เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 194

หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก แต่ว่าเธอไม่ได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไม่สบายใจนั้นออกมา แต่คือทั้งดื่มน้ำอุ่นในแก้วไปด้วยและยังเดินไปหาหนานกงเฉินและพูดว่า“เป็นอะไรไป?คุณยังไม่คิดจะเลิกงานเหรอ?”

เธอเลยดื่มน้ำจนหมดแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงาน หลังจากนั้นเอามือทั้งสองไปโอบหนานกงเฉินจากช้างหลัง ใบหน้าเล็กๆของเธอแบนชิดกับแก้มของเข้า“เฉินคุณลืมไปแล้วเหรอว่าคุณย่ากำชับไว้ว่าอย่างไร?อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป อาการป่วยของคุณถึงจะค่อยๆดีขึ้น”

ชัดเจนว่าต้องมีผู้หญิงอยู่ที่นี่ แต่กลับมองไม่เห็นเงาเลย?มีความเป็นไปได้ว่าผู้หญิงคนนั้นต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นแน่ๆเลย พอคิดถึงภาพเหตุการณ์ว่าหนานกงเฉินกับผู้หญิงเลวคนนั้นอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เธอกัดฟันด้วยความโกรธแค้น

“ฉันจะระวังตัวเอง”หนานกงเฉินไปตบมือเล็กๆของเธอ

“งั้นก็รีบเก็บของแล้วกลับบ้านกับฉันเถอะ”จูจูกำลังคิดพิจารณาว่าควรใช้เหตุผลอะไรเข้าไปในห้องนั่งเล่นดี ตอนที่กวาดสายตาผ่านที่พื้นนั้นก็พบใต้โต๊ะมีมือของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ออกมา เธอกัดฟันด้วยความกระวนกระวายใจมาก

หนานกงเฉินเลยดึงมือทั้งสองของเธอลงมาจากคอของตัวเองและจ้องเธอพูดว่า“จูจู เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำอีกเยอะ”

“คุณยังจะต้องทำงานล่วงเวลาอีกเหรอ?”จูจูยิ้มขึ้นมาและเดินจากด้านหลังมาด้านหน้าของเขา หลังจากนั้นก็ใช้ส้นของรองเท้าส้นสูงเหยียบไปที่พื้นที่มือนั้น

รองเท้าที่เธอใส่เป็นรองเท้าแตะรัดส้นแบบส้นหนาและยังตั้งใจเหยียบเข้าไปเต็มแรง เหยียบจนเจ็บแบบแทบจะร้องขอชีวิต ไป๋มู่ชิงกลั้นไว้ รีบใช้มืออีกข้างมาปิดปากของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ร้องออกมา

เธอเจ็บไปหมด ในชั่วพริบตาเดียวน้ำตาเธอก็ไหลลงมา

หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของไป๋มู่ชิง เขาไม่ได้มองลงไปดูแต่กลับลุกขึ้น มองไปที่จูจูพดว่า“ไปเถอะ ฉันยังมีงานที่ต้องทำ ฉันจะให้เสี่ยวหลินไปส่งเธอแล้วกัน”พูดสั่งออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

จูจูรู้ว่าถ้าเธอยังขืนก่อกวนไม่หยุดแบบนี้เขาต้องโมโหแน่ๆ ถ้าไปดึงผู้หญิงคนนั้นออกมา ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์แล้วยังอาจจะทำให้หนานกงเฉินขายหน้าจนควบคุมสีหน้าไม่อยู่

หนานกงเฉินยอมที่จะแอบไว้เพื่อพิสูจน์ว่าเขายังเป็นห่วงภรรยาคนนี้ของเขาใช่ไหม?

ในกรณีที่โดนฉีกหน้า เขาจะเอาผู้หญิงพวกนี้ไปที่โจ่งแจ้งเพื่อไปยั่วยุเธอทำไมกัน ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆก็คงไม่ดีหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ในใจของเขาที่ที่เธออยู่มันยังคงต่ำเกินไป

ถึงแม้จะไม่สมัครใจ แต่เธอก็ยังพูดไปอย่างฉลาดว่า“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ คุณก็รีบทำงานจะได้รีบกลับบ้าน”

“รู้แล้ว”หนานกงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย

จนกระทั่งหลังจากที่จูจูไปแล้วนั้นหนานกงเฉินถึงจะพูดว่า“ออกมาได้แล้ว”

รอไปสักครู่หนึ่ง แต่ไม่รอจนกระทั่งไป๋มู่ชิงที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา หนานกงเฉินเลยก้มหัวลงไป เห็นคราบเลือดเปื้อนอยู่ที่พื้น เขาโน้มตัวลงไปมองถึงจะพบว่าไป๋มู่ชิงจับมือขวาที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ น้ำตาคลอออกมาจากตาทั้งสองข้าง

“มือเธอเป็นอะไรไป?”หนานกงเฉินมองไปที่หน้าที่น่าสงสารของเธอ

“ฉันไม่เป็นไร......”

หนานกงเฉินดึงมือเธอมา มองที่มือของเธอชัดเจนว่ามือเล็กๆของเธอทั้งสองโดนเหยียบมา หลังจากนั้นมองเธอและพูดว่า“เจ็บหนักขนาดนี้ ยังไม่รู้จักร้องออกมาอีก”

“ฉันไม่อยากให้คุณหญิงของท่านเข้าใจผิด”

“หรือว่านี่เธอไม่รู้เหรอว่ายิ่งหลบๆซ่อนๆแบบนี้ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดกว่าเดิมอีก?”หนานกงเฉินดึงเธอออกมาจากใต้โต๊ะ

ไป๋มู่ชิงสะบัดแขนข้างที่เจ็บ หยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะมาติดแผลเอาไว้ ทันใดนั้นหนานกงเฉินกลับไปดึงมือเธอ“ทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ยิ่งอักแสบ เดี๋ยวฉันช่วยเธอใส่ยา”

“ไม่ต้องหรอก......”ไป๋มู่ชิงรีบพูดออกมา หนานกงเฉินกลับเดินไปทางตู้หนังสือแล้วเรียบร้อย หยิบกล่องยาออกมาและเดินไปนั่งที่บนโซฟา หลังจากนั้นเงยขึ้นไปมาอหน้าเธอ“ตอนนี้มือขวาของเธอเจ็บ ถ้าไม่รีบรักษาจะไปวาดรูปได้อย่างไรล่ะ?”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก ลังเลอยู่ในใจไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

“มานี่”น้ำเสียงของหนานกงเฉินฟังแล้วค่อยข้างพูดออกมาเป็นคำสั่ง

ไป๋มู่ชิงได้แต่เดินไปหาเขา ไปนั่งอยู่ตรงข้ามเขาและพูดว่า“ให้ฉันทำเองเถอะ”

“คุณหนูอี ฉันงานยุ่งมาก ไม่มีเวลามาไร้สาระกับคุณหรอกนะ”

ได้ยินน้ำเสียงของเขาแล้ว ไป๋มู่ชิงได้แต่ยื่นมือที่เจ็บของเธอให้กับเขา หนานกงเฉินรับมือของเธอมาและรีบขยับเข้าไปใกล้ๆเธอ

ตอนที่เขาดูมือเธออย่างชัดเจน บนหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจทันที มือของเธอ......

มือเรียวเล็กของเธอ ที่นิ้วชี้และนิ้วโป้งนั้นโดนเหยียบจนเนื้อหาย นอกจากแผลใหม่พวกนี้แล้วที่หลังมือของเธอยังมีร่อยรอยบาดแผลจากไฟลวก ควรเป็นมือที่สวยงาม แต่กลับเป็นมือที่มีรอยบาดแผลมากมายขนาดนี้

ในสถานการณ์แบบนี้ไม่นึกเลยว่าเธอจะทนที่จะไม่ร้องออกมาได้ ความอดทนของเธอนี่มันสุดยอดจริงๆ!

ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงสายตาที่ตกตะลึงของเขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

หนานกงเฉินระมัดระวังมากในการใช้ยาฆ่าเชื่อล้างแผล หลังจากนั้นใช้ผ้าพันแผลไปปิดแผลไว้

แหวนผู้หญิงที่นิ้วนางของเธอนั้นเป็นขนาดที่กำลังพอดี คิดไปคิดมาแล้วน่าจะเป็นแหวนแต่งงาน เพราะใส่แหวนแล้วพอใช้ผ้าพันแผลดูไม่สะดวก

เขาเงยขึ้นไปจ้องเธอและถามว่า“ถอดแหวนออกได้ไหม? ”

“ได้สิ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ยื่นมือให้เขาถอดแหวนออก หนานกงเฉินกลับพูดออกมาอย่างกระทันหันว่า“อย่าขยับ”

หลังจากนั้น เขาถอดแหวนออกอย่างระมัดระวังอย่างมาก แหวนผ่านจากบาดแผลมา ไป๋มู่ชิงเจ็บจนต้องพูดออกมาว่า“คุณทำเบาๆหน่อย”

“ฉันยังคิดว่าเธอไม่กลัวเจ็บสะอีก”หนานกงเฉินหัวเราะเยาะเธอและเอาแหวนของเธอวางไว้บนโต๊ะน้ำชา

“จะไม่กลัวได้อย่างไรกัน?”ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก

“เพราะเธออดทนเก่งไง”ถ้าให้เป็นผู้หญิงคนอื่นนะร้องไห้งอแงหรือไม่โวยวายไปตั้งนานแล้ว

พันแผลเสร็จแล้ว หนานกงเฉินกลับยังไม่ปล่อยมือเธอ และยังคลึงๆเพราะทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยมือเธอไป

ทำใจไม่ได้ ไม่ผิด มือของเธอเหมือนกับมีเวทมนตร์ทำให้เขาหลงใหลจนไม่อยากจะปล่อยไป......

“คุณชายเฉิน คุณปล่อยมือฉันได้แล้วหรือยัง?”ครู่หนึ่ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ทนไม่ได้ที่จะพูดออกมา

หนานกงเฉินตกใจรู้สึกว่ายับยั้งสติตัวเองไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ปล่อยทันทีแต่เขาจ้องรอยแผลเป็นที่หลังมือของเธอและถามว่า“มือของเธอ......โดนน้ำร้อนลวกเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงรีบดึงมือเธอกลับมา ยิ้มและพูดว่า“ไม่ใช่น้ำร้อนแต่เป็นไฟไหม้ในบ้าน โดนไฟลวก”

เฉียวเฟิงเคยบอกเธอรางๆว่าเธอสูญเสียความทรงจำทำให้เธอเสียโฉมนั้นเป็นเพราะว่าที่บ้านเกิดไฟไหม้ เธอรีบหนีเอาชีวิตรอดจากระเบียงจนเจ็บหนัก เฉียวเฟิงพูดว่าเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดของเธอและเขา ดังนั้นเลยไม่ชอบให้เธอถามเยอะ แต่จริงๆแล้วเธอก็ไม่ได้ไปถามอะไรมาก

“งั้นแสดงว่าต้องเจ็บปวดมากๆ”หนานกงเฉินพูดออกมาเบาๆ และไม่รู้ว่าพูดให้ตัวเธอฟังหรือให้ตัวเองฟัง

ในตอนแรกที่เขาได้ยินซากศพของไป๋มู่ชิงนั้น เธอก็โดนไฟคลอกจนแทบจะไม่เห็นเนื้อ

ไป๋มู่ชิงเห็นเขาไม่พูดไม่จาเหมือนกับว่าคิดเรื่องอะไรที่เก็บไว้ในใจ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเขา เลยลุกขึ้นจากโซฟา“คุณชายเฉิน งั้นฉันกลับก่อนนะ”

“จำไว้นะว่าให้ลงไปที่ลิฟต์ชั้นสอง หลังจากนั้นเดินออกไปทางประตูหลัง”

“ทำไมกันล่ะ?”ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ

“เธออยากให้คนเขาเข้าใจผิดเหรอ?”

“นี่คือทางที่คุณเอาไว้แอบคบชู้เหรอ?”ไป๋มู่ชิงถามออกไปอย่างไม่รู้สึกตัว ถามเสร็จถึงจะรู้สึกตัวเองว่าเธอลืมตัวไป

เป็นอย่างนั้นจริงๆ หนานกงเฉินมองไปที่เธอด้วยสีหน้าที่น่าสยดสยอง

“ขอโทษค่ะ ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันนะคุณชายเฉิน”ไป๋มู่ชิงไม่กล้าอยู่นานเลยรีบหยิบกระเป๋าและออกไปจากห้องทำงาน

เธอทำตามคำแนะนำของหนานกงเฉินไปใช้ลิฟต์ที่ชั้นสอง หลังจากออกจากประตูหลังไปแล้วนั้นก็เรียกรถแท็กซี่

“คนขับรถคะ ช่วยไปส่งฉันที่ตึกยู่หลงหน่อยค่ะ”เธอพูดออกมาพร้อมกับมองไปรอบๆ ตอนที่รถแท็กซี่ขับมาถึงประตูหน้าของตึก เธอเห็นรถเฟอร์รารี่สีแดงที่มีเงาที่คุ้ยเคยนั่งอยู่ เป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับวันนั้นที่ลานจอดรถในห้าง ภรรยาของคุณชายเฉิน!

เธอแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ดีที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปที่ประตูใหญ่

ในคืนนั้น หลังจากที่เฉียวเฟิงลังเลมาสักพักก็ไปพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อฉัน ฉันต้องกลับไปที่ตระกูลเฉียว เธอจะกลับไปกับฉันไหม?”

กลับตระกูลเฉียว?ไป๋มู่ชิงลังเลแล้ว

เธอรู้ว่าคุณนายเฉียวไม่ได้ชอบเฉียวเฟิง และยิ่งไม่ชอบเธอ สองปีมานี้เธอพึ่งได้เจอคุณนายเฉียวแค่ครั้งเดียวเอง ยิ่งกว่านั้นเป็นหนึ่งครั้งที่เจอกันแบบไม่ค่อยมีความสุขเลย

“ถ้าเธอไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะ ฉันกลับไปเองคนเดียวได้”เฉียวเฟิงพูดอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าไม่ใช่เพราะคุณนายเฉียวขอร้องให้ไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงกลับไป เขาก็ไม่อยากให้พวกเธอสองแม่ลูกกลับไปเพราะยังไงคุณนายเฉียวก็เคยเจอไป๋มู่ชิงแล้ว

“ไม่ ฉันคงไม่กลับไปกับคุณแล้วล่ะ”ไป๋มู่ชิงพูด

“เธอไม่กลัวคุณนายเฉียวลำบากใจเธอเหรอ?”

“จะทำให้ฉันลำบากใจไหมก็เป็นเรื่องของอาหารกลางวันมื้อเดียว ไม่เป็นไรหรอก”ไป๋มู่ชิงยิ้มและพูดว่า“แต่คุณควรรู้ว่าฉันนั้นมีความอดทนมาก”

“เอาล่ะ แต่เธอก็ต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าอย่างไรคุณนายเฉียวพูดอะไรไปเธอไม่ต้องไปสนใจนะและยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องราวในอดีตล่ะ”

“ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะไม่ไปสนใจเธอ”

ทานอาหารของเช้าวันที่สองแล้ว เฉียวเฟิงพาไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงกลับไปที่ตระกูลเฉียวแล้ว

คุณนายเฉียวทำสีหน้าไม่ดีตามคาด ทักทายกับเฉียวเฟิงไปแค่ตามมารยาทเท่านั้น และยังแทบจะไม่มองไป๋มู่ชิงกับเสียวหว่านชิงอีกด้วย

ไป๋มู่ชิงเตรียมใจมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเลยไม่ได้ไปสนใจอะไรเธอมาก ยังกว่านั้นยังดันเสียวหว่านชิงไปอยู่ที่หน้าของคุณนายเฉียวและพูดว่า“หว่านชิง นี่คือคุณย่านะ รีบเรียกคุณย่าเร็ว”

“คุณย่า”เสียวหว่านชิงเรียกออกไปอย่างน่าเอ็นดู

คุณนายเฉียวกลับมองเธอไปอย่างเย็นชา พูดว่า“ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าย่าหรอก”

“ทำไมกันละคะ?คุณย่าไม่ชอบหว่านชิงเหรอคะ?”เสียวหว่านชิงถามออกไปด้วยความสงสัยเพราะคุณปู่คุณย่าของเด็กคนอื่นรักพวกเธอมาก

“หว่านชิง คุณย่าไม่ได้ไม่ชอบหนูแต่คุณย่าแค่อารมณ์ไม่ดีเฉยๆ ป่ะเด็กดี พวกเราเข้าไปกันเถอะ”ไป๋มู่ชิงยิ้มออกและลูบหัวเธอ จูงมือเธอเข้าไปในห้อง

หลังจากที่พ่อบ้านพาพวกเขาทั้งสามไปไหว้คุณปู่แล้ว เฉียวเฟิงให้ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงไปดูทีวีที่ห้องชั้นสอง แล้วตัวเองก็มาที่ห้องรับแขกของชั้นหนึ่ง

คุณนายเฉียวเห็นเขาเข้ามา ได้แต่มองไปอย่างเย็นชา ไม่ได้สนใจเขาเลยและยังดูทีวีต่อไป

เฉียวเฟิงเดินไปที่โซฟา มองไปที่คุณนายเฉียวพูดว่า“แม่ หลินเป็นภรรยาของผม หว่านชิงก็เป็นลูกสาวผม ขอร้องให้แม่ดีกับพวกเขาสองแม่ลูกหน่อยได้ไหม?”พูดขอร้อง แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับเย็นชามาก

คุณนายเฉียวกลับไม่พอใจ กลับหันหน้ามาจ้องเขา“เฉียวเฟิง ถึงแม้ว่าลูกจะยอมเรียกแม่ว่าแม่ แต่แม่ก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตลูก ลูกมีคนที่ลูกชอบได้นะ แต่ว่าพอมองดุผู้หญิงคนนี้ที่ชื่ออีหลินนั้นไม่ควรค่าแก่การที่ลูกจะไปชอบเลย ไหนจะลูกของเธอหน้าตาไม่เห็นเหมือนกับลูกเหรอ?อย่างนั้นในท้ายที่แล้วแน่ใจแล้วเหรอว่าเธอเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลูก?แม่บอกตั้งกี่รอบแล้ว ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานกับลูกก็เพราะเงิน ไม่อย่างนั้นผู้ชายบนโลกเยอะมากมายขนาดนี้ทำไมจะต้องมาแต่งงานกับคนพิการด้วย?”

“ผมรู้ดีว่าหลินไม่เหมาะสมกับผม หว่านชิงใช่หรือไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆผมก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”

“เฉียวเฟิง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าลูกกำลังเบี่ยงเบนความสนใจอยู่ ลูกก็แค่อยากจะหลอกใช้หว่านชิงเพื่อแบ่งหุ้นของตระกูลเฉียวเท่านั้น แม่เคยบอกลูกแล้ว......”

“คุณนายเฉียว!”เฉียวเฟิงพูดแทรกออกมาอย่างไร้เยื่อใย ในแววตานั้นคือ“ได้โปรดอย่าเอาหัวใจดวงน้อยไปเปรียบเทียบกับทุกคน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความคิดที่ไม่ดีแบบแม่ ผมพูดไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่ายังไงผมกับหว่านชิงก็จะไม่เอาหุ้นของตระกูลเฉียวแม้แต่นิดเดียว แม่สบายใจได้เลย”

“ตอนนั้นแม่ทำกับผมกับแม่ผมอย่างไร ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ แต่ยังไงแม่ก็คงไม่รู้ว่าผมให้อภัยแม่อย่างไร ตอนนี้เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ผมไม่อยากคุยเรื่องพวกนี้แล้ว ตอนนี้ผมอยากขอเพียงแค่อย่างเดียวว่าขอให้แม่ดีกับภรยาและลูกสาวผมหน่อย ผมทนได้นะที่แม่จะรักแกผม แต่ยังไงผมไม่ยอมให้แม่ไปรังแกพวกเขาทั้งสองคนหรอก!”

คุณนายเฉียวจ้องไปที่เฉียวเฟิงด้วยสีหน้าที่งงงวย ราวกับว่าตัวเองพึ่งรู้จักกัน

เฉียวเฟิงก็ไม่เคยพูดออกไปแรงขนาดนี้กับเธอ จำได้ว่าครั้งแรกหลังจากที่เธอรู้ว่าเขาพิการนั้น ก็รู้สึกหวั่นไหวเลยรื้อของในท้องมาทำให้แตกและซากตกอยู่เต็มเท่า จากนั้นหันหน้าไปร้องไห้ หลังจากนั้นกลัวว่าเขาจะโวยวายไหมและไม่เคยทะเลาะกัน

ตอนนั้นเธอยังก็งงไปเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่รู้ว่าสรุปแล้วเรื่องนั้นมันกี่นาทีวะ แท้ที่จริงแล้ว......”

ตอนนั้นเธอยังก็งงไปเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่รู้ว่าสรุปแล้วเรื่องนั้นมันกี่นาทีวะ แท้ที่จริงแล้ว......”

ไป๋มู่ชิงที่แอบฟังอยู่ที่ชั้นสองนั้น ในที่สุดก็เห็นทั้งสองแม่ลูกต่างคนต่างไม่ยอมกันเลยรีบเดินลงไป เดินไปอยู่ข้างหน้าของเฉียวเฟิงและไปจับมือพูดว่า“เฟิง คุณอย่าโกรธเลย คุณแม่ไม่ได้รังแกฉันกับหว่านชิง คุณดูพวกเราก็มีชีวิตที่มีความสุขไม่ใช่เหรอ?”

คุณนายเฉียวมองไป๋มู่ชิงด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง อยากจะพูดออกไปมากว่าอย่ามาทำเป็นอ่อนโยนอยู่ที่นี่ แต่ว่าพอจะพูดก็ไม่กล้าที่จะพูดออกไป

ในใจคิดว่าอย่างไรพวกเขาสามคนไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่จำเป็นต้องทะเลาะอะไรกันขนาดนั้น

เฉียวเฟิงพลิกมือไปจับมือของไป๋มู่ชิงและถามเธอด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนว่า“หว่านชิงล่ะ?”

“หว่านชิงเล่นอยู่ที่ห้องของคุณลุง”

ในเวลานั้น ก็มีคนใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดกับคุณนายเฉียวว่า“คุณนาย คุณชายใหญ่ คุณย่ากลับมาแล้ว”

“จริงเหรอ?เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”คุณนายเฉียวได้ยินว่าซูซี่กลับมาแล้ว ในที่สุดเธอก็ยิ้มออก

ไม่นาน ซูซี่ก็เดินเข้าไป เธอกวาดสายตาไปรอบๆ เดินไปเข้าไปใกล้คุณนายเฉียวและทักทายกันอย่างสนิทสนม คุณนายเฉียวพูดยิ้มออกไปด้วยความโมโหว่า“เธอออกไปแต่ข้างนอกนะหลายๆปีที่ผ่านมานี้ ยังรู้ว่ามีบ้านหลังนี้อยู่ใช่ไหม?”

“แม่ บ้านหลังนี้แม่ก็ดูแลอยู่ แม่ก็ให้หนูออกไปเที่ยวเล่นสองสามปีก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”ซูซี่กับคุณนายเฉียวคุยหัวเราะกันไปสองสามประโยค มองไปทางเฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิง หลังจากนั้นยิ้มให้เฉียวเฟิง“อาเฟิง ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะ”

“พี่สะใภ้”เฉียวเฟิงตะโกนออกไปและยังพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“หลิน นี่คือพี่สะใภ้นะ”

“พี่สะใภ้”ไป๋มู่ชิงพูดออกไปอย่างมีมารยาท ซูซี่ก็หันไปมองเธอ ทั้งสองคนสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย

ซูซี่มองไปที่ไป๋มู่ชิง ผ่านไปสักครู่ถึงจะพูดว่า“สวัสดีค่ะ ได้ยินเรื่องเธอมาเยอะเลยจากเฉียวเฟิง ไหนจะลูกสาวเธออีก เธอชื่อะไรนะ......”

ซูซี่คิดคิดยังไงก็คิดไม่ออก ไป๋มู่ชิงเลยตอบไปว่า“หว่านชิง”

“ใช่ หว่านชิง แล้วหว่านชิงล่ะ?เธอกลับมากลับพวกเธอด้วยไหม?”

“คุณป้า หนูอยู่นี่ค่ะ”ทันใดนั้นที่บันไดวนก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นมา

ทุกคนหันหน้าไปมองที่ชั้นสอง เห็นเฉียวซือเหิงจูงมือหว่านชิงเดินลงมาจากชั้นสอง

ซูซี่ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปหาทั้งสองคน หลังจากนั้นไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเสียวหว่านชิง มองเธอพูดว่า“หว่านชิงใช่ไหม น่ารักน่าชัง เหมือกับคุณแม่ของหนูมาก”

“ขอบคุณค่ะ คุณป้าก็สวยเหมือนกัน”เสียวหว่านชิงพูดชื่นชม คุณป้าพึ่งจะพูดจบ เวลาที่เจอคุณป้าต้องมีมารยาท ต้องชมด้วย

“เจ้าเด็กนี่พูดเก่งจริงๆเลยนะ ใครสอนมาเนี่ย”ซูซี่ไปขยี้ๆหัวเธอ

“คุณลุงสอนมาค่ะ”เสียวหว่านชิงพูด

ซูซี่กลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองเฉียวซือเหิงและลุกขึ้นมาจากพื้น จูงมือเสียวหว่านชิงพูดว่า“ไปกันเถอะ คุณลุงจะเอาของขวัญให้หนู”

“เฮ้อ......”เฉียวซือเหิงเลยกำหมัดไปปิดปากไอไปสองครั้ง

น่าเสียดายที่เธอก็ยังไม่มองไปที่เขาเลยแม้แต่หางตา จูงมือเสียวหว่านชิงเดินขึ้นไป

เฉียวซือเหิงโมโหแล้วหันตัวเดินตามขึ้นไปที่ชั้นสอง

ตอนอยู่ที่มุมโค้งของระเบียง เขาก็จับแขนของซูซี่ดึงเข้ามาในอ้อมแขน ร่ายกายแนบชิดกับเธอ“ไปก็ตั้งหนึ่งปีแล้ว กลับมาไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเลยเหรอ เธอคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร?”

ซูซี่ก็ดิ้นไปมาเพราะเขากอดเธอเอาไว้แน่น หันกลับมามองเขาและหัวเราะเยาะ“ไม่รู้สึกตัวเหรอ?ฉันมองคุณเป็นอากาศ”

“อากาศ?ซูซี่จะเตือนเธอนะ เธอจะขาดอะไรก็ขาดได้แต่จะขาดอากาศแบบฉันไม่ได้ ทางที่ดีเธอระวังตัวไว้เถอะ ถ้าครั้งนี้ยังกล้าจะหนีอีก......”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด