เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 183

“หิว” ผ่านมาเป็นเวลานาน หนานกงเฉินถึงปริปากพูดตอบกลับเธอมาหนึ่งคำ

“รู้อยู่แล้วว่าคุณจะต้องหิวแน่” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างร้ายกาจ หัวร้อนเสียขนาดนั้น หากกินอะไรลงก็คงแปลก

เธอลุกขึ้นจากบนร่างหนานกงเฉิน และเอื้อมมือไปห่มผ้าให้เขาจากนั้นก็เดินไปตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดขึ้นมาสวมใส่พร้อมพูดว่า : “คุณนอนพักก่อนสักครู่นะ ฉันจะไปต้มบะหมี่มาให้”

หนานกงเฉินน่าจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ เขาขานรับเสียงเบาและปิดตานอนพักผ่อนต่อ

ไป๋มู่ชิงหยิบเส้นบะหมี่และไข่ออกมาจากตู้เย็น จากนั้นจึงตอกไข่ใส่ชามตรวจสอบสักครู่จึงพบว่าแม้จะเก็บไว้นานขนาดนี้ไข่กลับยังไม่เสีย เธอต้มบะหมี่ไข่ง่าย ๆ หลังจากยกเอามาวางบนโต๊ะรับประทานอาหารแล้ว ก็ได้เดินมุ่งไปยังห้องนอน

“บะหมี่เสร็จแล้วนะ รีบลุกขึ้นมาทานเถอะ” เธอยืนอยู่ข้างประตู ยื่นมือไปกดสวิตช์ไฟ ทันใดนั้นเองหนานกงเฉินก็พูดขึ้นห้ามปรามเธอ : “อย่าเปิดไฟ”

ไป๋มู่ชิงชะงักไปชั่วครู่ อย่าเปิดไฟงั้นหรือ ? หนานกงเฉินจะกลัวไฟก็ต่อเมื่ออาการป่วยกำเริบเท่านั้น

“เฉิน คุณโอเคไหม ?” เธอสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นเตียงไปลูบใบหน้าของเขา พลางมองหน้าเขาภายใต้แสงไฟสลัว ๆ แล้วถามว่า : “หน้าคุณร้อนจังเลย อาการป่วยกำเริบเหรอ ?”

“น่าจะมั้ง เธออยู่ห่าง ๆ ฉันหน่อย” หนานกงเฉินผลักร่างของเธอออก : “เด็กดี ออกไปทานบะหมี่ของเธอเถอะ อย่าสนใจฉันเลย”

ไป๋มู่ชิงพลิกตัวแล้วลงจากเตียง ทว่าเธอไม่ได้ออกไปจากห้องนอน ครั้นเธอไปหายาจากในลิ้นชักและพบว่าลิ้นชักนั้นเปิดอยู่ ขวดยาก็เปิดฝาวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมถามด้วยความกระวนกระวายว่า : “เฉิน คุณทานยาแล้วใช่ไหมคะ ?”

“ทานแล้ว” หนานกงเฉินพูดเร่งเธออีกครั้ง : “เธอออกไปก่อนเถอะ ฉันขอนอนสักพักคงดีขึ้น”

“ในเมื่อไม่หย่ากันแล้ว คุณอย่าคิดไล่ฉันไปอีกเลย” ไป๋มู่ชิงขึ้นไปบนเตียงนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และจับมือที่เขากุมผ้าห่มไว้แน่น พร้อมถามด้วยความเป็นห่วง : “ทรมานมากใช่ไหม ? ให้ฉันพาคุณไปโรงพยาบาลดีไหม ?”

“ไม่ต้อง” หนานกงเฉินรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก ร่างกายราวกับถูกหนอนจำนวนสิบล้านตัวกัดฉีกอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขากอดส่วนเอวของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วขึ้นคล่อมบนตัวเธอด้วยความเจ็บปวดทรมาน ใบหน้าที่มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วมมุดอยู่บริเวณซอกคอของเธอ จากนั้นก็พูดว่า : “มู่ชิง……พวกเราหย่ากันเถอะ……หย่ากันเถอะ……”

“หนานกงเฉิน คุณพูดอะไรของคุณ ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเจ็บปวดร้าวที่ใจ โผเข้ากอดเขาน้ำตาไหลพราก

น้ำตาของเธอหยดลงบนแก้มของเขา ทั้งอุ่นและเปียก

“ฉันโกหกเธอ……เมื่อหย่ากันแล้วฉันก็จะไม่ยุ่งกับเธออีก……เธอจะไปหาหลินอันหนานของเธอก็ได้ ไปหาหัวหน้าทีมปิงเฟิงของเธอก็ได้……จะไปไหนไกล ๆ ก็ได้……” เขาพูดเสียงเบา

มีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่เขาจะรับรู้ได้ว่าการที่ตนขืนใจให้เธออยู่ข้างกายเช่นนี้นั้นเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมากเพียงใด และมีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาจะอยากให้อยู่ห่างจากเขา เพื่อไปหาผู้ชายที่ร่างกายแข็งแรงและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขไปชั่วนิรันดร์ ครั้นไม่ใช่ผู้ที่อาจจะมีอันเป็นไปได้ทุกเวลา ทั้งยังทำร้ายร่างกายเธอจนเจ็บปวดทรมานเมื่ออาการป่วยกำเริบเช่นนี้

“หนานกงเฉิน ฉันต้องบอกคุณกี่ครั้งกัน ฉันไม่คิดอะไรกับหลินอันหนานตั้งนานแล้ว และฉันก็มีความสัมพันธ์กับหัวหน้าทีมปิงเฟิงแค่ผู้ก่อตั้งกลุ่มเล่นเกมด้วยกันเท่านั้น พวกเราไม่เคยแม้แต่เจอหน้ากัน……” ไป๋มู่ชิงพูดพร้อมสะอึกสะอื้น : “ฉันบอกแล้วเหมือนกัน ว่าไม่ว่าอาการป่วยของคุณจะหนักแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างกายคุณตลอด……นะคะ……เฉิน……”

อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าแขนที่เขากอดเธอไว้นั้นรัดแน่นมาก แน่นเสียจนเธอหายใจไม่ทั่วท้อง

เมื่อหนานกงเฉินสูญเสียสติไป จึงไม่ทราบว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าเขาใช้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่สุดท้ายของตนในการคลายเธอออกไป จากนั้นก็พลิกตัวไปอยู่ด้านข้าง ครั้นเนื่องจากไม่ได้ควบคุมแรงของตนให้ดี เขาจึงกลิ้งหล่นลงด้านล่างเตียงไปทันที

ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงเกิดเป็นเสียงดังตับ ไป๋มู่ชิงตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า จึงรีบลงเตียงเข้าไปประคองคอของเขาเอาไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยความสงสารจับใจ : “เฉิน อดทนไว้นะ คุณทานยาแล้วอีกไม่นานก็จะหายดีนะ อดทนไว้ก่อน……”

เพื่อที่ป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายตนเอง เธอทำได้เพียงกอดเขาไว้แน่น โชคดีที่เนื่องจากเขาทานยาแล้วจึงทำให้สงบสติอารมณ์โดยเร็ว เวลาต่อมาก็ได้นอนแนบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเธอและผล็อยหลับไป

เมื่อเห็นสีหน้าอันซีดเซียวของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงเป็นห่วงเขาที่สุด เป็นห่วงว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกดังเช่นเมื่อก่อน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งหายจากอาการป่วยครั้งใหญ่มา

เธอกอดหนานกงเฉินเอาไว้ในอ้อมอกแน่น จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมาและเปิดเครื่อง จากนั้นก็ต่อสายไปยังคุณหมอจาง

คาดว่าเมื่อคุณหมอจางเห็นเบอร์โทรศัพท์ของหนานกงเฉินแล้วคงรีบกดรับในทันที อีกทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงอันกระวนกระวายใจว่า : “คุณชายเฉิน คุณไปไหนแล้วครับ ? คุณยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้นะ รีบกลับมา……”

“คุณหมอจางคะ” ไป๋มู่ชิงรีบพูดตัดบทเขา พร้อมพูดขึ้นต่อด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย : “ตอนนี้คุณชายเฉินอยู่ที่คอนโดเซียงตี๋ อาการป่วยของเขากำเริบอีกแล้วค่ะ”

“อะไรนะ ?” คุณหมอจากชะงักไป : “คุณชายเฉินอาการป่วยกำเริบอีกแล้วเหรอ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหมอจางแล้ว ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็รับรู้ถึงความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ จึงได้ถามไปด้วยความกระวนกระวายใจ : “คุณชายเฉินยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ใช่ไหมคะ ? ถ้างั้นตอนนี้ทำยังไงดีคะ ? เขาเพิ่งทานยาและหลับไปแล้ว……”

“แม้คุณชายเฉินจะฟื้นขึ้นมา แต่ร่างกายยังคงอ่อนแอเช่นเคย อย่างน้อยต้องอีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้” เวลาต่อมาคุณหมอจางรีบพูดใหม่อย่างรวดเร็ว : “นายหญิงน้อยอย่าร้อนใจไปนะครับ ผมจะส่งรถไปรับคุณชายเฉินกลับโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยครับ”

หลังจากวางสายแล้ว ไป๋มู่ชิงก็เกิดอาการสับสนงงงวยทันที

เธอไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ เธอคิดว่าหนานกงเฉินออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แม่เจ้า……เมื่อสักครู่ที่เธอเห็นร่างกายอันย่ำแย่ของเขา ก็ควรสัมผัสได้แล้วว่าร่างกายของเขายังฟื้นตัวไม่ดี แถมยังปล่อยให้เขาใช้แรงอย่างหนักหน่วงตั้งนานแบบนั้นอีก

ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอด ยิ่งเธอคิดมากเท่าไรก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น น้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาอยู่ ๆ ก็ไหลรินเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ทำยังไงดี ? เฉิน คุณอย่าทำฉันตกใจอย่างนี้สิ ครั้งนี้คุณต้องฟื้นมาเร็ว ๆ เลยนะ……” เธอพูดเสียงสะอึกสะอื้น พลางกอดรักเขาเอาไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ

รถพยาบาลมาถึงด้วยเวลาอันรวดเร็ว หนานกงเฉินถูกนำส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงเดินเหม่อลอยไปมาอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ร้อนรนใจราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้

และคุณผู้หญิงเมื่อทราบเรื่องว่าอาการของหนานกงเฉินไม่ค่อยดีก็รีบบึ่งมายังโรงพยาบาลทันที หลังจากถึงที่หมายก็เห็นเงาแผ่นหลังของไป๋มู่ชิงอยู่ไกล ๆ เธอสาวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปหาไป๋มู่ชิงด้วยความเดือดดาลพร้อมถามว่า : “เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมพอเฉินอยู่กับเธออาการป่วยก็กำเริบอีกแล้วล่ะ ?”

ไป๋มู่ชิงอ้าปากขึ้น ทว่ากลับพูดอันใดไม่ออก

เธอไม่สามารถพูดมันออกมาได้เลย เนื่องจากคราวนี้ที่หนานกงเฉินอาการป่วยกำเริบนั้นเนื่องจากเขาทำกิจกรรมบนเตียงอย่างเร้าร้อนบนสภาพร่างกายอันอ่อนแอเช่นนี้ ถ้าหากให้คุณผู้หญิงทราบเหตุผลนี้ ท่านจะต้องโกรธจนแทบอยากจะฆ่าเธอเป็นแน่

“พูดสิ !” คุณผู้หญิงตะคอกไป ด้วยความรู้สึกที่ทั้งโมโหทั้งร้อนรนใจ

ไป๋มู่ชิงตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด : “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“นี่ เธอว่าทำไมเฉินต้องแจ้นไปหาเธอด้วยนะ ? ทำไมไปหาเธอแล้วอาการป่วยกำเริบเลย ?”

“เขา……เขาไปหาหนูเพื่อคุยเรื่องหย่ากันค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นมาหนึ่งประโยคภายใต้ความกระวนกระวายใจ : “ถูกต้อง เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ค่ะ”

เธอไม่ได้พูดปลด หนานกงเฉินมาเพื่อคุยเรื่องหย่ากับเธอจริง ๆ เพียงแค่หลังจากคุยกันเสร็จแล้วก็กลับกลายเป็นสะบัดสะบอมอยู่บนเตียงเท่านั้นเอง แถมยังทำให้เขาอาการป่วยกำเริบอีก เมื่อคิดถึงความไร้เดียงสาและความประมาทของตนเองแล้ว น้ำตาของไป๋มู่ชิงจึงได้ไหลรินลงอาบแก้มด้วยความทนไม่ไหว

ถ้าหากหนานกงเฉินไม่ฟื้นขึ้นมาดังครั้งก่อนแล้วนั้น เธอคงคับแค้นใจเป็นอย่างมากแน่นอน

“คิดไว้แล้วเชียวพอเจอเธอก็คงไม่มีเรื่องดีอะไรหรอก นังตัวซวย !” คุณผู้หญิงโมโหจัดจนง้างมือขึ้นมาหมายจะตบหน้าเธอ ครั้นไป๋มู่ชิงเองก็ไม่ได้หลบแต่อย่างใด เนื่องจากเธอคิดว่าตนสมควรแล้วกับการถูกตบ

สุดท้ายจูจูที่มาพร้อมคุณผู้หญิงได้ห้ามปรามเธอเอาไว้ จูจูหันมองหน้าไป๋มู่ชิงและพูดขึ้นปลอบประโยนว่า : “คุณย่าคะ อย่าโกรธเลยนะคะ การที่คุณชายเฉินอาการป่วยกำเริบไม่ได้เกิดจากมู่ชิงหรอกค่ะ จะไปโทษเธอไม่ได้นะคะ”

“ป่านนี้แล้ว เธอยังพูดแทนมันอีกเหรอ” คุณผู้หญิงหันหน้าไปหาจูจู : “เธอก็เหมือนกัน ฉันให้เธอดูแลเฉินแต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เขาหนีออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ยังไม่รู้เลย”

เมื่อถูกคุณผู้หญิงพูดตำหนิมาเช่นนี้ จูจูจึงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดและรู้สึกขอโทษ : “ขอโทษนะคะ หนูผิดเองที่ไม่ได้ดูแลคุณชายเฉินให้ดี ครั้งหน้าจะระวังนะคะ”

แม้จะทราบว่าต้องถูกปฏิเสธแน่นอน ครั้นไป๋มู่ชิงยังคงอดไม่ได้จนต้องปริปากพูดขอร้องออกมา : “คุณย่าคะ ขอร้องให้หนูอยู่ดูแลเฉินเถอะนะคะ หนูดูแลเขาได้ดีกว่าคุณหนูจู”

“เธอน่ะเรอะ ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น : “ตัวซวยอย่างเธออยู่ห่างจากเฉินหน่อยจะดีที่สุด ถือซะว่าฉันขอร้องละนะ”

ไป๋มู่ชิงรวบรวมความกล้าทั้งหมดพูดต่อไปว่า : “คุณย่าคะ หนูขอพูดตามความจริงเลยก็แล้วกันค่ะ เดิมทีเฉินเขาไม่อยากหย่ากับหนูเลย หนูไม่ได้อยากฮุบเอาอะไรของตระกูลหนานกงไปทั้งนั้น หนูแค่หวังว่าท่านจะสนใจความคิดของเฉินบ้าง ถ้าท่านดื้อดึงบังคับอยากให้เขาหย่ากับหนูให้ได้อย่างนี้ มีแต่จะทำให้อาการป่วยของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ”

แม้ว่าเธอจะพูดอย่างจริงใจ ทว่าคุณผู้หญิงยังคงมีสีหน้าดูหมิ่นเธอเช่นเคย : “เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ แค่เขาแต่งงานกับจูจูแล้ว อาการป่วยของเขาก็จะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติละ”

ดูเหมือนว่าคุณผู้หญิงจะปักใจเชื่อเรื่องคูครองฟ้าลิขิตนี่เป็นอย่างมาก ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าตนควรพูดเช่นไรต่อดี

ทว่าคุณผู้หญิงกลับชายตามองเธอและพูดขึ้นต่อไปว่า : “ไป๋มู่ชิง ฉันขอเตือนเธอไว้นะ ไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรกับหนานกงเฉินมาหรือเคยพูดอะไรกันไว้บ้าง กรุณาลืมมันไปทั้งหมด ฉันจะทำให้เฉินลืมไปหมดเหมือนกัน จำไว้ว่าพวกเธอทั้งคู่จะต้องหย่ากันและเฉินก็จะต้องแต่งงานกับจูจูในอีกไม่นานแล้ว ขืนเธอยังกล้ามายั่วยวนเขาอีก ทำให้ร่างกายเขาทรุดลงขัดขวางภารกิจที่ทรวงสรรค์ให้เขาทำ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน !”

“เมื่อเฉินฟื้นขึ้นมา เธอสนใจแค่ให้ความร่วมมือทุกคนในการหย่าก็พอ เรื่องอื่นเธอไม่ต้องมายุ่ง ไม่อย่างนั้น……” คุณผู้หญิงครุ่นคิดชั่วครู่ : “ฉันได้ยินมาว่าเธอยังมีน้องชายกับแม้แท้ ๆ แถมเฉินเป็นคนช่วยเหลือพวกเขามาซะด้วย ถ้าเฉินมีอันเป็นไปอะไรฉันจะให้พวกเธอทั้งสามคนตายตามเขาไปด้วย”

ไป๋มู่ชิงเย็บวูบในใจ คิดไม่ถึงว่าคุณผู้หญิงจะทำตามไป๋ยิ่งอัน ที่เอาแม่และน้องชายเธอมาข่มขู่เธอเช่นนี้ ?

แม่เจ้า เธอควรทำเช่นไรดี !

เธอเคยรับปากไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างหนานกงเฉิน เธอเคยบอกว่าจะไม่เชื่อคำเล่าลืออันใดทั้งนั้น ทว่าคุณผู้หญิงทำจนถึงขั้นนี้แล้วเธอจะทำอย่างไรได้อีก ?

“ถ้าเธอหวังดีกับเฉินจากใจจริงก็ควรปล่อยเขาไปซะ ให้โอกาสเขาได้อยู่กับจูจู บางทีหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้วอาการป่วยของเขาดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ ? หรือว่าเธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงใช้ไม้อ่อนหลังจากที่ใช้ไม้แข็งแล้ว

“อยากสิคะ……”

“ถ้างั้นก็เชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์หวัง อยู่ห่าง ๆ เขาไว้”

คุณผู้หญิงพูดอย่างชัดเจนว่าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์หวัง มิเช่นนั้นหนานกงเฉินก็ต้องมีอันเป็นไป แม้ไป๋มู่ชิงจะตัดใจไม่ลงครั้นต้องจำยอมจากไปแต่โดยดี ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของหนานกงเฉินด้วย

เธอถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลอีกครั้ง เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างภายในคอนโดผุดขึ้นมาและหายไปราวกับอยู่ในความฝัน

ความเข้มแข็งที่กว่าจะสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็ได้ล่มสลายลงภายในชั่วพริบตาเดียว เธอหันหลังไปมองตึกขนาดใหญ่ของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าอีกครั้งสายตาพลางกวาดมองไปยังหน้าต่างของห้องผู้ป่วยชั้นสาม และพูดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ภายในใจว่า : “เฉิน บางทีคุณลองดูวิธีนี้ก่อนก็ได้นะ มันอาจได้ผลจริง ๆ……”

เธอผู้ที่ไม่เชื่อคำเล่าลือมาโดยตลอด ก็ได้เริ่มเชื่อแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด