เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 191

ไป๋มู่ชิงชะงักไป พร้อมทั้งหันหน้ามองเขาแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า : “คุณผู้ชายมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?”

หนานกงเฉินตกตะลึงและรู้สึกสับสนงงงวยจนเกินไป สายตาของเขากวาดมองใบหน้าของไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงสลับกันไปมาไม่หยุด เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้านี้มีความคุ้นหน้าคร่าตาเหลือเกินเช่นนี้ ? แถมยังเป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำตนด้วย สองแม่ลูกที่อยู่เบื้องหน้านี้เพียงแค่มองดูแวบแรกก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นแม่ลูกกันจริง ๆ เพราะหน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างยิ่ง

เมื่อมองเห็นหน้าเธอ อยู่ ๆ เขาก็กำจัดความสงสัยทุกประการของตนเองออกทั้งหมด เด็กผู้หญิงที่ชื่อเฉียวหว่านชิงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจูจู แม่ของเธออยู่เบื้องหน้าเขาในเวลานี้แล้ว ! เขาไม่จำเป็นต้องไปสืบเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในต่างประเทศของจูจูแล้ว

“คุณผู้ชายคะ เป็นอะไรไปคะ ?” ไป๋มู่ชิงพบว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป โดยสักพักก็เจ็บปวดสักพักก็อึดอัดใจ จึงรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หรือว่าอุบัติเหตุเมื่อสักครู่นี้เสียวหว่านไม่เป็นอะไร ครั้นเขาบาดเจ็บงั้นหรือ ?

หนานกงเฉินสงบสติอารมณ์พร้อมพูดขึ้นว่า : “คุณผู้หญิงครับ ผมขอถามชื่อของคุณหน่อยได้ไหมครับ เพราะว่าคุณหน้าเหมือนเพื่อนผมคนหนึ่ง”

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่แท้ก็คิดว่าเธอคุ้นหน้าคร่าตาจึงเรียกให้เธอหยุดเดินนี่เอง

เธอมองหน้าหนานกงเฉินที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็นึกย้อนความทรงจำว่าตนนั้นเคยรู้จักผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้านี้หรือไม่ เพียงแค่นึกอยู่นานสองนานก็นึกไม่ออก กลับกลายเป็นว่าปวดศีรษะขึ้นมาเนื่องจากการนึกย้อนความทรงจำ เธอจึงตัดสินใจว่าไม่ต้องไปนึกจะเป็นการดีที่สุด คิดได้ดังนั้นเธอจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า : “ฉันแซ่อี ขอถามหน่อยค่ะเพื่อนคนนั้นของคุณชื่อว่าอะไรคะ ?”

“เธอชื่อว่า……” หนานกงเฉินอ้าปากขึ้นอย่างลำบากใจ ครั้นผ่านมานานก็พูดไม่ออก……

เขาควรจะตอบเช่นไรดี ? มองดูแล้วเธอนั้นมีหน้าตาที่คล้ายกับท่านผู้หญิงจิ้ง และมีหน้าตาที่คล้ายกับจูจูตอนเด็ก สรุปแล้วเธอคือคนนั้นที่ปรากฏอยู่ภายในหัวของเขา

ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเอือมละอา : “คุณผู้ชายคะ การคุยตีสนิทแบบนี้ไม่นิยมในปัจจุบันแล้วนะคะ”

เมื่อพูดจบเธอก็จูงมือเสียวหว่านชิงกลับหลังหันแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงหนานกงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความตกตะลึงและอึดอัดใจ

ทันใดนั้นเองเสียวหว่านชิงที่ถูกไป๋มู่ชิงจูงมือก็หันหน้ากลับมา จากนั้นก็โบกมือน้อย ๆ ให้หนานกงเฉิน : “ลาก่อนค่ะคุณลุง !”

ในที่สุดบนใบหน้าของหนานกงเฉินก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา และโบกมือกลับให้เธอ

ที่เลขาเหยียนพูดนั้นถูกต้อง เด็กน้อยที่ชื่อเฉียวหว่านชิงนี่น่ารักจริง ๆ ร่าเริงมาก เพียงพบกันครั้งแรกเขาก็ชอบเธอเข้าเสียแล้ว

ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงกลับบ้านจากนั้นก็อบรบยกใหญ่ เสียวหว่านชิงทราบว่าตนนั้นผิดไปแล้วจึงก้มหน้าก้มตาแล้วพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดว่า : “คุณแม่คะ อยากโกรธเลยนะคะ ครั้งหน้าหว่านชิงจะไม่วิ่งไปทั่วอีกแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ”

“ถ้าเกิดรถคันนั้นขับเร็วล่ะจะทำยังไง ? คงถูกชนแล้วบินเตลิดไปแล้วใช่ไหม ?” ไป๋มู่ชิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ : “โชคดีนะที่ช่วงเวลาเลิกเรียนรถที่ผ่านไปผ่านมาขับช้า ไม่อย่างนั้น……”

เธอไม่ได้พูดต่อไป และไม่กล้าไปคิดผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วย

เฉียวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ ลูบหัวของเสียวหว่านชิงไปพร้อมพูดข้างใบหูของเธอว่า : “คุณแม่ก็แค่เป็นห่วงหนูน่ะ ให้อภัยแม่นะ”

“หนูรู้ค่ะ” เสียวหว่านชิงโน้มมากระซิบข้างใบหูเขากลับ : “แต่ว่าดูแล้วคุณแม่ดุมากเลยนะคะ”

“จริงจังหน่อยสิ ห้ามคุยกระซิบกระซาบกัน !” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน

เสียวหว่านชิงสะดุ้งเฮือก จากนั้นก็ยืนตรงรับการลงโทษต่อไป

เฉียวเฟิงจึงพูดปลอบประโยนขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “หลิน เสียวหว่านชิงพูดขอโทษแล้วไง รับผิดแล้วด้วย คุณยกโทษให้ลูกเถอะนะ”

ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเฮือก เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะดุเช่นนี้ เพียงแค่ถ้าตอนนี้ไม่ดุลูกบ้าง และหากครั้งหน้าลูกวิ่งซี้ซั้วไม่ดูทางอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างวันนี้ก็เป็นได้

“ใครที่มันขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือชนเสียวหว่านชิงลูกเราเนี่ย ?” เฉียวเฟิงถาม

“ไม่รู้จักค่ะ” ไป๋มู่ชิงนำไม้ไผ่วางบนโต๊ะจากนั้นก็พูดขึ้น

“คุณลุงหน้าหล่อค่ะ” เสียวหว่านชิงพูดแทรกขึ้น

“หืม ? หล่อแค่ไหน ?”

“หล่อเท่าคุณพ่อเลยค่ะ เขาจีบคุณแม่ด้วยนะคะ”

ไป๋มู่ชิงมองเธอด้วยหางตาทันควัน จากนั้นเสียวหว่านชิงก็กลับไปยังมุมห้องยืนแนบชิดกำแพงอีกครั้ง

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?” เฉียวเฟิงยื่นมือมาจับคางไป๋มู่ชิง : “ใครมันไม่กลัวตายกล้ามาคุยจีบภรรยาของผมกัน ? แล้วคุณทิ้งเบอร์โทรไว้ให้มันหรือเปล่า ?”

“ไม่อยู่แล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “เขาแค่บอกว่าฉันหน้าคล้ายเพื่อคนหนึ่งของเขา เลยถามชื่อฉันเท่านั้นแหละค่ะ หลังจากที่ฉันบอกเขาไปว่าฉันแซ่อี เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้ว”

“เขาบอกไหมว่าเพื่อนของเขาชื่อว่าอะไร ?”

“เปล่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบ อยู่ ๆ ก็ถามเขาด้วยสีหน้าสงสัย : “เฟิงคะ คุณคิดว่าเขาจะเป็นคนที่ฉันรู้จักเมื่อก่อนหรือเปล่าคะ ? เพราะว่าตอนที่ฉันเจอหน้าเขาครั้งแรกก็มีความรู้สึกคุ้นหน้าคร่าตาเหมือนรู้จักกันมาก่อน แต่ว่าฉันนึกไม่ออกเลยว่าเขาเป็นใคร”

เมื่อเฉียวเฟิงได้ยินที่เธอพูดจึงครุ่นคิดสักครู่แล้วส่ายหน้า : “น่าจะไม่นะ เพื่อนที่คุณรู้จักกันในเมืองซีไม่เยอะเท่าไหร่”

ขณะที่พูดประโยคนี้จบ เขาก็เข้าสู่ภวังค์แห่งความคิดทันที

หน้าตาของไป๋มู่ชิงในปัจจุบันนี้นั้นไม่เหมือนกับเมื่อสองปีก่อนโดยสิ้นเชิง ควรไม่มีใครที่รู้จักเธอถึงจะถูกต้อง เหตุใดจึงมีคนมาคุยเล่นกับเธอแล้วบอกว่าเหมือนเพื่อนของเขากัน ? หรือว่าจะเป็นข้ออ้างในการมาคุยตีสนิทเฉย ๆ ?

ตอนเช้า หลังจากที่เลขาเหยียนกล่าวรายงานเสร็จแล้วก็ได้มองหน้าแล้วพูดกับหนานกงเฉินว่า : “คุณชายเฉินคะ ฉันทราบชีวิตความเป็นอยู่ในต่างประเทศของนายหญิงน้อยในตอนนั้นมาคร่าว ๆ แล้วค่ะ ฉันถามเพื่อนและเพื่อนบ้านที่อยู่ต่างประเทศของเธอมา ทุกคนต่างก็บอกว่าเธอไม่เคยมีแฟนเลย และไม่เคยตั้งท้องด้วยค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า เลขาเหยียนพูดต่อไปว่า : “หรือว่าให้ฉันไปสืบดูอีก……”

“ไม่ต้องแล้ว” หนานกงเฉินพูดตัดบทเธอ

“ไม่ต้องเหรอคะ ? ทำไมคะ ?” เลขาเหยียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของเธอหรอก”

“คุณชายเฉินคะ ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงได้มั่นใจขนาดนี้คะ ?”

“เพราะว่าฉันเจอหน้าแม่ของเด็กแล้ว”

“ถ้างั้น……ทำไมอยู่ ๆ คุณถึงมั่นใจว่าเธอคนนั้นเป็นแม่แท้ ๆ ของเฉียวหว่านชิงล่ะคะ ?”

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้น : “เพราะว่าเฉียวหว่านชิงหน้าเหมือนแม่ของเธอมาก ๆ จะต้องเป็นแม่ลูกกันแท้ ๆ แน่นอน” เมื่อนึกถึงผู้หญิงใบหน้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้นั้นแล้ว ในใจของหนานกงเฉินก็มีความรู้สึกที่แปลกประหลาดผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงเสียชีวิตแล้ว หัวใจของเขาก็ตายตามไปด้วย สองปีที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้ใดเลยที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แม้แต่มองหน้าก็ไม่อยากมอง ยกเว้นเสียแต่ครานี้ ที่อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงที่มาจากต่างประเทศปรากฏออกมา !

เลขาเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมยิ้มขึ้น : “เห็นทีว่าคงเป็นแค่คนหน้าเหมือนเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับนายหญิงน้อยเลย คุณชายเฉินคุณสบายใจได้แล้วนะคะ”

“อืม” หนานกงเฉินพยักหน้า

เมื่อจูจูตื่นขึ้นมา จึงเดินมาตรงระเบียงก็มองเห็นคุณผู้หญิงที่กำลังดื่มน้ำชายามบ่ายอยู่ภายในสวนดอกไม้

เธอกัดริมฝีปากและหันหลังกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็หยิบแหวนออกมาจากลิ้นชักแล้วสวมใส่นิ้วนาง จากนั้นก็สาวเท้าเดินลงไปชั้นล่าง

อาจเป็นเพราะปีนั้นเธอได้จากหนานกงเฉินไปด้วยเหตุผลส่วนตัว จึงทำให้คุณผู้หญิงไม่ชอบหน้าเธอเท่าไรนัก สองปีมานี้เธอคิดหาวิธีในการเอาใจท่านทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้รับความรักความเอ็นดูจากคุณผู้หญิง โชคดีที่ผลลัพธ์นั้นถือว่าไม่เลว คุณผู้หญิงปฏิบัติกับเธอดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“คุณย่าคะ ตื่นนอนจากการพักผ่อนกลางวันแล้วเหรอคะ ?” เธอยิ้มร่าเริงเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างลำตัวของคุณผู้หญิง จากนั้นก็รินน้ำชาให้คุณผู้หญิงเต็มแก้วพร้อมทั้งรินชาหอมเพื่อสุขภาพให้ตัวเองด้วยหนึ่งแก้ว

คุณผู้หญิงพูด ‘อืม’ หนึ่งคำ พร้อมมองหน้าเธอ : “ทำไมถึงทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนี้ล่ะ ? นอนไม่พอหรือไง ?”

จูจูยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแล้วส่ายหน้า : “เปล่านะคะ หนูเพิ่งตื่นค่ะ”

“ทะเลาะกับเฉินเหรอ ?” คุณผู้หญิงถามขึ้นอีก

จูจูส่ายหน้าเช่นเคย : “เปล่าค่ะ เฉินเขาไม่ทะเลาะกับหนูหรอกค่ะ”

ระหว่างเธอกับหนานกงเฉินนั้นสงบเงียบ แม้แต่โอกาสในการทะเลาะกันก็ไม่เคยมีมาก่อน แค่คิดถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่ถูก

คุณผู้หญิงถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็หยิบขนมหวานขึ้นมาจากจานแล้วกัดเข้าหนึ่งคำ พร้อมพูดขึ้นต่อว่า : “นิสัยแบบนั้นของเฉิน……ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาต้องชอบนังขี้โกหกไป๋มู่ชิงขนาดนั้นด้วย และมองไม่ออกว่าไป๋มู่ชิงมันมีส่วนที่น่าดึงดูดตรงไหน”

“เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะความรักทำให้โลกเป็นสีชมพูละมั้งคะ” จูจูยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา

“ความรู้สึกต้องค่อย ๆ บ่มเพาะมันขึ้นมานะ ตอนแรกเขาก็ไม่ชอบไป๋มู่ชิงเหมือนกัน เมื่อเวลาผ่านมาก็เริ่มชอบเข้าแล้ว” คุณผู้หญิงกล่าว : “เธอต้องมีความอดทนรอเขาไปช้า ๆ ก็เหมือนกับตอนแรกที่ไป๋มู่ชิงรอให้เขาลืมเธอให้ได้นั่นแหละ”

“คุณย่าคะ หนูทราบค่ะหนูจะรอคอยอย่างช้า ๆ นะคะ ไม่ว่าจะกี่ปี” จูจูยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างช้า ๆ ดื่มไปหลายอึก ภายในใจก็ครุ่นคิดว่าควรจะปริปากพูดหัวข้อสนทนาต่อไปกับคุณผู้หญิงเช่นไรดี หลังจากผ่านมาเนิ่นนานเธอจึงวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าคุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง : “คุณย่าคะ คุณย่าอยากอุ้มหลานไหมคะ ?”

คุณผู้หญิงที่กำลังดื่มน้ำชาอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมามองเธอทันที จูจูจึงรีบพูดขึ้นทันควัน : “หนูคิดว่าถือโอกาสตอนที่หนูกับเฉินยังมีอายุไม่เยอะ จากนี้ไปถ้าอายุเยอะแล้วก็คงจะมีลูกยากขึ้นน่ะค่ะ”

เธอรู้สึกแปลกใจมากว่า เหตุใดทั้งที่เธอแต่งงานมาสองปีกว่าแล้วคุณผู้หญิงจึงไม่เคยพูดเรื่องตั้งครรภ์กับเธอเลย และไม่เคยสนใจด้วยว่าเธอจะตั้งครรภ์หรือยังด้วย เหล่าบรรดาคุณผู้หญิงเศรษฐีทั้งหลายไม่ใช่ว่าเฝ้ารอคอยทั้งวันทั้งคืนอยากให้ตนนั้นมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองหรอกหรือ ?

คุณผู้หญิงวางแก้วน้ำชาลงอย่างช้า ๆ หลังจากที่ลังเลไปชั่วครู่จึงพูดขึ้นว่า : “เธอน่าจะรู้ดีนะว่ามู่ชิงเคยมีลูกหนึ่งคนซึ่งเป็นลูกที่ไม่สมประกอบ ตอนที่ลูกเสียชีวิตลงทำให้ทุกคนสะเทือนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเฉิน เพราะฉะนั้น……” เธอส่ายหน้า ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ : “ช่างเถอะ รอให้ร่างกายของเขาแข็งแรงโดยสมบูรณ์แล้วค่อยว่ากัน”

จูจูพูดขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ : “เรื่องเมื่อก่อนอาจเป็นเพราะความบังเอิญพอดี ไม่เกี่ยวกับโรคของเฉินก็ได้นะคะ”

“ไม่ คุณหมอบอกแล้วว่ามันเกี่ยวข้องกับโรคของเขาโดยตรง ตอนนั้นที่มู่ชิงตั้งครรภ์เฉินไม่ยอมให้เธอคลอดออกมา แต่ว่าเธอเป็นตายร้ายดีก็จะคลอดออกมาให้ได้ ผลสุดท้ายก็คลอดทารกไม่สมประกอบมีโรคออกมา”

“ถ้างั้น……ต้องรอถึงกี่ปีคะ ?” จูจูฉีกยิ้มขึ้นด้วยความเอาอกเอาใจ : “คุณย่าคะ หนูชอบเด็กน่ะค่ะ เพราะงั้น……”

“รอให้โรคของเฉินหายดีโดยสมบูรณ์แล้ว หรือตอนที่ไม่มีอาการป่วยกำเริบอีกก็พอแล้วละ” คุณผู้หญิงกล่าว : “เธอก็เห็นว่าเฉินอาการกำเริบน้อยครั้งมาก อดทนรอไปก่อนนะ รอจนกว่าเขาจะหายดี ถึงเวลานั้นเธอไม่ต้องพูดเองเลย ฉันจะบังคับให้เขารีบมีหลานให้ฉันเร็ว ๆ เอง”

คุณผู้หญิงพูดจบก็ยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มน้ำชาต่อด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคุณผู้หญิงพูดมาเช่นนั้นจูจูจึงจนปัญญา ทำได้เพียงล้มเลิกความตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากเธอในการช่วยตนสนองความต้องการ

ถ้าหากคุณผู้หญิงหวงแหนหลานชายแล้วนั้น คงเร่งรัดหนานกงเฉินให้เขารีบมีลูกเร็ว ๆ เช่นนั้นหากหนานกงเฉินไม่อยากแตะต้องตัวเธอก็คงไม่ได้แล้ว

หลังจากที่อยู่เป็นเพื่อนคุณผู้หญิงในสวนดอกไม้มานาน จูจูจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าห้องไป

เมื่อเห็นแผ่นหลังของเธอเดินจากไปแล้ว คุณผู้หญิงจึงหัวเราะขึ้นเยือกเย็น : “นังหนู จะมาใช้อุบายหลอกล่อฉันงั้นเหรอ อ่อนหัดไปหน่อยนะ”

พี่เหอโน้มตัวรินน้ำชาให้เธอเต็มแก้วด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า :“คุณผู้หญิงคะ ฉันเห็นว่าอาการป่วยของคุณชายใหญ่ก็ดีขึ้นมาแล้ว ต้องยกความดีความชอบให้นายหญิงน้อยคนใหม่จริง ๆ บางทีเมื่อผ่านไปครบสามปีอาการป่วยของคุณชายใหญ่คงหายดีโดยสมบูรณ์แล้วแน่ ๆ เพราะงั้นก็ไม่ต้องสนใจเรื่องของท่านผู้หญิงจิ้งแล้วละค่ะ”

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน” คุณผู้หญิงถอนหายใจ

พี่เหอพูดขึ้นอีกว่า : “เพราะงั้นทำไมคุณถึงไม่ให้โอกาสเธอมีลูกล่ะคะ ? ที่เธอพูดก็ถูกนะคะ อายุของเธอกับคุณชายเฉินก็ไม่น้อยแล้วถ้าไม่มีลูกตอนนี้ ในอนาคตคงมีลูกยาก”

“แล้วถ้าเกิดว่าเรื่องท่านผู้หญิงจิ้งจัดการไม่ลงตัวล่ะ ?” คุณผู้หญิงถามย้อนกลับ

“อืม……เรื่องนี้มัน……” พี่เหอส่ายหน้า : “เรื่องนี้มันพูดยากจริง ๆ ค่ะ”

“เพราะงั้นผ่านมาสองปีแล้ว รออีกปีมันจะเป็นไรไป รอให้เรื่องของท่านผู้หญิงจิ้งผ่านไปโดยสิ้นเชิงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะให้โอกาสเธอมีลูกหรือเปล่าก็ย่อมได้”

“ค่ะ ที่คุณผู้หญิงพูดมีเหตุผล ถึงยังไงเวลาหนึ่งปีก็ไม่ถือว่านาน”

คุณผู้หญิงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา : “ดูจากครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูแบบนั้นของเธอ ฉันมองว่าแม้แต่ไป๋มู่ชิงก็ไม่เทียบเท่า ฉันไม่อยากให้เธอมีหลานให้ฉันหรอก”

“ใครใช้ให้เธอเป็นคนที่โชคชะตากำหนดของคุณชายใหญ่ล่ะคะ?” พี่เหอยิ้มพร้อมพูดปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงทำใจให้กว้าง ๆ แล้วลืมองค์ประกอบที่ไม่ดีเหล่านั้นของเธอเถอะค่ะ”

บนระเบียงชั้นสอง จูจูกำลังยืนกัดริมฝีปากแดงก่ำของตนเองแน่น พร้อมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่

เธอไม่ทราบว่าท่านผู้หญิงจิ้งคือใคร ทว่าประโยคสุดท้ายของคุณผู้หญิงทำให้เธอไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่บอกว่าเธอไม่เทียบเท่าไป๋มู่ชิงงั้นหรือ ? ประเด็นนี้เธอไม่ยอมรับเด็ดขาด สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ……แม้จะไม่ยอมรับแล้วจะทำอะไรได้ ? เธอจะทำอะไรคุณผู้หญิงได้ ?

เธอหันหลังเดินกลับเข้าห้องนอนตนเองด้วยความโมโห จากนั้นก็ต้องตกใจเข้ากับผู่เหลียนเหยาที่ไม่ทราบว่ามายืนอยู่ด้านหลังตนเมื่อไร

เธอชะงักไปชั่วครู่จากนั้นก็ตบหน้าอกแล้วพูดขึ้นว่า : “เหลียนเหยา ทำฉันตกใจหมดเลย”

“ขวัญอ่อนจังเลยนะ” ผู่เหลียนเหยายิ้มพลางเคลื่อนวีลแชร์ไปเบื้องหน้าเธอ จากนั้นก็มองลงไปยังสวนดอกไม้ด้านนอก และพูดปลอบใจเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า : “คำพูดของคุณย่าพี่อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย คุณย่าก็เป็นแบบนั้นแหละไม่ยอมรับใครง่าย ๆ”

ที่แท้เธอก็ได้ยินเช่นกัน จูจูจึงถอนหายใจอย่างเอือมละอา พร้อมพูดขึ้นว่า : “ฉันรู้ ก็แค่ผ่านมาสองปีแล้วคุณย่ายังไม่ชอบฉันเหมือนเดิม แถมยังคิดว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะมีลูกให้ตระกูลหนานกงอีกด้วย เรื่องนี้ทำลายศักดิ์ศรีของฉันจริง ๆ”

“อดทนไปก่อนเถอะค่ะ ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงอยู่บ้านหลังนี้เธอก็อยู่ยากเหมือนกัน แถมคุณย่ายังไม่ชอบขี้หน้ามากกว่าพี่ตอนนี้อีก”

“ไม่ หล่อนไม่เหมือนกับฉัน หล่อนได้รับความรักความเอาใจจากคุณชายใหญ่”

“ก็จริงนะ……” ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมา : “มีคุณชายใหญ่รักและเอาใจอยู่ ต่อให้คุณย่าจะตีจะด่าเธอทุกวัน ฉันเห็นเธอก็มีชีวิตที่มีความสุขดี เพราะงั้นการเอาใจคุณย่าคือข้อรองลงมา เพราะงั้นพี่จะต้องเอาชนะใจของคุณชายใหญ่ให้ได้ก่อน”

จูจูพยักหน้า เรื่องเหล่านี้เธอทราบดี เพียงแค่หัวใจของหนานกงเฉินราวกับถูกซ่อนไว้ในเตาเผาน้ำแข็งพันปีอย่างไรอย่างนั้น เธอไม่สามารถที่จะทำให้เขาอบอุ่นหรือเปลี่ยนแปลงเขาได้เลยแม้แต่น้อย !

เธอยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น สายตาที่มองเธอนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏความอิจฉาขึ้นมา : “เหลียนเหยา ฉันอิจฉาเธอมากจริง ๆ เลยนะ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ไม่ว่าเธอจะกลายเป็นสภาพไหน เซิ่งเคอก็ยังรักเธอเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บางทีฉันก็คิดนะว่าถ้าเธอจากไปหกปีเซิ่งเคอจะเปลี่ยนใจไปรักผู้หญิงคนอื่นเหมือนคุณชายใหญ่หรือเปล่า ?”

“เรื่องนี้……มันก็พูดยาก” ผู่เหลียนเหยายิ้มขึ้นมา : “ถึงยังไงจนถึงตอนนี้เซิ่งเคอก็ไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ก็แค่ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไงเท่านั้น”

“เขาจะต้องไม่ทำอย่างนั้นหรอก ผู้ชายทุกคนคงไม่ใจร้ายเหมือนกับคุณชายใหญ่หรอก” จูจูเดินเข้ามาประคองวีลแชร์ของเธอ : “ไปกันเถอะ ได้เวลาลงไปทานข้าวแล้ว”

“ดูเหมือนว่าพี่จะรู้สึกไม่ดีกับคุณชายใหญ่มากจริง ๆ”

จูจูยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา รู้สึกไม่ดีแล้วจะทำอะไรได้ หนานกงเฉินไม่เคยสนใจความรู้สึกของเธอเลยด้วยซ้ำ !

ทั้งสองคนลงมาชั้นหนึ่งพร้อมกัน และประจวบกับเจอหนานกงเฉินที่กลับมาจากด้านนอกพอดิบพอดี

จูจูจึงกล่าวทักทายเขาอย่างร่าเริง : “เฉินคะ ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วขนาดนี้คะ ?”

หนานกงเฉินมองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของเธอ แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้ามากระทบใบหน้าของเธอ ทำให้ใบหน้าของเธอสว่างขึ้นมา ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงภาพวาดรูปนั้น เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าเฉียวหว่านชิง

มีช่วงหนึ่งที่เขาคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกที่เธอคลอดตอนอยู่ต่างประเทศและปิดบังเขาไว้ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดจริง ๆ จูจูที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่คล้ายผู้หญิงที่เคยคลอดลูกมาก่อนแม้แต่น้อย !

น่าจะเนื่องจากมีความรู้สึกละอายใจ ทำให้บนใบหน้าของเขานั้นมีความห่างเหินลดน้อยลงจากที่เคยผ่านมา เขาพยักหน้าให้เธอแล้วพูดขึ้นว่า : “วันนี้ธุระที่บริษัทมีไม่มากน่ะ”

“พี่คะ ดูเหมือนว่าพี่ทั้งสองคนจะมีโทรจิตเลยนะคะเนี่ย” ผู่เหลียนเหยาหัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้นว่า : “เมื่อกี้พี่สะใภ้เพิ่งร้องทุกข์กับฉันอยู่เลยว่าพี่ไม่สนใจเธอเท่าไหร่ แถมยังถามฉันว่าถ้าฉันหายไปหกปี เซิ่งเคอจะไปรักผู้หญิงคนอื่นเหมือนพี่หรือเปล่า ฉันว่านะ……คำถามนี้ต้องถามเซิ่งเคอถึงจะถูก”

“เหลียนเหยา……” จูจูเรียกชื่อเสียงต่ำพร้อมใช้มือผลักไหล่ของผู่เหลียนเหยา

หนานกงเฉินมองหน้าจูจูแวบหนึ่ง ครั้นไม่ได้กล่าวอันใดต่อ

ทันใดนั้นเองด้านนอกก็มีเสียงคนดังขึ้นมา : “ที่รัก ต้องถามด้วยเหรอ ? ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยจากไปสักหน่อย”

เวลาต่อมาเซิ่งเคอเดินเข้ามาอยู่เบื้องหน้าผู่เหลียนเหยาพร้อมทั้งยิ้มขึ้นอย่างร่าเริง จากนั้นก็โน้มตัวลงพรมจูบไปยังหน้าผากของเธอ พร้อมทั้งกล่าวตำหนิ : “เธอนี่มันเด็กไม่มีสามัญสำนึก”

ผู่เหลียนเหยาโต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ : “ตอนนั้นฉันยังเด็กนี่นา อีกอย่างฉันจากไปแค่สามปีเองไม่เหมือนกันสักหน่อย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด