เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 190

เฉียวเฟิงอ้าปากขึ้น และลองพูดอธิบายว่า : “หลัก ๆ เลยคือผมกลัวว่าเสียวหว่านชิงจะโดดเด่นเกินไปจนถูกคนหาบเร่จับตามองเข้าหรือถูกลักพาตัว ดูสิเสียวหว่านชิงของเราน่ารักซะขนาดนี้ อันตรายมากเลยใช่ไหมล่ะ ?” อีกมือของเขาลากเสียวหว่านชิงเข้ามา จากนั้นก็ลูบเส้นผมของเธอและพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดอยู่สักครู่จากนั้นก็พยักหน้า : “คุณพูดถูกค่ะ ฉันสะเพร่าเอง อีกประเดี๋ยวฉันจะไปบอกครูฟางเองว่าอย่าให้หว่านชิงไปเป็นตัวแทนนักเรียนอะไรนั่น”

“ถ้างั้นหนูก็ไม่ต้องใส่กระโปรงสวย ๆ แล้ว” เสียวหว่านชิงพูดพลางดึงกระโปรงสีแดงของตนเอง

ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางยื่นมือไปจัดระเบียบกระโปรงเธอ : “ทำไมคะ ? หนูไปก่อเรื่องอะไรมา ?”

“เพราะว่าหนูไม่อยากถูกคนหาบเร่ลักพาตัวไป ไม่อยากออกจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่หรอกจ้ะ เสียวหว่านชิงจะไม่ถูกคนหาบเร่ลักพาตัวไปแน่นอน” เฉียวเฟิงโอบเธอไว้และพูดปลอบประโยน : “คุณพ่อคุณแม่จะปกป้องเสียวหว่านชิงอย่างดีเอง”

ไป๋มู่ชิงจูงเสียวหว่านชิงเข้าโรงเรียนอนุบาล จากตรงนี้มองเห็นครูฟางกำลังยืนต้อนรับนักเรียนอยู่ด้านหน้าประตูห้องเรียนเหมือนเคย เสียวหว่านชิงกล่าวคำทักทายเธอด้วยความร่าเริง : “อรุณสวัสดิ์ค่ะครูฟาง!”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะเสียวหว่านชิง” ครูฟางจูงมือเล็ก ๆ ของเธอ จากนั้นก็ลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน : “เข้าไปเก็บกระเป๋าเลยค่ะ”

“ค่ะ” เสียวหว่านชิงบอกลาไป๋มู่ชิงแล้วเดินเข้าห้องเรียนไป

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเธอเดินเข้าไปในห้องเรียนแล้วกลับยังคงไม่ได้เดินกลับไปทันที ครูฟางรู้สึกได้ถึงความอ้ำอึ้งของเธอ จึงพูดสอบถามขึ้นมาว่า : “คุณผู้หญิงเฉียวคะ มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ?”

“คืออย่างนี้นะคะ ครูฟาง……” ไป๋มู่ชิงปริปากพูดอย่างยากลำบาก : “ภาพวาดของวันนั้น……พ่อของหว่านชิงไม่อยากให้โรงเรียนหยิบไปแสดงนิทรรศการที่โถงจัดกิจกรรมเยาวชนค่ะ เขาอยากเอารูปนั้นกลับคืน ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ……หลัก ๆ คือเขากลัวว่าเด็กจะโดดเด่นเกินไปทำให้ไม่ปลอดภัยน่ะค่ะ”

เมื่อครูฟางได้ยินเธอพูดมาเช่นนี้ บนใบหน้าจึงปรากฎสายตาอันอึดอัดใจขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอ้ำอึ้งเช่นเดียวกัน : “ขอโทษด้วยนะคะคุณผู้หญิงเฉียว ภาพวาดของเสียวหว่านชิงหายไประหว่างทางที่ไปโถงจัดกิจกรรมเยาวชนค่ะ พวกเราก็อยากตามหากลับคืนเหมือนกันแต่ว่าถามคนแถวนั้นมาหนึ่งรอบแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ารูปนั้นหายไปไหน”

“ฮะ ? หายไปงั้นเหรอคะ ?”

“ใช่ค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ……” ครูฟางรีบพูดทันที : “แต่ว่าผู้รับผิดชอบเขาบอกว่ายินยอมชดเชยค่าเสียหายให้นะคะ คุณผู้หญิงเฉียวเสนอราคามาได้เลยค่ะ พวกเราจะช่วยเจรจาเอาค่าเสียหายมาให้ได้ค่ะ”

แม้จะรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากต้องชดเชยค่าเสียหายนั้นไป๋มู่ชิงคิดว่าไม่จำเป็นแต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ภาพวาดที่มีชื่อเสียงอันใด

“ไม่ต้องชดเชยหรอกค่ะ” เธอพูดขึ้น : พ่อของหว่านชิงไม่อยากให้หว่านชิงโดดเด่นเกินไป ไม่ใช่ว่าอยากได้ภาพนั้นหรอกค่ะ

ตอนแรกเนื่องจากครูฟางต้องการทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมการเติบโตของเด็ก ๆ และสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งให้พ่อแม่ช่วยออกแรงใช้ความถนัดของตนในการทำของขวัญวันเด็กให้กับลูก ๆ หนึ่งชิ้น ดังนั้นเธอจึงนำภาพวาดนั้นให้กับครูฟาง ซึ่งตอนที่เธอให้ไปนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเอากลับคืนมาแต่อย่างใด

ถึงอย่างไรก็เป็นภาพที่ตัวเธอวาดเอง หายไปวาดใหม่ก็ได้

ไป๋มู่ชิงกลับมาบนรถและเล่าเรื่องที่ภาพวาดหายไปให้เฉียวเฟิงฟัง จากนั้นเขาก็นิ่งเงียบไป

ไป๋มู่ชิงเห็นสีหน้าของเขา จึงกล่าวปลอบใจว่า : “เฟิง คุณไม่ต้องห่วงนะ ครูฟางได้ยกเลิกสถานะการเป็นตัวแทนนักเรียนเรียบร้อยแล้ว”

เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมพยักหน้า : “อืม ยกเลิกแล้วก็ดี”

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตนกำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรอยู่กันแน่ หนานกงเฉินไม่เคยเห็นหน้าหว่านชิงมาก่อนแม้แต่คราเดียว และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีลูกสาวอยู่ข้างนอกด้วย แม้จะเจอหน้ากันโดยตรงกับหว่านชิงก็มิอาจจำได้แต่อย่างใด ทว่าเขายังคงมีความรู้สึกเป็นห่วงอยู่ลึก ๆ อยู่ดี

หรืออาจสืบเนื่องจากเสียวหว่านชิงมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับหนานกงเฉินเพียงนิดเดียวเช่นนั้นหรือ ? เขาไม่ทราบจริง ๆ

หลังจากรถออกตัวแล่นอยู่บนถนนแล้ว ไป๋มู่ชิงหันหน้ามาพร้อมถามว่า : “คุณจะไปที่ไหนเหรอ ? ไปร้านอาหาร ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ : “วันนี้ไม่ไปร้านอาหารหรอก จะไปเลือกรถเป็นเพื่อนเธอน่ะ”

“จะไปซื้อรถมาเพิ่มจริง ๆ เหรอคะ ?”

“แน่นอนสิ คันนี้ทิ้งไว้ให้ผมใช้ คุณใช้คันใหม่ ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมาส่งผมทุกวัน มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะ”

ไป๋มู่ชิงคิด ๆ ดูแล้วก็จริงอย่างที่เขาว่า ปกติแล้วตัวเธอก็มีงานประจำของตนเอง ไม่สามารถมากับเฉียวเฟิงได้ทุกวัน

ทั้งสองคนมายังร้าน 4S ของรถยี่ห้อหนึ่ง เมื่อพนักงานขายเห็นทั้งสองคนขับรถหรูเข้ามาจึงรีบเดินบึ่งมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นทันที พร้อมถามพวกเขาว่าต้องการรถรุ่นไหนและราคาประมาณเท่าไร

“หลิน คุณมีรุ่นที่ชอบไหม ?” เฉียวเฟิงถามไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ความจริงแล้วฉันไม่รู้จักรถยนต์เท่าไหร่น่ะ ซื้อที่คุณภาพรถดีหน่อยและไม่แพงมากก็พอแล้วค่ะ”

แน่นอนว่าเฉียวเฟิงเองก็สนับสนุนให้เธอซื้อคันที่ไม่แพงมากเช่นเดียวกัน พนักงานขายรีบแนะนำรุ่นหนึ่งบนหนังสือข้อมูลรถให้ทั้งสองคนทันทีและพูดว่า : “ถ้าอยากได้ที่ไม่หวือหวามาก ถ้างั้นต้องรุ่นนี้เลยครับ รถรุ่นนี้ค่อนข้างเหมาะสำหรับให้ผู้หญิงขับ”

เฉียวเฟิงหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วมองดู แววตานิ่งไป จากนั้นก็ส่ายหน้า : “รุ่นนี้ดีกว่า”

ไป๋มู่ชิงกลับพูดขึ้นทันควัน : “ฉันคิดว่ารุ่นนี้ดีจะตายไป มองดูแล้วตัวรถก็ไม่เลวเลยนะคะ”

“หลิน นี่เป็นแค่รูปภาพเท่านั้น ตัวจริงไม่ได้สวยแบบนี้หรอกนะ” สีหน้าของเฉียวเฟิงยังคงเคร่งขรึมเช่นเคย

“พวกเรามีโชว์รูมครับ ไปดูตัวรถได้ที่นั่นเลยครับ” พนักงานขายยืนขึ้นจากบนโซฟา : “ทั้งสองท่านเชิญตามผมมาทางนี้ครับ”

เฉียวเฟิงไม่อยากไป ทว่าไป๋มู่ชิงกลับมีสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เธอดันเขาไปทางพื้นที่จัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่

พนักงานขายพาทั้งสองคนมายังโชว์รูปรถตัวอย่าง จากนั้นก็ชี้ไปยังตัวรถพร้อมพูดว่า : “รถรุ่นนี้มีทั้งหมดห้าสีครับ แต่ว่ามีแค่สีขาวและดำเท่านั้นที่มีตัวโชว์และสามารถรับรถไปได้เลย ถ้าคุณผู้หญิงเป็นคนขับเอง สีขาวกับสีแดงเหมาะมากเลยนะครับ”

ไป๋มู่ชิงมองรถยนต์คันสีขาวที่จอดอยู่เบื้องหน้า ทั้งที่เธอไม่เคยขับรถคันนี้เลยทว่ากลับมีความรู้สึกราวกับเดจาวู เธอรู้สึกคล้ายกับว่าตนนั้นเคยขับมันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งความรู้สึกเช่นนี้ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความใหม่เอี่ยมและแสงที่สว่างเกินไปหรือไม่ ทันใดนั้นเองเธอก็มีความรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที จากนั้นสมองของเธอก็รู้สึกราวกับมีอะไรมากัดตัวเอง ยิ่งนานก็ยิ่งเจ็บขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมึนหัวขึ้นเรื่อย ๆ……

“หลิน เป็นอะไรไปครับ ?” เฉียวเฟิงผู้ที่เป็นห่วงเป็นใยรู้สึกว่าสีหน้าของเธอซีดเซียวไปเล็กน้อย และค่อย ๆ กลายเป็นเจ็บปวดทรมานมากขึ้น จึงรีบเข้าไปพยุงร่างกายของเธอเอาไว้

“ฉัน……อยู่ ๆ ฉันก็ปวดหัวมาก……” ไป๋มู่ชิงกุมศีรษะที่เจ็บปวดราวกับจะระเบิดออกเอาไว้แน่น อีกมือจับวีลแชร์ของเฉียวเฟิงเอาไว้และค่อย ๆ นั่งลง เธอหลับตาปี๋ ทันใดนั้นภายในหัวก็ปรากฏเป็นทะเลสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ และหน้าผาลาดอันสูงชัน ครั้นเธอได้พลัดตกลงจากที่สูงลงมาในทันใด

“กรี๊ด--!” ทันใดนั้นเธอก็กรีดร้องขึ้นมา และนั่งคว่ำหน้าบนขาของเฉียวเฟิง สองมือกอดรัดเขาเอาไว้แน่น

ภาพใบหน้าอันตกตะลึงนั้นวนเวียนขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในหัวของเธอ ราวกับต้องการดูดเธอเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น

“หลิน คุณเป็นอะไรกันแน่ ? ทำไมถึงปวดหัว ?” เฉียวเฟิงกอดเธอไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็ลูบหัวเธอพร้อมทั้งพูดปลอบใจอยู่ข้างใบหูเธอว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่ด้วยแล้วไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอก……”

คำพูดปลอบโยนของเขาได้ผลจริง ๆ ไป๋มู่ชิงค่อย ๆ สงบนิ่งลง ความเจ็บปวดภายในหัวก็เริ่มหายไปทีละนิดภายใต้คำปลอบประโยนที่สุดแสนอ่อนโยนของเขา

พนักงานขายเองก็ตกอกตกใจเนื่องจากการกระทำอันแปลกประหลาดของเธอเช่นกัน จึงรีบกลับล็อบบี้ไปรินน้ำมาให้เธอหนึ่งแก้ว : “คุณผู้หญิงครับ ดื่มน้ำก่อนครับ”

เฉียวเฟิงรับแก้วน้ำจากมือพนักงานขายมา จากนั้นก็ป้อนเข้าปากไป๋มู่ชิงอย่างอ่อนโยน : “เด็กดี ดื่มน้ำอุ่น ๆ สงบสติอารมณ์หน่อยนะ”

ไป๋มู่ชิงอ้าปากดื่มน้ำต้มสุกไปครึ่งแก้ว

เฉียวเฟิงคืนแก้วน้ำให้กับพนักงานขาย จากนั้นก็ลูบศีรษะไป๋มู่ชิงพร้อมกล่าวว่า : “วันนี้ไม่ต้องดูแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณกลับบ้านไปพักผ่อน”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด : “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป อยู่ ๆ ก็ปวดหัวเหมือนถูกมีดบาดอย่างนั้นเลย”

“ทำไมต้องมาพูดขอโทษกับผม จะต้องเป็นผมที่พูดขอโทษกับคุณถึงจะถูกต้อง” เฉียวเฟิงพูดด้วยความสงสารจับใจ

เมื่อสักครู่ที่เธอเลือกรถยี่ห้อนี้ เขาควรห้ามปรามเธอไว้ถึงจะถูกต้อง ตอนแรกที่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเธอขับรถยี่ห้อและสีนี้ ครั้นเขายังพาเธอมายังที่นี่แถมยังพาเธอมาดูรถตัวอย่างอีก

“ทำไมต้องขอโทษฉันด้วยคะ ?” ไป๋มู่ชิงถามไปด้วยความไม่เข้าใจ

“เพราะว่า……” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ : “เพราะว่าฉันไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอจนอาการป่วยเธอหายดี” เขาหยุดไปสักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วนน้ำเสียงที่เคร่งขรึม : “ผมว่าพวกเราไม่ต้องไปดูรถหรอกครับ ไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดที่โรงพยายาลก่อนดีกว่า ไปดูว่าทำไมคุณถึงปวดหัว”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ปวดแค่วันนี้แหละค่ะ ที่ผ่านมาไม่เคยปวดแบบนี้เลย”

“ถ้าเกิดมันสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ ?” เฉียวเฟิงจับใบหน้าเรียวเล็กของเธอและพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวดใจว่า : “ถ้าเกิดคุณไม่หายดี แล้วใครจะมาดูแลผมกับเสียวหว่านชิงล่ะ ? คุณว่าจริงไหมล่ะครับ ?”

เมื่อได้ยินที่เขาพูดมาดังนั้น ไป๋มู่ชิงจึงหาเหตุผลในการปฏิเสธไม่เจอแล้ว จริงด้วย ถ้าหากอาการป่วยของเธอไม่หายดีแล้วใครจะมาดูแลพวกเขาสองพ่อลูก ? เสียวหว่านชิงยังเล็กอยู่เลย เฉียวเฟิงเองก็เป็นผู้ที่ต้องมีคนคอยดูแล

เธอยิ้มพลางพยักหน้า : “โอเค พวกเราไปโรงพยาบาลกัน”

ทั้งสองคนออกจากร้าน 4S พร้อมกัน จากนั้นก็บึ่งรถไปยังโรงพยาบาลเฉียว

คุณหมอเจ้าของไข้ของไป๋มู่ชิงทำการตรวจร่างกายให้เธอแบบครบวงจร หลังจากที่ผลการตรวจร่างกายออกมาแล้วนั้น คุณหมอเจ้าของไข้เริ่มวิเคราะห์ข้อมูลด้านบนอย่างละเอียด ครั้นไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขานั้นรู้สึกวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว

เฉียวเฟิงกลัวว่าไป๋มู่ชิงจะมีอาการแทรกซ้อนจากการประสบอุบัติเหตุรถยนต์ในครั้งนั้น กลัวจะสูญเสียเธอไป

ไป๋มู่ชิงเองก็กลัวว่าตนจะมีอาการแทรกซ้อนเช่นเดียวกัน กลัวว่าหากตนเองเป็นอะไรไปแล้วจะไม่มีใครมาช่วยเธอดูแลเสียวหว่านชิงและเฉียวเฟิง

โชคดีที่คุณหมอประจำไข้ดูผลการตรวจร่างกายแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างโล่งใจ พร้อมพูดว่า : “คุณชายรองสบายใจได้เลยครับ ร่างกายของนายหญิงน้อยไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย”

ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน จากนั้นก็สบตากันพร้อมยิ้มขึ้น

ร่างกายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว

ผ่านไปชั่วครู่เฉียวเฟิงจึงถามขึ้นว่า : “งั้นทำไมเธอถึงได้ปวดหัวขึ้นกะทันหันแบบนั้นล่ะครับ ? อีกทั้งยังเจ็บรุนแรงมากด้วย”

หมอประจำไข้มองหน้าไป๋มู่ชิง จากนั้นก็ครุ่นคิดอย่างหนักแล้วพูดขึ้นว่า : “เมื่อก่อนนายหญิงน้อยเคยเสียความทรงจำไม่ใช่เหรอครับ ก่อนที่จะปวดหัวได้สัมผัสกับสิ่งของที่คุ้นเคยบ้างไหมครับ ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าไป๋มู่ชิง จากนั้นพยักหน้าอย่างลังเล : “ครับ……”

เขาหันหน้ามาพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “หลินคุณไปรอผมด้านนอกก่อน ผมอยากคุยอะไรกับคุณหมอหน่อย”

ไป๋มู่ชิงชะงักไปเล็กน้อย แม้จะไม่เข้าใจ ทว่าเธอยังคงพยักหน้าแล้วออกไปจากห้องทำงานของคุณหมออยู่ดี

เธอรู้อยู่แล้วว่าเหตุใดเฉียวเฟิงจึงต้องให้ตนออกไปก่อน เนื่องจากเฉียวเฟิงไม่ให้เธอได้ทราบเรื่องในอดีตเลย เธอเคยถามเฉียวเฟิงเรื่องที่เธอประสบอุบัติเหตุนับไม่ถ้วน ทว่าเฉียวเฟิงมักจะปฏิเสธเธอโดยให้เหตุผลว่าเรื่องน่าเศร้าในอดีตไม่ควรหยิบยกมาพูดอีก เธอไม่ทราบด้วยซ้ำว่าตนเองนั้นถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บได้อย่างไร และสูญเสียความทรงจำได้อย่างไร

เธอทราบดีว่าที่เฉียวเฟิงทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับตน เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะสงสัยเรื่องในอดีตมากเพียงใดเธอก็ไม่คิดถามเขาเลย และไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปถามด้วยไม่ใช่หรือ ?

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงออกไปแล้ว เฉียวเฟิงจึงเล่าให้คุณหมอประจำไข้ฟังว่า : “วันนี้พวกเราไปดูรถที่ร้าน 4S หลินเห็นรถรุ่นที่เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เข้า จากนั้นเธอก็ปวดหัวจนยืนไม่ไหวเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?”

คุณหมอประจำไข้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ พร้อมพูดว่า : “นี่มันเป็นเรื่องปกติมากครับ แม้ว่านายหญิงน้อยจะสูญเสียความทรงจำไป แต่ว่าฝันร้ายในครั้งนั้นยังคงฝังลึกอยู่ภายในใจของเธอเหมือนเดิม รถรุ่นนั้นที่เธอเห็นวันนี้ได้กระตุ้นความทรงจำที่ฝังอยู่พอดี เพราะงั้นจึงเกิดเป็นอาการปวดหัวครับ”

“ถ้างั้นต่อจากนี้ไปจะปวดหัวแบบนี้อีกไหมครับ ?”

“บางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ครับ” คุณหมอหยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มขึ้น : “แต่ว่าคุณชายรองอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยนะครับ นี่มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ พิสูจน์ถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นความทรงจำของนายหญิงน้อยกลับคืน”

เมื่อได้ยินดังนั้นมือที่ถือแก้วกระดาษอยู่ของเฉียวเฟิงก็กำแน่นขึ้น จนทำให้น้ำไหลออกจากแก้ว……

คุณหมอจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิมว่า : “การที่จะทำให้คนความจำเสื่อมฟื้นความทรงจำมาได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือพาเธอไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยบ่อย ๆ ไปหาคนที่คุ้นหน้าคร่าตา ให้เธอไปทำเรื่องที่เคยชอบทำโดยเมื่อทำซ้ำ ๆ และนาน ๆ ความทรงจำอาจจะฟื้นกลับมาอย่างช้า ๆ ก็เป็นได้ครับ”

เมื่อคุณหมอประจำไข้พูดจบ จึงพบว่าเฉียวเฟิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหม่อลอย จึงได้พูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า : “คุณชายรอง เป็นอะไรไปครับ ?”

เฉียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่อย่างใด ครั้นกลับพูดถามว่า : “ถ้างั้นตามประสบการณ์ของหมอ โอกาสที่ความทรงจำของหลินจะกลับคืนมามีเท่าไหร่ครับ ?”

“เรื่องนี้มัน……” คุณหมอประจำไข้ส่ายหน้า : “เรื่องนี้ก็พูดยากเหมือนกันครับ หลัก ๆ จะต้องพึ่งพาคนในครอบครัวหรือเพื่อน ๆ อย่างพวกคุณในการนำพาเธอ ให้ความร่วมมือเธอ ถ้าผลของการนำพาเป็นไปในทางที่ดี ผลลัพธ์ก็จะดีครับ”

คุณหมอพูดเสริมขึ้นอีกว่า : “คุณชายรองอยากจะให้ผมสั่งยาที่ช่วยในการฟื้นฟูความทรงจำของนายหญิงน้อยหน่อยไหมครับ เท่านี้ผลลัพธ์ก็จะดีขึ้นมากเลยครับ”

“ไม่ ไม่เป็นไรครับ” เฉียวเฟิงพูดปฏิเสธไปทันควัน เวลาต่อมาเขารู้สึกถึงความยั้งสติไม่ดีของตนเองจึงรีบพูดเสริมขึ้นว่า : “ขึ้นชื่อว่ายาต้องมีพิษอยู่แล้วครับ สองปีมานี้เธอทั้งฉีดยาและทานยาเยอะเกินไป ผมไม่อยากให้เธอทานยาต่อไปอีกน่ะครับ”

“อ้อ ครับ” คุณหมอประจำไข้พยักหน้า : “ถ้างั้นก็ไม่ต้องสั่งยาครับ”

เมื่อเฉียวเฟิงออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอแล้ว ก็มองเห็นไป๋มู่ชิงที่กำลังอยู่ไม่นิ่งสีหน้าเบื่อหน่ายบนระเบียงทางเดินที่อยู่ไกล ๆ สักครู่ก็เตะหินเล็กหินน้อยบนพื้น สักครู่ก็กระโดดไปมาข้ามกระเบื้องเซรามิคสี่เหลี่ยม

เธอในเวลานี้ เต็มไปด้วยความไร้กังวลใด ๆ รวมถึงมีความสุขสบายใจเต็มเปี่ยม ซึ่งแตกต่างกับเมื่อตอนที่เจอเธอแรก ๆ ราวฟ้ากับเหว

เมื่อครั้งอดีตตั้งแต่ที่เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินแล้ว เขาเคยเจอเธออยู่สามหน หนแรกอยู่ที่บ้านตระกูลเฉียวซึ่งเธอมาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคุณนายเฉียวกับหนานกงฉันอย่างสนิทสนมกัน หนที่สองเจอแถวบ้านตระกูลหนานกง ที่เธอสวมชุดนอนตัวเดียววิ่งออกจากบ้านมากลางดึกไร้ซึ่งหนทางจะไป ครั้งที่สามคือที่ร้านอาหารตะวันตก ที่เธอทะเลาะจะแยกทางกับหนานกงเฉินเพราะมือที่สาม

ทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน ทุกครั้งจะเจอะเจอเข้ากับช่วงที่เธอเป็นทุกข์ทั้งนั้น

เธอในตอนนั้น อดีตเช่นนั้น เหตุใดต้องให้เธอนึกถึงอีก ?

ผู้ชายแบบนั้น ครอบครัวแบบนั้น เหตุใดต้องให้เธอนึกถึงอีก ?

ท่าทางที่เธอมีความสุข เป็นภาพที่น่าประทับใจที่สุด

เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นการหวังดีกับเธอ เขาก็ไม่สามารถให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตได้อีก จะให้เธอกลับไปในครอบครัวใหญ่ที่มีอันตรายเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด

เขาสูดหายใจเข้า จากนั้นก็เลื่อนวิลแชร์ไปหาเธอ

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นเขาออกมาแล้ว ใบหน้าจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมาในทันที จากนั้นก็เดินเข้ามานั่งยองยองลงเบื้องหน้าเขา สองมือพลางวางไว้บนหัวเข่าของเขาแล้วพูดขึ้นถามว่า : “เป็นยังไงบ้างคะ ? คุณหมอบอกว่ายังไงคะ ?”

เฉียวเฟิงวางมือลงบนหลังมือของเธอ จากนั้นก็กุมมือน้อย ๆ ของเธอเอาไว้ : “เมื่อกี้คุณก็ได้ยินที่คุณหมอพูดแล้วไม่ใช่เหรอว่าร่างกายของคุณปกติทุกอย่าง”

“จริงเหรอคะ ?”

“จริงแท้แน่นอน” เฉียวเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็จ้องหน้าเธอพร้อมพูดขึ้นว่า : “จากนั้นผมก็สอบถามเกี่ยวกับวิธีฟื้นความทรงจำกับคุณหมอ เขาสอนผมแล้วบางอย่าง”

“คุณหมอบอกว่ามีหวังไหมคะ ?” ไป๋มู่ชิงถาม

เฉียวเฟิงส่าย

ทันใดนั้นเองในใจของไป๋มู่ชิงก็มีความผิดหวังผุดขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเธอกลับไม่ได้แสดงความผิดหวังนั้นออกมาทางสีหน้า ถึงอย่างไรก็เป็นความทรงจำของตนเอง ต่อให้เป็นความทรงจำที่ไม่ดีเพียงใดก็จะต้องดีกว่าความว่างเปล่าในเวลานี้อยู่ดี ถ้าหากสามารถฟื้นกลับคืนมาได้คงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด

เธอไม่อยากให้เฉียวเฟิงรู้ถึงความผิดหวังของตน เธอจึงพูดปลอบเขาไปว่า : “ไม่เป็นไร เอาคืนมาไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ”

“หลิน คุณอยากได้ความทรงจำให้อดีตมากเลยใช่ไหม ?” เฉียวเฟิงจ้องหน้าเธอพร้อมถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ไม่ใช่ว่าอยากมากหรอกค่ะ ก็แค่บางครั้งก็อยากรู้มากว่าตัวเองเมื่อครั้งอดีตเป็นคนยังไง มีชีวิตยังไง” เธอฉีกยิ้ม : “แล้วก็……พวกเราสองคนรู้จักกันได้ยังไง แต่งงานกันยังไง และมีเสียวหว่านชิงยังไง คลอดเธอออกมายังไง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด