เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 192

"ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คุณคือ……" ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ แล้วมองไปทางหนานกงเฉิน กำลังเดาความสัมพันธ์ของทั้งสอง

"ฉันเป็นภรรยาของคุณชายเฉิน" จูจูนั่งลงข้างกายหนานกงเฉินแล้วกอดแขนเขาไว้ สายตาที่ดูไปที่ไป๋มู่ชิงมีความสะใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วยิ้มอ่อน "เดาได้ค่ะ" จากนั้นก็รู้สึกผิดต่อ "ขอโทษนะคะ ฉันทำให้รถของพวกคุณเป็นรอย ตอนนี้กำลังเจรจากันว่าจะจัดการยังไง"

"แล้วผลสรุปที่พวกคุณเจรจาได้คืออะไร?" จูจูเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางหนานกงเฉิน ก็เห็นว่าสายตาเขาทอดมองไปที่ไป๋มู่ชิง รู้จักนานขนาดนี้ไม่เคยเห็นเขาเหม่อลอยแบบนี้เลย เธอก็อดที่จะมองสำรวจไป๋มู่ชิงตรงหน้าไม่ได้ ก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้น แต่ก็เป็นผู้หญิงที่ดูเรียบง่ายเหมือนกับที่หนานกงเฉินชอบ

เธอรู้สึกว่าความหึงในใจก็ค่อยๆจะปะทุออกมา จากนั้นก็กอดแขนของหนานกงเฉินแน่นขึ้น พยายามแสดงเป็นเจ้าของ

"ฉันกำลังรอคุณผู้ชายคิดอยู่ค่ะว่าจะจัดการยังไง" ไป๋มู่ชิงมองไปทางหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินดึงสติกลับมาจากนั้นเขาก็ส่ายหัว คิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าท่าทางของผู้หญิงตรงหน้าคุ้นชินมาก ทั้งกริยาคุ้นชิน แล้วค่อยๆรู้สึกว่าเสียงของเธอก็คุ้นชินมากด้วย

บ้าไปแล้วจริงๆ!

"เฉิน ฉันว่าช่างเถอะ" จูจูมองไปทางหนานกงเฉินแล้วพูด "รอยแค่นี้ให้ประกันมาซ่อมก็พอแล้ว คนอื่นเขาก็ไม่ได้ตั้งใจแล้วยังพาเด็กมาด้วย"

ถึงแม้ในใจโกรธจนกัดฟันแน่นแต่สีหน้าเธอก็ต้องยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน ความจริงแล้วเธอมีแผนของตัวเองอยู่แล้ว

จากที่เธอดูมาอย่าว่าแต่รถเป็นรอยเลย ถึงแม้จะถูกชนจนไม่เหลือซากก็ไม่เห็นเป็นอะไร เพราะยังไงตระกูลหนานกงก็มีเงินพอที่จะซื้อคันใหม่ให้ทันที แต่กลับเป็นผู้หญิงตรงหน้าที่ดึงดูดหนานกงเฉินไป เธอกลัวว่าถ้าไม่รีบแยกพวกเขาคงจะมีปัญหาตามมา

แล้วหนานกงเฉินก็ชอบที่ไป๋มู่ชิงเป็นคนใจดีมีเมตตา ถ้าเธอเป็นเพราะรอยเล็กแค่นี้ก็ยืดยื้อกับคนอื่น ก็คงจะเหมือนคนบ้าแน่ๆ หนานกงเฉินไม่ชอบที่เธอเป็นแบบนี้แน่นอน!

กว่าที่หนานกงเฉินจะออกมากับเธอได้ เธอไม่อยากเป็นเพราะอุบัติเหตุเล็กน้อยจนทำให้หมดอารมณ์

ไป๋มู่ชิงไม่คิดเลยว่าจูจูก็เป็นคนที่พูดง่ายเหมือนกันก็เลยรู้สึกตื่นตันขึ้นมา คนรวยก็เป็นอย่างนี้แหละ คำสองคำก็ตัดสินใจได้แล้วว่าไม่ให้เธอชดใช้

"ผมก็คิดอย่างนี้ครับ" หนานกงเฉินยิ้มอ่อน

"ขอโทษด้วยนะคะ" ไป๋มู่ชิงก้มขอโทษทั้งสอง "งั้นขอบคุณคุณทั้งสองคนมากนะคะ"

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก อีกหน่อยขับรถระวังหน่อยก็พอ" จูจูยิ้มอ่อนให้เธอ

ไป๋มู่ชิงจูงมือหว่านชิงที่อยู่ข้างๆ "หว่านชิงคะ รีบบอกลากับคุณอาทั้งสองคนเร็ว"

"ไม่!" เสี่ยวหว่านชิงเบี่ยงหน้าหนี ดูเหมือนว่ายังโกรธหนานกงเฉินอยู่

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นว่าเธอเอาแต่ใจก็ยิ้มแห้งๆให้ทั้งสอง จากนั้นก็จูงมือเธอขึ้นรถ

"เฉิน เราก็ไปกันเถอะ หนังเริ่มฉายแล้ว" จูจูพูดไปทางหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินพยักหน้าจากนั้นก็เดินไปทางลิฟท์พร้อมกับเธอ

เมื่อกำลังยืนรอลิฟท์ จูจูก็เอ่ยขึ้น "เฉิน คุณรอฉันแป๊บนึงนะ ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อน"

หนานกงเฉินตอบรับว่า'ได้'

เมื่อจูจูเดินออกจากหน้าลิฟท์ สีหน้าที่เมตตาก็เสแสร้งต่อไม่ได้ เธอไม่ได้ไปที่ห้องน้ำแตกกลับเร่งฝีเท้าเดินไปที่ลานจอดรถ

เมื่อเธอเดินมาถึงลานจอดรถ ไป๋มู่ชิงก็กำลังจะจ่ายค่าใช้จ่าย จากนั้นก็โบกมือกับเธอ ไป๋มู่ชิงก็เลยหยุดรถ แล้วลงมาจากรถ

"มีอะไรหรือเปล่าคะ?" เธอมองไปที่สีหน้าที่ไม่ค่อยดีของจูจู ในใจคิดว่าเธอกลับคำแล้วจะให้เธอชดใช้ค่าซ่อมรถงั้นหรอ?

จูจูหยุดนิ่งอยู่ต่อหน้าเธอแล้วคุยกับเธอด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก "คนเมื่อกี้เป็นสามีของฉัน"

"ฉันรู้แล้วค่ะ ทำไมหรอคะ?" ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเธอถึงเอ่ยขึ้นกับตัวเอง

"ทำไม? เธอว่าล่ะ?" จูจูง้างมือขึ้นตบหน้าเธอไป ทั้งที่เธอไม่ทันตั้งตัว "พอเห็นผู้ชายที่มีเงินก็อยากจะโปรยเสน่ห์งั้นหรอ? เอาแต่ซบอยู่ในอ้อมกอดเขาก็ไม่อยากออกมาแล้วใช่ไหม? นังหน้าไม่อายเธอคิดจะทำอะไรกันแน่?"

ไป๋มู่ชิงถูกตบจนงงไป เสี่ยวหว่านชิงที่อยู่ในรถเมื่อเห็นคุณแม่โดนตบก็ร้องไห้ขึ้นมา "ทำไมต้องตบแม่หนูด้วย! ผู้หญิงใจร้าย……!"

"หุบปากเดี๋ยวนี้นะยัยเด็กเหลือขอ!" จูจูหันไปตะคอกใส่เสี่ยวหว่านชิง

"ผู้หญิงใจร้าย! หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ! หนูไม่ใช่……!" เสี่ยวหว่านชิงพูดไปด้วยแล้วส่ายหัวไปด้วย เป็นเพราะเธอนั่งอยู่ที่คาร์ซีทเลยทำได้แค่ร้องไห้อยู่ในรถ

จูจูไม่อยากสนใจเด็ก ก็ไปพูดเตือนไป๋มู่ชิงอย่างเยือกเย็น "นังหน้าไม่อาย! ฉันเตือนแกไว้เลยให้ห่างออกจากสามีฉันด้วย ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!"

ไป๋มู่ชิงถูกเธอตบไปในใจก็หงุดหงิดมากแล้ว เมื่อได้ยินเธอด่าว่าเสี่ยวหว่านชิงอีก ความหงุดหงิดก็พุ่งขึ้นไปอีกแล้วจ้องกลับด้วยความโมโห "คุณผู้หญิงคะ ถ้าคุณตบฉันเป็นเพราะว่าฉันทำให้รถคุณมีรอย ฉันรับไว้ค่ะ แต่ถ้าคุณกำลังคิดว่าฉันกำลัง ยั่วยวนสามีคุณ ฉันไม่รับ อีกอย่างลูกของฉันมีทั้งพ่อทั้งแม่ไม่ใช่เด็กเหลือขอ ขอให้คุณระวังคำพูดด้วยค่ะ!"

"เมื่อกี้เห็นพวกเธอสองคนสบตากันไปมา คิดว่าฉันไม่เห็นงั้นหรอ?" เมื่อนึกถึงสายตาที่หนานกงเฉินมองเธอเมื่อกี้ จูจูก็โกรธจนจะอยากจะบีบคอเธอตาย

"ฉันไม่รู้ว่าคุณเห็นอะไร แต่ฉันขอเตือนคุณไว้ ถ้าถึงเวลาที่ผู้ชายจะหลายใจคุณจะห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ ถ้าคุณแน่จริงก็มัดใจเขาไว้ให้แน่น ถ้าทำไม่ได้ก็โทษตัวเองเถอะค่ะ อย่าหาเรื่องคนที่ไม่เกี่ยวข้องเพราะผู้ชายเกลียดผู้หญิงแบบนี้มากที่สุด!"

"แก……!" พูดกระแทกใจของจูจูมาก

"ฉันจะพูดคำสุดท้ายนะคะ ฉันไม่ได้สนใจผู้ชายของคุณเลย ลาก่อนค่ะ!" พูดจบ ไป๋มู่ชิงก็ไม่มองแม้แต่จูจูแล้วหันหลังเปิดประตูขึ้นรถไป

จ้องมองรถของไป๋มู่ชิงที่แล่นออกไปไกลแล้ว จูจูค่อยสูดหายใจเข้าเบาๆ จากนั้นก็หันหลังก้าวเดินไปทางลิฟท์

หนานกงเฉินยืนอยู่ในลิฟท์ด้วยท่าทางที่กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

จูจูปรับอารมณ์ตัวเองจากนั้นก็ทำสีหน้ายิ้มแย้มแล้วคล้องแขนเขาไว้ "เฉิน เราไปกันเถอะ"

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับเธอ

ขณะที่ลิฟท์กำลังแล่นขึ้น หนานกงเฉินก็หันไปพูดกับเธอ "คุณรู้สึกหรือเปล่าว่าเด็กผู้หญิงเมื่อกี้หน้าตาเหมือนคุณตอนเด็กมาก?"

จูจูอึ้งไป แล้วพยายามนึกย้อนหน้าตาของเด็กคนนั้น เธอไม่ได้ใส่ใจเลย

เธอยิ้มให้ "ก็เหมือนอยู่"

ความจริงเธอจำไม่ได้หรอกว่าไป๋มู่ชิงตอนเด็กหน้าตาเป็นยังไง คงจะต้องไปทำการบ้านซะแล้ว เธอแอบคิดในใจ

เธอไม่ได้ใส่ใจคำพูดของหนานกงเฉินมาก คิดแค่ว่าเขาคงเอ่ยพูดไปลอยๆ ก็เลยตอบไปอย่างนั้น

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เลย

ดูเหมือนว่าคนที่ใส่ใจเรื่องแบบนี้ตลอดมีแค่เขา คนอื่นก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร

หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ไป๋มู่ชิงก็จอดรถลงจากนั้นก็ดึงกระจกลงมามองสำรวจหน้าฝั่งซ้ายที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ ยังดีไม่ได้มีรอยมือที่ชัดเจนมาก

เสี่ยวหว่านชิงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "คุณแม่เจ็บมั้ยคะ?"

"ไม่เจ็บค่ะ?" ไป๋มู่ชิงส่ายหัวแล้วปิดกระจก จากนั้นก็หันไปมองเสี่ยวหว่านชิง "อย่าบอกคุณพ่อนะรู้ไหม?"

"ทำไมคะ? ผู้หญิงคนนั้นใจร้ายขนาดนั้น!"

"เพราะว่าแม่ไม่อยากให้คุณพ่อเป็นห่วง" ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปจับหัวหว่านชิง "แล้วคุณอาที่ใจร้ายคนนั้นเป็นแค่ความเข้าใจผิด แม่ด่าเธอไปแล้วให้อภัยเธอแล้ว หนูก็ให้อภัยเธอด้วยดีไหม?"

เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วพูดแล้ว "เรื่องที่คุณอารู้ชื่อหนูเมื่อกี้ คุณแม่คิดได้แล้ว เหมือนตอนนั้นที่คุณแม่เรียกหว่านชิง คุณอาก็เลยรู้ ขอโทษนะ แม่เข้าใจหนูผิดไป"

เมื่อกี้เธอคิดเธอนึกย้อนตลอดทางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอจำได้ว่าเมื่อได้ยินเสี่ยวหว่านชิงถูกรถชนก็รีบตามหาเงาของเธอ สุดท้ายเห็นเธอนั่งอยู่บนพื้นก็เลยเรียกชื่อเธออย่างร้อนรน เธอจำได้ว่าเป็นอย่างนั้น

"แล้วทำไมคุณอาคนนั้นต้องโกหกบอกว่าหนูบอกเขาด้วย" เสี่ยวหว่านชิงก็ยังโกรธอยู่

"อือ……" ไป๋มู่ชิงก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน "เขาอาจจะลืมก็ได้ เพราะว่าเมื่อกี้สถานการณ์ฉุกเฉิน"

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ เฉียวเฟิงที่ได้ยินเสียงรถก็เข็นรถเข็นออกมาจากในบ้าน

"คุณพ่อออกมาแล้ว เรารีบลงรถกันเถอะ" ไป๋มู่ชิงเปิดประตูลงไปจากนั้นก็อุ้มหว่านชิงที่นั่งอยู่บนคาร์ซีทลงมา

"คุณพ่อ……" เสี่ยวหว่านชิงวิ่งไปทางเฉียวเฟิงอย่างดีใจ

เฉียวเฟิงก็รับเธอเข้ามาในอ้อมกอดด้วยรอยยิ้ม "ซื้อถุงเท้าสีขาวได้หรือยัง?"

"ซื้อได้แล้วค่ะ หานานมากเลยค่อยซื้อได้"

"ใช่หรอ ก็ว่าทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้"

"พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ผู้ปกครองก็กำลังหาถุงเท้าสีขาวสำหรับเต้นรำ ก็เลยหายากหน่อย" ไป๋มู่ชิงนำของที่ซื้อมาออกจากหลังรถแล้วเดินไปทางพ่อลูก

เมื่อทั้งสามคนกำลังจะเข้าไปในบ้าน เฉียวเฟิงตาแหลมก็เลยเห็นว่าที่รถมีรอยสีดำ เขามองสำรวจไปที่รอยแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ "รถไปโดนอะไร?"

ไป๋มู่ชิงคิดว่าจะบอกพรุ่งนี้ เมื่อเขาเห็นแล้วก็เลยพูดไปว่า "ตอนที่กำลังถอยรถออก ไม่ระวังทำให้รถคนอื่นเป็นรอย"

เมื่อได้ยินเธอบอกว่าทำให้รถคนอื่นเป็นรอยเฉียวเฟิงก็ถามขึ้นอย่างรีบร้อน "แล้วคุณกับหว่านชิงไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?"

"ไม่ค่ะ แค่รอยขูดเล็กน้อย"

"ทำไมไม่ระวังขนาดนี้? คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว"

ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง "ช่องจอดรถแคบมาก แล้วเจอรปภที่ไม่ได้เรื่องด้วยเลยขูดรถคนอื่น"

"แล้วเขาหาเรื่องคุณหรือเปล่า?"

"ไม่ค่ะ เขาเป็นคนใจดี บอกว่าแจ้งประกันเองได้" ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังพูด เสี่ยวหว่านชิงก็ทำหน้าผีแล้วมองบน ใจร้ายต่างหาก!

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ก็เลยสะกิดเป็นคำเตือนเธอ จากนั้นเสี่ยวหว่านชิงก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดแล้วปิดปากเงียบ

"พรุ่งนี้เดี๋ยวผมส่งรถไปซ่อมที่ร้าน" ไป๋มู่ชิงเข็นรถเข็นของเฉียวเฟิงแล้วเข้าไปในบ้าน "ไปกันเถอะ เราไปอาบน้ำแล้วนอนกัน"

"หนูจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่" เสี่ยวหว่านชิงรีบเอ่ยขึ้น

"ไม่ได้ หนูโตแล้วหนูต้องนอนคนเดียว" ไป๋มู่ชิงพูด

"หนูไม่ชอบนอนคนเดียว" เสี่ยวหว่านชิงแกว่งแขนของเฉียวเฟิงแล้วเอ่ย "คุณพ่อรักหว่านชิงมากที่สุด ทำไมไม่อยากนอนกับหนู"

"เพราะว่าคุณแม่พูดถูก เสี่ยวหว่านชิงโตแล้วก็ควรจะมีเตียงเป็นของตัวเอง" เฉียวเฟิงชี้ไปที่เตียงของหว่านชิง "ดูสิ เตียงของเสี่ยวหว่านชิงสวยขนาดไหน เหมือนเตียงของเจ้าหญิงหรือเปล่า?"

เสี่ยวหว่านชิงเบะปากให้ ยังใช้วิธีนี้มาปลอบใจเธออีก

เมื่อหนานกงเฉินบอกกับผู้ช่วยเหยียนว่าให้เธอไปสืบเรื่องไป๋มู่ชิง จนผู้ช่วยเหยียนทำอะไรไม่ถูก

เจ้านายของเธอจะเริ่มต้นรักครั้งใหม่รอบที่สามงั้นหรอ? เขาลืมไปหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร? ลืมเธอด้วยหรอว่าเป็นใคร?

"เออ……คุณชายเฉิน" ผู้ช่วยเหยียนยิ้มแห้งๆแล้วพูด "ฉันไม่ห้ามคุณถ้าคุณจะมีคนอื่นข้างนอกเพื่อสีสันในชีวิต แต่ว่า……คุณก็ต้องหาคนที่เหมาะสมจริงๆ บนโลกนี้มีดาราที่หน้าตาสวยงามเยอะแยะ คุณเลือกมาก็ได้……"

"ผู้หญิงที่สามารถเลือกได้……" หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง "ผมไม่สนใจ"

"แต่ก็ไม่ควรหาผู้หญิงที่มีสามีแล้วนะคะคุณชายเฉิน……ลูกของเธอขึ้นอนุบาลแล้วนะคะ ถ้าเราทำแบบนี้มันจะไม่ดีหรือเปล่า?" ผู้ช่วยเหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดเตือน

หนานกงเฉินยิ้มให้ "ผู้ช่วยเหยียน ผมยังไม่ได้อยากจนถึงขั้นนั้น ผมแค่อยากจะรู้จักเธอ"

"ในเมื่อคุณไม่อยากได้เธอ ทำไมต้องรู้จักเธอด้วยคะ?"

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่แล้วส่ายหัว "ผมก็ไม่รู้ ก็แค่อยากรู้จัก อยากรู้จักมาก"

"คุณชายเฉินคะ ถ้าเป็นเพราะว่าทั้งสองแม่ลูกหน้าตาเหมือนคุณหนูจูตอนเด็กแล้วทำให้คุณสนใจ แต่ตอนนี้คุณหนูจูอยู่ในอ้อมกอดคุณแล้วทำไมคุณไม่มองเธอล่ะ? ใจคุณเป็นยังไงกัน?"

"ผมก็ไม่รู้ว่าในใจผมเป็นอะไร" หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น

ผู้ช่วยเหยียนพูดถูก จูจูอยู่ในอ้อมกอดเขาแล้วแต่เขาไม่แม้แต่จะมองเธอเลย แต่กลับรู้สึกสนใจผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนจูจูตอนเด็ก หรือว่าเป็นเพราะบนตัวเธอมีความคุ้นชินงั้นหรอ?

"ถ้าอย่างนั้น……" ผู้ช่วยเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว "คนนี้ไม่ต้องไปสืบแล้วค่ะ ฉันไปหาจิตแพทย์ให้คุณดีมั้ยคะ?"

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ

ผู้ช่วยเหยียนก็รีบรู้สึกผิดแล้วพูด "ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น"

"คุณชายคะ……" ผู้ช่วยเหยียนก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง "ฉันคิดว่าคนที่คุณคิดถึงมากที่สุดคงเป็นเด็กผู้หญิงที่ช่วยคุณตอนเด็กไว้ ความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกขอบคุณก็ได้ ก็เลยทำให้คุณไม่รักคุณหนูจู"

"ก็อาจจะใช่" หนานกงเฉินเงียบไปอีกสักพักแล้วพูด "เหยียนเยว่ ถ้าพูดแล้วเธอก็อาจจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตอีก

ที่ผมรู้จักรู้สึกสนใจเธอไม่เพียงเพราะว่าหน้าตาเธอเหมือนจูจูตอนเด็ก แต่เป็นเพราะว่า……ผมรู้สึกถึงกลิ่นอายไป๋มู่ชิงบนตัวเธอ"

"จริงหรอคะ?"

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วยิ้ม "อาจจะเป็นเพราะว่าผมคิดถึงไป๋มู่ชิงเกินไปก็เลยเกิดภาพหลอน ผมก็เลยอยากรู้จักเธอ อยากเข้าใจเธอ แต่คุณไว้ใจเถอะ ผมไม่ไปทำร้ายเธอหรอก"

เมื่อได้ยินหนานกงเฉินพูดขนาดแบบนี้ผู้ช่วยก็เลยพยักหน้า "ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปสืบเดี๋ยวนี้ แต่ว่าคุณชายเฉินคะ……" เธอลังเลไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยย้ำเตือนขึ้น "ฉันต้องเตือนคุณก่อนนะคะ ผู้หญิงคนนั้นมีครอบครัวมีลูกแล้ว คุณอย่ารู้สึกกับเธอเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้ง"

หนานกงเฉินพยักหน้า "ไว้ใจเถอะ ผมจะระวัง"

ถึงแม้ปากจะรับปากไปอย่างงั้น แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวั่นไหวอยู่

เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กที่เล่นไฟ ทั้งๆที่รู้ว่าไฟอันตราย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปลองเล่น

เขายื่นกระดาษเอสี่บนโต๊ะไปที่หน้าของผู้ช่วยเหยียน "นี่เป็นชื่อของเธอแล้วก็เลขบัตรประชาชนด้วย"

ผู้ช่วยเหยียนหยิบกระดาษเอสี่มาแล้วอ่านเสียงเบา "อีหลิน"

"ใช่" หนานกงเฉินพยักหน้า

เมื่อคืนเขาตั้งใจให้เธอเอาบัตรประชาชนออกมาก็เพื่อที่จะรู้ชื่อของเธอ แล้วบวกกับความจำดีของเขาก็เลยจำเลขบัตรประชาชนของเธอด้วย

"ได้ค่ะ ฉันจะไปจัดการเดี๋ยวนี้" ผู้ช่วยเหยียนพูดจบก็หันหลังเดินออกไป

เฉียวเฟิงมีร้านอาหารยุโรปของตัวเองที่ต้องดูแล หว่านชิงก็ไปโรงเรียน ไป๋มู่ชิงอยู่บ้านไม่ไหวก็ไปหางานเกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้า

เธอชอบออกไปทำงาน เฉียวเฟิงก็สนับสนุนเธอมากด้วย เพราะว่าถ้าผู้หญิงอยู่บ้านนานเกินไปก็อาจจะทำให้ชีวิตหมดสนุกแล้วแยกออกจากสังคมได้ง่าย หรือว่าอาจจะพูดได้ว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่ไป๋มู่ชิงชอบทำ เขาก็จะไม่ห้ามเธอเลย

บริษัทที่เธออยู่ไม่ได้เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก แต่ก็ใกล้กับ โรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่าแล้วเลิกงานก็เร็วด้วย ก็เลยสะดวกที่จะไปรับเสี่ยวหว่านชิงที่โรงเรียน

เจ้านายนามสกุลจาง เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่อารมณ์ร้อนถ้าด่าคนขึ้นมาก็ไม่เกรงใจใครเลย แต่ถ้าตอนที่อารมณ์ดีก็ดีกับทุกคนมาก ก็ถือว่าเป็นเจ้านายที่ดีเหมือนกัน

ในห้องทำงานของประธานจางก็ปะทุร้อนอีกครั้งแล้วเสียงดังจนน่าตกใจ

เมื่อเพื่อนร่วมงานที่ทำงานได้ยินว่าเขาโมโหอีก ทุกคนก็เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยพูดอะไรออกมา

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นถือแก้วจะไปตักน้ำที่ห้องน้ำชา ก็ได้ยินพนักขายผู้หญิงสองคนกำลังบ่นอยู่ในห้องน้ำชา "ฉันคิดว่าประธานจางครั้งนี้ทำเกินไป เธอคิดว่าบริษัทหนานกงจะให้ออเดอร์ของเราหรอ? มีแบรนด์เสื้อผ้าต่างๆแย่งกันที่จะร่วมงานกับพวกเขา เราจะเอาอะไรไปสู้คนอื่นได้?"

"ใช่สิ อย่าว่าแต่พี่ฟางเลย ถึงแม้ประธานจางจะไปด้วยตัวเองก็คงจะถูกปฏิเสธกลับมายังไม่ไว้หน้า"

"ฉันได้ยินมาว่าพนักงานที่บริษัทหนานกงเข้มงวดมากแล้ว ตลอดเวลามาก็ร่วมงานกับบริษัทยีซิงเท่านั้น ถึงแม้จะหมดสัญญาแล้วเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนบริษัทใหม่ใช่ไหม?"

ไป๋มู่ชิงตักน้ำเปล่ามาแก้วนึงจากนั้นก็หันไปทางทั้งสอง "ออเดอร์ของบริษัทหนานกงใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอ?"

เธอรู้แค่ว่าบริษัทหนานกงเป็นบริษัทที่ใหญ่มาก สามารถเห็นได้ตามนิตยสารการเงินบ้างทางธุรกิจบ้าง แต่เธอไม่เคยไปสืบค้นรู้จักเลย

"ก็ต้องใหญ่สิ แค่โรงงานทั่วโลกก็มีห้าสิบกว่าโรงงาน แล้วยังมีบริษัทใหญ่บริษัทเล็กตามที่ต่างๆ สำนักงานแล้วพนักงานเยอะขนาดนั้น เธอคิดดูสิว่าต้องใช้ยูนิฟอร์มเยอะแค่ไหน"

"ถ้าออเดอร์ใหญ่ขนาดนี้……บริษัทเราจะรับไหวหรอ?"

"ฉันก็เลยบอกนี่ไงว่าประธานจางไม่ดูความสามารถของตัวเองเลย" ผู้หญิงอีกคนพูดเสียงเบา "เอาแต่ให้พี่ฟางไปแย่งออเดอร์จากบริษัทยีซิง พอแย่งกลับมาไม่ได้ก็เอาแต่ต่อว่าพี่ฟาง ทำเกินไปจริงๆ"

"ทำเกินไปจริงๆด้วย" ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วกวาดมองพวกเธอแล้วยิ้ม "ประธานจางโมโหหัวร้อนขนาดนี้แล้วพวกเธอยังไม่รีบกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเอง เดี๋ยวทัวร์ได้ลงอีก"

"ใช่ใช่ใช่……รีบกลับไปทำงานเถอะ" หญิงสาวยกน้ำขึ้นแล้วรีบออกไป

หลังจากที่เลิกงาน ไป๋มู่ชิงก็เดินออกจากตึกไปพร้อมทุกคน

รถของเฉียวเฟิงก็จอดอยู่หน้าตึกแล้ว เธอก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ ใกล้เวลาเลิกเรียนเสี่ยวหว่านชิงแล้ว ฝีเท้าก็เร่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

เธอเปิดประตูแล้วนั่งเข้าไปจากนั้นก็เอนตัวไปจุมพิตริมฝีปากของเฉียวเฟิงแล้วพูดยิ้ม "ขอโทษนะ ให้คุณรอนานเลย"

"ไม่เลย ผมก็เพิ่งถึง" เฉียวเฟิงจับผมเธอจากนั้นก็พูดกับลุงหลิ่ว "ออกรถได้เลยครับลุงหลิ่ว"

ลุงหลิ่วพยักหน้า จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วแล่นรถไปทางโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า

ทางฝั่งตรงข้ามของถนน หนานกงเฉินที่อยู่ในรถคันสีดำก็กัดปากแน่น แต่สีหน้าก็ยังเรียบนิ่งอยู่

ตั้งแต่ที่ออกมาจากตึกจนกระทั่งขึ้นรถคันสีขาวด้วยความดีใจจากนั้นก็จูบผู้ชายในรถ การกระทำทุกอย่างของไป๋มู่ชิงตกอยู่ในสายตาเขา เขามองใบหน้าของผู้ชายในรถไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ว่าเขารักเธอมาก เหมือนกับที่เธอรักเขา

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่อบอุ่นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าทำไมในใจเขาก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา

"คุณชายเฉินคะ……" ผู้ช่วยเหยียนที่นั่งอยู่ข้างหน้าพูด "คุณหนูอีทำงานที่บริษัทที่ชื่อหย่งเสียง ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้จัดการของบริษัทนี้ได้ยินมาจากไหนว่าเรากำลังจะหมดสัญญากับยีซิง วันนี้ก็มาดักรถดิฉันด้วย"

"เธอทำอะไรอยู่ในนั้น?" หนานกงเฉินถามขึ้น

"เป็นดีไซเนอร์ออกแบบเสื้อผ้าค่ะ"

"แล้วเธอตอบกลับผู้จัดการของพวกเธอว่ายังไง?"

"ฉันเกือบจะชนเธอ แล้วสะดุ้งตกใจไป ยามก็เลยลากตัวเธอออกไปจากลานจอดรถของบริษัทค่ะ"

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก

ผู้ช่วยมองผ่านกระจกหลังรถไปที่เขาแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง "ผู้ชายบนรถน่าจะเป็นสามีของเธอ ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก"

"สามีเธอทำอะไร?"

"เบื้องต้นยังไม่ทราบค่ะ" เธอนำไปชื่อ'อีหลิน'กับแล้วเลขบัตรประชาชนไปตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของเธอ อย่างอื่นเธอยังไม่ทันได้ตรวจสอบเธอเอ่ยขึ้นอีก "ดูเหมือนจะเป็นคนมีฐานะเหมือนกัน รถคันเมื่อกี้หลายล้านเลยค่ะ"

รอไปสักพักก็ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากหนานกงเฉิน ผู้ช่วยก็เลยถามขึ้นว่า "ต้องการให้สืบข้อมูลเกี่ยวกับสามีเธอหรือเปล่าคะ?"

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่ก่อนส่ายหัว "ไม่ต้อง นี่ไม่สำคัญ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด