ชิงถูกคำพูดที่แฝงความนัยของคุณผู้หญิงทำให้จิตใจไม่สงบ เธอที่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือ ไม่มีกะจิตกะใจดูโทรทัศน์ ก็เลยหลับไปบนโซฟาพร้อมทั้งกอดมือถือไว้

หนานกงเฉินกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าเธอขดตัวนอนอยู่บนโซฟา คิ้วก็ขมวดเข้าหากันตามความเคยชิน เขาเดินไปอุ้มเธอขึ้นมาจากโซฟาแล้ววางลงบนเตียง

ไป๋มู่ชิงถูกเขาทำให้ตื่น หรี่ตาทั้งสองข้างมองเขา:“คุณกลับมาแล้ว?”

“อากาศหนาวขนาดนี้ทำไมไม่ไปนอนบนเตียง?” หนานกงเฉินจูบบนหน้าผากเธอแล้วถาม

“ฉันหลับไปไม่ทันรู้ตัว” ไป๋มู่ชิงดันตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียง:“ฉันจะไปเอายาขึ้นมาให้คุณ”

“ไม่ต้องหรอก” หนานกงเฉินกดเธอกลับลงไปบนเตียง:“เดี๋ยวผมลงไปทำเองก็ได้”

“งั้นคุณอย่าลืมทานนะ”

“ครับ ผมไปอาบน้ำก่อนนะ” หนานกงเฉินลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ

ไม่นานก็มีเสียงซ่าๆของน้ำที่ไหลดังออกมาจากห้องน้ำ แต่ทว่าไป๋มู่ชิงง่วงมาก ก็เลยหลับไปอีกครั้ง

ขณะที่หนานกงเฉินเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นว่ามือถือของเธอที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมีไฟสว่างขึ้นมา เขาก็ถือวิสาสะเดินไปดูบนหน้าจอมือถือของเธอ พบว่าบนหน้าจอนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศที่ปรากฏขึ้นมา

การปรากฏนี้ทำให้สีหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นมา เท่าที่เขาจำความได้ นอกจากแม่กับน้องชายที่อยู่ต่างประเทศแล้วไป๋มู่ชิงก็ไม่มีญาติหรือเพื่อนคนไหนอยู่ที่นั่น และเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นก็ไม่ใช่เบอร์ของประเทศฝรั่งเศส แต่เป็นประเทศอังกฤษ!

ประเทศอังกฤษ ที่หลินอันหนานพักอยู่

เขาดึงผ้าขนหนูที่เช็ดผมอยู่ลงมา หยิบโทรศัพท์ตรงหัวเตียง แล้วหันไปดูไป๋มู่ชิงที่นอนหลับอย่างอิ่มเอมใจ ลังเลว่าจะรับดีไหม

ไม่ได้รอให้เขาลังเลเสร็จ เสียงเรียกเข้ามือถือจู่ๆก็หยุดลง ตามด้วยข้อความที่ส่งเข้ามา มีเพียงแค่ประโยคสั้นๆ:“มู่ชิง คุณนอนแล้วเหรอ? คิดถึงผมไหม?”

พอเห็นข้อความนี้ หนานกงเฉินก็สามารถรู้ได้เลยว่าเป็นหลินอันหนานที่ส่งมา แต่วิธีการพิมพ์อย่างนี้ ทำไมถึงให้ความรู้สึกว่าเป็นข้อความหยอกเล่นของคู่รักในทุกๆวันนะ?

เขามองไป๋มู่ชิงที่กำลังหลับลึกอีกครั้ง กำมือถือแน่นขึ้นทีละนิด ความโกรธก็ค่อยๆเข้ามาเยือนทีละหน่อย

เวลานี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดึงไป๋มู่ชิงขึ้นมาแล้วถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีไหม ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเขาก็คงทำแบบนั้นอย่างแน่นอน แต่วันนี้ไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้อความของเธอหรือว่าเพราะกำลังตั้งใจหลบหนีกันแน่ ยังไงซะเขาก็ไม่ได้ทำ

ไป๋มู่ชิงที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นยังคงหลับอย่างสบาย

ตอนเช้าไป๋มู่ชิงตื่นขึ้น ลุกขึ้นนั่งเคาะสมองเบาๆไปด้วยนึกย้อนเรื่องเมื่อคืนไปด้วย

คำพูดของคุณผู้หญิงเมื่อคืนยังดังก้องอยู่ข้างหูเธอ แต่เธอแยกไม่ออกสรุปแล้วเป็นความจริงหรือว่าความฝันกันแน่

เธอหันหน้าไปมองหนานกงเฉินที่ยังคงหลับลึกอยู่ข้างกาย ความรู้สึกก็เริ่มชัดเจนขึ้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง เมื่อคืนหนานกงเฉินไม่ได้ทานข้าวที่บ้าน บนโต๊ะอาหารมีแค่เธอกับคุณผู้หญิงสองคนจริงๆ และคุณผู้หญิงก็พูดประโยคแปลกๆนั่นออกมาจริงๆ

หนานกงเฉินใช้แขนควานหาร่างเธอ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด เสียงแหบพร่าและน่าดึงดูดในตอนเช้าพูดขึ้นมา:“วันนี้ไม่ต้องทำงานนี่ เธอตื่นเช้าขนาดนี้มาทำอะไร?”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาพาเข้าไปในอ้อมกอด เงยหน้ามองกรามของเขา:“เมื่อคืนคุณนอนกี่โมง?”

“อาบน้ำเสร็จก็นอนเลย”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่ได้พูดอะไร ก็ลืมตาขึ้นมาดูเห็นว่าสายตาของเธอมองตรงไปทางหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น ใจลอยอยู่นิดหน่อย เขาก็ใช้มือบีบไปที่จมูกเล็กๆของเธอ:“คิดอะไรอยู่?”

“เมื่อคืนฉันฝันแปลกๆ”

“ฝันว่าอะไร?”

“ฝันว่าคุณย่าพูดกับฉันว่า......” เธอหันสายตาจากหน้าต่างจรดพื้นนั่น มาหยุดตรงที่ใบหน้าเขา:“เขาบอกฉันว่าอีกไม่นานคุณก็จะเป็นฝ่ายขอหย่ากับฉัน คุณว่าความฝันนี้เชื่อได้ไหม?”

เธอไม่ได้บอกหนานกงเฉินว่านี่เป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน เพราะว่าไม่อยากทำร้ายเขาเพราะความขัดแย้งระหว่างเธอกับคุณผู้หญิง

หนานกงเฉินยิ้มแล้วพลิกตัวให้เธออยู่ใต้ร่างเขา กัดเบาๆที่ข้างหูเธอ:“คุณคิดว่าผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อนขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงหมดคำพูด คำตอบนี้......ถามแล้วก็เหมือนไม่ได้ถาม

เธอใช้มือดันหน้าหล่อๆของเขาออกไป มองเขาด้วยท่าทางจริงจัง:“ฉันพูดจริงนะ คุณจะหย่ากับฉันเพราะคู่ครองของคุณหรือเปล่า?”

“ขนาดรักแรกผมยังไม่ต้องการเลย ยังต้องพูดถึงคู่ครองอีกเหรอ?” หนานกงเฉินจี้ที่เอวเธอไปทีนึง:“มีแค่ผู้หญิงปากร้ายอย่างคุณก็พอแล้ว อย่าคิดมากให้กระทบความรู้สึกของเราทั้งสองฝ่ายเลย”

ถึงแม้ว่าหนานกงเฉินจะพูดอย่างชี้ขาดมาก แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี

เสียงนาฬิกาปลุกของมือถือที่อยู่บนหัวเตียงดังขึ้น เธอก็เลยหยิบมือถือมาปิดนาฬิกาปลุก หลังจากนั้นก็พิงไปที่แขนของหนานกงเฉิน สไลด์เปิดมือถือเพื่อดูว่ามีสายเข้าหรือข้อความอะไรหรือเปล่าตามความเคยชิน

หนานกงเฉินใช้มือคีบผมเธอเล่นไปด้วย สังเกตเธอที่กำลังตั้งใจกดมือถือไปด้วย ครู่ใหญ่ถึงจะถาม:“เบอร์มือถือของเธอบอกใครไปกี่คน?”

น้ำเสียงของเขาฟังดูสบายๆ ไป๋มู่ชิงก็ตอบอย่างสบายๆเช่นกัน:“ไม่กี่คนนะ ก็มีเพื่อนร่วมงานที่ที่ทำงานแล้วก็ซูซี่ เหยาเหม่ย จ้าวเฟยหยางเพื่อนพวกนี้ไม่กี่คน”

“ได้บอกผู้ชายบ้างไหม?”

ไป๋มู่ชิงมองบนอย่างหมดคำพูด:“มีคุณออกหน้าขนาดนี้ แม้ตาชายตามองเพื่อนร่วมงานผู้ชายพวกนั้นยังไม่กล้า แล้วจะกล้าขอเบอร์ฉัน?”

“ทำไมถึงรู้สึกว่าเธอน้อยใจกันนะ?”

“ไม่หรอก ยังไงซะฉันก็ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานผู้ชายอยู่แล้ว”

ไป๋มู่ชิงพูดจบ ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากหนานกงเฉิน ก็เลยเงยหน้าขึ้นมอง:“ฉันตอบดีขนาดนี้ คุณไม่ชมฉันสักประโยคเลย?”

“นั่นเป็นหน้าที่ของเธออยู่แล้ว มีอะไรต้องชม?” หนานกงเฉินยื่นมือไปปิดมือถือของเธอไว้ มองสายตาของเธอด้วยท่าทางเขร่งขรึมไม่น้อย:“ผมถามคุณ ช่วงนี้คุณได้ติดต่อกับหลินอันหนานบ้างหรือเปล่า?”

นึกถึงข้อความเมื่อคืน หนานกงเฉินก็เปลี่ยนท่าทีไม่ค่อยสบายใจ อดทนไม่ไหวไม่อยากจะสืบทีละนิดแล้ว

ไป๋มู่ชิงชายตามองเขาด้วยอารมณ์ไม่ดี:“ฉันไม่ได้รักเดียวใจเดียวเหมือนคุณ ที่ให้รักแรกสำคัญมากกว่าชีวิตตนเองเสียอีก”

“ผมพูดเรื่องจริงจังกับคุณอยู่นะ” หนานกงเฉินดึงหน้าเธอให้หันกลับมา บังคับให้เธอประสานสายตากับตนเอง

“ฉันก็พูดเรื่องจริงจังเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองเขา เหมือนจะหมดคำพูด:“เช้าขนาดนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

หนานกงเฉินสังเกตเธอ ดูแล้วเหมือนว่าเธอไม่ได้กำลังพูดโกหกอยู่ อีกอย่างร่องรอยของความหวาดผวาที่ตนเองได้ทำอะไรผิดสักนิดก็ไม่มี

แต่ข้อความนั่นเมื่อคืน......หรือว่าเป็นครั้งแรกที่หลินอันหนานส่งให้เธอ?

ถึงแม้ว่าเอาใจคนอื่นไม่เป็น และก็ไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น แต่ยังไงซะคุณผู้หญิงก็เป็นนายหญิงในบ้านนี้ และก็เป็นผู้อาวุโสอีก ไป๋มู่ชิงคงทำได้แค่วางศักดิ์ศรีของตัวเองลงแล้วไปเอาใจเขา

รู้ว่าผู่เลี่ยนเหยาได้ความรักจากคุณผู้หญิงมาโดยตลอด ขนาดว่าไป๋มู่ชิงยังต้องไปขอคำชี้แนะวิธีการจากเขา

ผู่เลี่ยนเหยากลับใจกว้างมาก เขาถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของตัวเองทั้งหมดให้เธอ แล้วยังบอกเธออีกว่า ช่วงนี้คุณผู้หญิงอยากได้หินออบซิเดียนที่เอาไว้ขจัดสิ่งชั่วร้ายเป็นพิเศษ

ขณะที่หนานกงเฉินเอาหินออบซีเดียนมาให้ไป๋มู่ชิงในมือทั้งสองข้างนั้น ก็ถามอย่างประหลาดใจ:“หินก้อนใหญ่ขนาดนี้คุณจะเอาไปทำอะไร?”

“เป็นของที่คุณย่าอยากได้” ไป๋มู่ชิงรับหินมาแล้วพลิกดู เงยหน้าถามหนานกงเฉิน:“ของชิ้นนี้แพงหรือเปล่า?”

“แพงนิดหน่อย” หนานกงเฉิงพูด

“งั้นก็ทำให้คุณสิ้นเปลืองเงินน่ะสิ?” ไป๋มู่ชิงเกรงใจนิดหน่อย

“ในเมื่อซื้อให้คุณย่า ก็ไม่นับว่าสิ้นเปลืองหรอก”

“ก็ใช่ ขอแค่คุณย่าชอบก็พอแล้ว” ไป๋มู่ชิงใช้มือประคองหินสีดำชิ้นนี้:“งั้นฉันเอาไปให้คุณย่าดูหน่อย ดูท่าทางเขาว่าจะชอบหรือไม่ชอบ”

“อืม บอกเขาว่าถ้าไม่ชอบรูปร่างจันทร์เสี้ยวแบบนี้ ยังมีรูปร่างแบบอื่นอีก” หนานกงเฉินยื่นมือไปลูบที่เส้นผมของเธอ เขารู้ดีที่ไป๋มู่ชิงพยายามเอาใจคุณย่ามาตลอดก็เพื่อเขา และเป็นความพยายามที่ไม่มีความโกรธแค้นแต่อย่างใด

เธอมีจิตใจแบบนี้ เขาพอใจมาก และก็มีความสุขมากเช่นกัน

ขณะที่ไป๋มู่ชิงประคองถือหินออบซิเดียนมาที่ด้านหน้าของคุณผู้หญิงนั้น ตาทั้งสองข้างของคุณผู้หญิงก็เป็นประกายขึ้นมาจริงๆ เขายื่นมือมาลูบบนหิน แล้วรีบเงยหน้ามองเธอ:“เธอไปเอามาจากไหน? ศักดิ์สิทธิ์ไหม?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ เจ้าอาวาสยังพูดอีกว่าได้ผลดีเยี่ยม”

คุณผู้หญิงพยักหน้า แต่ไม่นานก็จ้องเธออีกครั้ง:“ฉันจะเก็บของไว้ แต่ฉันเข้าใจความหมายของเธอ ถือโอกาสเตือนเธอหน่อยละกัน อย่านึกว่าเอาเงินของเฉินไปซื้อนู่นซื้อนี่มาให้ฉัน แล้วฉันจะประทับใจ ปล่อยเธอให้อยู่ข้างกายเฉินนะ”

ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก:“คุณย่า หนูก็แค่ได้ยินมาว่าคุณย่าอยากได้หินออบซิเดียนขจัดสิ่งชั่วร้าย ก็เลยไปหามาให้คุณย่า ไม่ได้มีความหมายอื่นค่ะ”

“ไม่ได้มีความหมายอื่น?” คุณผู้หญิงยิ้มเยาะ:“ดูแล้วเธอไม่ใช่พวกเสแสร้งแบบธรรมดาล่ะสิ ก็เห็นอยู่ว่าเอาใจฉัน เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ข้างหนานกงเฉินเพื่อเป็นนายหญิงน้อย จิตใจของเธอที่มุ่งอยากจะได้จุดนี้มีแค่หนานกงเฉินเท่านั้นล่ะที่มองไม่ออก”

“คุณย่า......”

“ช่างเถอะ เธอไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ” คุณผู้หญิงพูดแทรกขึ้นมา:“ฉันก็แค่ไม่หวังให้เธอจะมาสิ้นเปลืองกับเรื่องพวกนี้ อย่าเสียใจ ที่หลังจากถึงเวลาแล้วพบว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นมันเสียเปล่า แล้วกลับมาโทษฉันว่าใจดำ”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไร

คุณผู้หญิงพูดขึ้นอีก:“ถ้าเธออยากได้สิ่งของอะไรก็ตามของตระกูลหนานกงสามารถคุยกันได้ เว้นแต่เฉินที่ไม่สามารถให้เธอได้ นี่เป็นข้อกำหนดชี้ขาด แม้แต่เฉินก็เปลี่ยนแปลงความจริงไม่ได้ หวังว่าเธอจะเข้าใจ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”

เธอลุกขึ้นยืนจากโซฟาเตรียมจะขึ้นชั้นบน หันกลับก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังเดินลงมาจากบันไดวน เธอมองไปที่คุณผู้หญิง แล้วมองไปทางหนานกงเฉินอีก เวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะไปหรือควรจะอยู่

หนานกงเฉินเดินลงมายืนข้างๆไป๋มู่ชิง ฝ่ามือใหญ่กุมมือเล็กๆของเธอเข้าไว้ตรงกลางฝ่ามือ หันไปทางคุณผู้หญิงด้วยมาดเขร่งขรึม:“คุณย่าครับ คุณย่าพูดถูก ยิ่งอันกำชับผมให้ซื้อของสิ่งนั้นแทนเธอ ก็เพื่อใช้เอาใจคุณย่า ให้คุณย่ามีความสุข แต่ทำไมเขาทำแบบนี้แล้วผิดครับ? ในฐานะที่เป็นภรรยาของหลานคุณย่า เขาพยายามที่จะดึงความสัมพันธ์ให้แนบแน่นมาโดยตลอด รักษาความปรองดองในครอบครัว หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ไม่คุ้มค่าที่จะชื่นชมเหรอครับ?”

“เหลวไหล เขาทำไปก็เพื่อตัวเขาเอง!เพื่อความมั่นคงในฐานะของเขาเอง!” คุณผู้หญิงยังยืนยันคำเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ ความดื้อรั้นของเขาทุกคนล้วนรู้ดี และไม่เคยมีใครพูดให้เขาเข้าใจ

ไป๋มู่ชิงทำได้แค่แอบดึงมุมเสื้อของหนานกงเฉิน พูดเสียงเบา:“เฉิน อย่าทะเลาะกับคุณย่า พวกเราขึ้นข้างบนกันเถอะ”

หนานกงเฉินมองเธอ จับมือของเธอแล้วโอบไหล่เธอ ดึงเข้ามา:“คุณย่า คุณย่าเห็นว่าฐานะในตอนนี้ของเธอไม่มั่นคงเหรอครับ? ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ผมไม่มีทางหย่ากับเธอ เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเอาใจใครเพื่อรักษาฐานะของตัวเองไว้ด้วย”

“แก......” คุณผู้หญิงโมโห

“พอแล้วค่ะ พวกคุณหยุดทะเลาะกันได้แล้ว เป็นหนูเองที่ไม่ดี หนู......”

“รู้ว่าไม่ดีแล้วทำไมยังไม่รีบออกไปอีก?” คุณผู้หญิงทะเลาะไม่ชนะหนานกงเฉิน ก็เลยเปลี่ยนไปจ้องเขม็งไป๋มู่ชิง:“ฉันว่าเธอคงไม่ได้จะมาเอาใจฉันหรอก แต่ตั้งใจมาวางอำนาจใส่ฉันซะมากกว่าใช่ไหม”

คุณผู้หญิงยื่นมือมาปัดหินออบซิเดียนที่อยู่บนโต๊ะ หินขนาดใหญ่เกือบหล่นแตกใส่เท้าของไป๋มู่ชิง โชคดีที่หนานกงเฉินดึงเธอให้ถอยหลังไปได้ทันเวลา

ไป๋มู่ชิงร้องเสียงหลงออกมา ตกใจจนหน้าซีดเผือด

หนานกงเฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน ถ้าคุณผู้หญิงไม่ใช่ผู้ใหญ่ฝั่งเขา ไม่ใช่คนที่มีอายุมากขนาดนั้น คาดว่าเขาคงพาไป๋มู่ชิงเดินหนีออกไปแล้ว ไม่สนว่าเขาจะเป็นหรือตาย แต่เวลานี้เขาทำได้แค่กัดฟันทน ก้มตัวลงเพื่อเก็บหินออบซิเดียนกลับมาวางไว้บนโต๊ะดังเดิม พูดกับคุณผู้หญิงว่า:“คุณย่า นี่เป็นน้ำใจเล็กๆจากยิ่งอัน ต่อให้คุณย่าไม่ซาบซึ้ง แอบเอาไปทิ้งในทีหลังก็ยังได้ แต่อย่ามาทำให้แตกใส่เท้าคนอื่นแบบนี้สิครับ”

"ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้แตกใส่ฉันเลย" ไป๋มู่ชิงบ่ายมือพูด

คุณผู้หญิงกวาดสายตาไปยังทั้งสองคน ในใจรู้สึกถึงความเสแสร้งนิดหน่อย

หนานกงเฉินจ้องเขาแล้วพูด:“คุณย่า ถ้าคุณย่ารู้สึกว่าพวกเราสองคนขวางหูขวางตา ผมก็จะย้ายออกไป พอถึงตอนนั้นคุณย่าก็อย่ามาโทษผมว่าไม่สนใจคนในครอบครัวนะครับ”

“เจ้าหมอนี่แกยังคิดจะออกไปเหรอ! ” แก้วชาที่คุณผู้หญิงรินไว้ถูกวางลงบนโต๊ะเสียงดัง‘ปัง’

“ผมก็ไม่ได้อยาก แต่คุณย่าอย่าหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้สิครับ มันทำให้ทุกคนไม่มีความสุข”

“แกข่มขู่ฉัน?”

“ไม่ครับ แค่ขอร้องคุณย่า”

ไป๋มู่ชิงดึงเสื้อของหนานกงเฉิน:“เฉิน พวกเรากลับห้องกันเถอะ”

หนานกงเฉินมองมาทางเธอ หลังจากนั้นก็ดึงเธอออกไปทางประตู

คุณผู้หญิงเห็นพวกเขาเดินออกไปทางประตู ก็รีบถามขึ้นมา:“พวกเธอจะไปไหน?”

“รอคุณย่าหายโกรธค่อยกลับมาครับ” หนานกงเฉินหันหน้ามาตอบเขา

ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินดึงขึ้นรถไป เธอมองหนานกงเฉินที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยให้อย่างกังวล:“คุณจะพาฉันไปไหน? คงไม่ได้รอให้คุณย่าหายโกรธแล้วค่อยกลับมาจริงๆใชไหม?”

ตอนนี้คุณผู้หญิงคิดแค่ว่าจะให้หนานกงเฉินแต่งงานกับคู่ครองของเขา จะหายโกรธง่ายขนาดนั้นได้ไง?

หนานกงเฉินเงียบอยู่สักพัก แล้วเอียงตัวเพื่อจับไหล่ของเธอให้หันมาสบตากับเขา:“รู้ไหมว่าทำไมผมไม่ได้พาคุณไปที่คอนโดแต่กลับพาคุณมาที่คฤหาสน์หลังเก่าแทน?”

“ทำไมคะ? หรือว่าไม่ใช่เพราะว่าจะให้ฉันได้นั่งตำแหน่งคุณผู้หญิงหนานกงเหรอ?”

“นี่เป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่ง” หนานกงเฉินส่ายหน้า เรื่องตำแหน่งของเธอนั้น ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใครที่ไหนให้ชัดเจน ขอแค่เป็นภรรยาของเขาหนานกงเฉิน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด

“เพราะก่อนหน้านี้ครั้งนึงตอนที่ผมกลับไปที่คฤหาสน์ คุณย่าเคยพูดกับผมประโยคนึง เขาพูดว่าตอนนี้เขาอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทุกครั้งที่ได้เจอกับผมนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ และผมก็เป็นครอบครัวคนเดียวของเขา แล้วเขาก็เป็นคนที่ลำบากกว่าจะเลี้ยงผมให้โตได้ขนาดนี้ คุณเข้าใจความรู้สึกของผมที่ได้ยินคำพูดพวกนี้ไหม?”

สายตาของเขาเริ่มสลดลงทีละนิด ทั้งกลุ้มใจทั้งจนปัญญา

ไป๋มู่ชิงรีบพยักหน้า ยื่นฝ่ามือไปประคองไว้ที่หน้าของเขา:“ฉันเข้าใจค่ะ แล้วฉันก็รู้ว่าที่คุณย่าทำไปไม่ว่าจะเรื่องอะไรเป็นเพราะหวังดีกับคุณ เพราะงั้นคุณวางใจได้ ไม่ว่าคุณย่าจะทำอะไรกับฉันหรือพูดอะไรกับฉัน ฉันจะไม่เอามาใส่ใจหรอก ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ ไม่ว่าเขาจะทุบตีฉันหรือด่าฉัน ถึงฉันตายก็ไม่ไปหรอกค่ะ”

“จริงเหรอ?”

“จริงค่ะ คุณอย่ามองว่าฉันรุนแรงชอบหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผลสิ นั่นเป็นวิธีการรับมือกับศัตรูหัวใจ กับผู้ใหญ่ฉันไม่มีทางไม่เคารพหรอกค่ะ”

หนานกงเฉินหัวเราะ:“ความรุนแรงของคุณคงไม่เพียงแค่รับมือกับศัตรูหัวใจ กับสามีของตัวเองคุณก็ต้องรับมือเหมือนกัน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด