เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 195

“เขาน่ะนะ......” ท่านประธานจางสังเกตสีหน้าอารมณ์ของไป๋มู่ชิง เวลานี้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเธออยากให้คุณชายเฉินไปหรือไม่อยากกันแน่ ก็เลยเปลี่ยนคำถาม:“เสี่ยวอี ช่วงนี้เจอกับคุณชายเฉินบ่อยไหม?”

“ไม่บ่อยค่ะ เคยไปส่งต้นฉบับอยู่สองครั้ง”

“งั้นก็ใช่แล้ว คนไม่มีเวลาอย่างเขายุ่งขนาดนั้น ทำไมถึงต้องหาโอกาสนัดบริษัทเล็กๆของพวกเราล่ะ?” ท่านประธานจางพูดแล้วหัวเราะออกมา

ไม่ว่าจะยึดตามหลักทำนองคลองธรรมหรือยึดตามนิสัยของหนานกงเฉินล้วนแต่ไม่มีทางเข้าร่วมแน่ จุดนี้ไป๋มู่ชิงก็สามารถเดาได้ หลังจากที่เธอคิดก็พยักหน้า:“งั้นก็ได้ค่ะ”

ตอนบ่ายไป๋มู่ชิงโทรหาเฉียวเฟิงให้เขาไปรับเสียวหว่านชิงตอนเลิกเรียน หลังจากนั้นก็ตามท่านประธานจางกับเสี่ยวเหมิงไปยังบ้านพักวิลล่ากวานจิ่ง

บ้านพักวิลล่ากวานจิ่งห่างจากเขตในเมืองไกลนิดหน่อย ตอนที่ทั้งสามคนไปถึง หนานกงเฉินนั้นอยู่ในห้องก่อนแล้ว เขายืนอยู่ที่หน้าต่างยาวจรดพื้นหันมองไปยังนอกหน้าต่าง และนอกหน้าต่างนั้นเป็นทางเข้าของบ้านพักวิลล่า เขามองไป๋มู่ชิงที่ลงจากรถ มองเธอเดินเข้าไปในโรงแรม ถึงจะหันร่างกลับไปอย่างเงียบๆ

“ไอ้หยา......คุณชายเฉินทำไมมาถึงเร็วขนาดนั้น? ขอโทษนะขอโทษ เสียมารยาทแล้ว......” ท่านประธานจางรีบเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน ยื่นมือจะไปจับมือทั้งสองของหนานกงเฉิน พอยื่นมือก็นึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินเคยชินกับการไม่จับมือกับใคร ก็รีบเก็บมือทั้งสองข้างกลับมา

“ผมนึกว่าคุณไม่ได้มาถึงเร็วขนาดนั้นซะอีก โทษผมที่ไม่ได้ออกมาให้เร็วกว่านี้......” ท่านประธานจางยังคงขอโทษขอโพยอยู่

หนานกงเฉินไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ในทางกลับกันใบหน้าเขายิ้มบางๆอย่างสุขุม:“ท่านประธานจางไม่ต้องโทษตัวเองไปหรอกครับ ผมก็พึ่งถึงเหมือนกัน”

ไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่ข้างประตูพอเห็นหนานกงเฉินก็นิ่งอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเป็นเลขาเหยียนเหรอ? ทำไมเป็นเขาล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

“ว้าว นี่คือคุณชายเฉินที่เขาลือกันเหรอ? หล่อกว่าในนิตยสารอีกอะ” เสี่ยวเหมิงจับมือของไป๋มู่ชิงแกว่งเบาๆ:“พี่อี พี่เห็นหรือยัง? หล่อมากอะ......”

ไป๋มู่ชิงมองขวางไปทางเธออย่างหมดคำพูด อย่าส่งเสียงดังขนาดนั้นจะได้ไหม?

เธอหายใจเข้าลึกๆ ทักทายไปทางหนานกงเฉินอย่างมีมารยาท:“คุณชายเฉิน สวัสดีตอนเย็นค่ะ”

“คุณชายเฉินสวัสดีตอนเย็นค่ะ” เสี่ยวเหมิงเดินไปทางหนานกงเฉินแย่งพูดก่อนไป๋มู่ชิง แล้วยื่นมือไปทางเขา:“ฉันเป็นเลขาของท่านประธานจางค่ะ ฉันชื่อหลิวเหมิง ฉัน......”

“เฮ้อ......” ท่านประธานจางจับมือเล็กๆของเธอที่ยื่นออกไป แล้วยิ้มแหยๆ:“คุณชายเฉินเชิญนั่งเถอะ อาหารน่าจะใกล้มาแล้ว”

พูดจบ เขาหันหน้าไปมองทางไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงรีบทักเชื้อเชิญให้หนานกงเฉินนั่งลง

ท่านประธานจางเห็นว่าเสี่ยวเหมิงหลงใหลในตัวหนานกงเฉิน ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ อีกอย่างสิ่งที่เสี่ยวเหมิงต้องทำคืนนี้คืออยู่เล่นเป็นเพื่อนเขา เขาจับมือของเสี่ยวเหมิงให้นั่งลงข้างๆโต๊ะทานข้าว แล้วให้ไป๋มู่ชิงนั่งลงข้างๆหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ากวาดสายตาไปยังหนานกงเฉิน หลังจากที่ทักให้เขานั่งลง ก็ค่อยๆย้ายเก้าอี้ไปด้านข้างแล้วนั่งลง

ไม่นานอาหารหลากหลายอย่างก็ถูกยกขึ้นมา ทุกอย่างถูกจัดตกแต่งอย่างสวยงามและมีราคา ท่านประธานจางทักบอกให้หนานกงเฉินทานข้าวไปด้วยสั่งให้ไป๋มู่ชิงคีบอาหารให้เขาไปด้วย ไป๋มู่ชิงหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างยิ้มๆ แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะเธอไม่รู้เลยสักนิดว่าหนานกงเฉินชอบทานอะไร

หนานกงเฉินเห็นท่าทางลำบากใจบนใบหน้าของเธอ แต่กลับไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ใช้ตะเกียบยื่นไปที่อาหารจานหนึ่งที่มีซี่โครงหมูตุ๋นไวน์แดงอยู่ แต่ทว่าซี่โครงนั้นลื่นเกินไป บาดแผลบนมือของเธอยังไม่หายดี ซี่โครงนั้นไม่ว่าจะคีบยังไงก็คีบขึ้นมาไม่ได้สักที

“ให้ผมช่วยเองดีกว่า” หนานกงเฉินหยิบตะเกียบที่อยู่ด้านหน้าเขา ค่อยๆคีบซี่โครงวางลงในถ้วยของเธอหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็คีบให้ตัวเองอีกหนึ่งชิ้น

ท่านประธานจางมองพวกเขาทั้งสองคน ในใจก็แอบดีใจ

“คุณชายเฉิน ฉันก็อยากทาน......” เสี่ยวเหมิงยกถ้วยของตัวเองแล้วยื่นไปทางหนานกงเฉิน ยิ้มอย่างคนที่กำลังหลงใหล

รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านประธานจางจู่ๆก็หยุดลง รีบดึงมือของเธอกลับมา:“อย่าไม่มีมารยาทสิ อยากทานก็คีบเอง!”

เสี่ยวเหมิงทำปากงุ้มอย่างน้อยใจ พูดอย่างไม่ยอมแพ้:“ทีพี่อีคุณชายเฉินยังคีบให้เลย”

“มือของเสี่ยวอีได้รับบาดเจ็บ เหมือนกันที่ไหน?”

ไป๋มู่ชิงมองท่าทางของเสี่ยวเหมิงที่ทั้งน้อยใจทั้งโกรธ กลั้นไม่ไหวก็เลยแอบขำ แล้วเอาซี่โครงไปให้ตรงหน้าเธอ:“เสี่ยวเหมิง เอาไปสิ”

ท่านประธานจางหัวเราะแล้วหันไปทางหนานกงเฉินเพื่ออธิบาย:“คุณชายเฉินหัวเราะ ก็ทำให้ผมสบายใจแล้ว”

“มา พวกเรามาดื่มเหล้ากัน” ท่านประธานจางรินใส่แก้วเหล้าแล้วส่งให้หนานกงเฉิน แล้วสั่งไป๋มู่ชิงตามความเคยชิน:“เสี่ยวอี พวกเราดื่มให้คุณชายเฉินหนึ่งแก้ว”

“ขอให้คุณชายเฉินหล่อยิ่งๆขึ้นไปค่ะ” เสี่ยวเหมิงชนแก้วแล้วยิ้มสดใส

“ขอให้คุณชายเฉินกิจการรุ่งเรืองนะคะ” ไป๋มู่ชิงชนแก้วต่อ

“ขอบคุณครับ” หนานกงเฉินยกแก้วขึ้นหันไปทางทุกคน หลังจากนั้นดื่มลงไป

ไป๋มู่ชิงดื่มเหล้าไม่เป็น แค่จิบหนึ่งอึกเท่านั้น

มีท่านประธานจางคอยพูดคุยอยู่ ทำให้บรรยากาศของมื้ออาหารมื้อนี้นับว่าไม่เลว หลังมื้ออาหารเสร็จของหวานก็ถูกส่งขึ้นมา เสี่ยวเหมิงสังเกตบนหน้าขนม ขมวดคิ้วเข้าหากัน:“ทำไมไม่ใช่รสแอปเปิลล่ะ?”

“นี่เป็นรสชาเขียวค่ะ” พนักงานพูดแล้วยิ้มบางๆ

“พี่อี รสที่พี่ชอบหนิ”

“ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณทานเถอะ”

“ฉันก็อิ่มเหมือนกัน” เสี่ยวเหมิงไม่สนใจของหวานหลังมื้ออาหาร แล้วดูเวลาบนข้อมือพูดอย่างตื่นเต้น:“แปดโมงครึ่งมีการแสดงที่ตึกใกล้เคียงนะ ไปกันเถอะ พวกเราไปตอนนี้ยังทันอยู่”

“ฉันว่าอย่าไปเลย พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกนะ” ไป๋มู่ชิงพูดคัดค้าน ดูการแสดงจบอย่างน้อยคงเก้าโมงครึ่ง จากตรงนี้กลับไปที่บ้าน......คงดึกเกินไป

“พี่อี พี่อย่าทำให้หมดสนุกอย่างนี้สิ” เสี่ยวเหมิงจู่ๆก็ยิ้มขึ้นมา:“พี่ไม่อยากดูก็ไม่เป็นไร ฉันจะไปกับคุณชายเฉินแล้วก็ท่านประธานจาง”

“ขอโทษนะครับ ผมไม่สนใจการแสดง” หนานกงเฉินพูด

ท่านประธานจางมองเขากับไป๋มู่ชิง รู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ก็เลยดึงเสี่ยวเหมิง:“เสี่ยวเหมิง ให้ฉันไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”

“ไม่สิ ฉันอยากไปกับคุณชายเฉิน”

“คุณชายเฉินเขาก็บอกแล้วว่าไม่สนใจการแสดง” ท่านประธานจางออกแรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน หันหน้าไปทางหนานกงเฉิน:“คุณชายเฉิน ขออภัยที่ต้องขอตัวไปก่อนนะ แล้วก็เสี่ยวอี คอยรับรองคุณชายเฉินแทนฉันด้วย”

ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงตอบรับกลับมา ท่านประธานจางก็พาเสี่ยวเหมิงออกไปจากห้องอาหาร

พอขาดท่านประธานจางที่คอยพูดคุย ในห้องอาหารจู่ๆก็เงียบลง ไป๋มู่ชิงถอนหายใจเบาๆ เริ่มพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบนี้:“เสี่ยวเหมิงก็แบบนี้แหละค่ะ นิสัยค่อนข้างเปิดเผยแล้วก็มีชีวิตชีวาด้วย”

หนานกงเฉินเหมือนกับไม่ได้สนใจหัวข้อการสนทนานี้ กลับก้มลงสังเกตมือขวาของเธอ:“มือยังเจ็บเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงเก็บมือของตัวเองกลับเข้าไป ส่ายหน้า:“ไม่เจ็บอะไรแล้วค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ

แล้วรีบหยิบตะเกียบคีบขนมชิ้นนั้นมาวางไว้ตรงหน้าเธอ ถามว่า:“คุณชอบขนมรสชาเขียวเหรอ?”

“ใช่ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงหยิบขนมมากัดคำนึง

“บังเอิญจริง ผมก็ชอบเหมือนกัน” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ น้ำเสียงมีความหยอกล้อ

ขนาดขนมรสชาเขียวก็ยังถูกเตรียมไว้ การแสดงฉากนี้ไม่เลวจริงๆ!

ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ ยิ้มบางๆ:“ขนมที่นี่รสชาติไม่เลวเลย คุณชายเฉินน่าจะชอบนะคะ”

“ดูแล้วไม่เลวจริงๆด้วย” หนานกงเฉินหยิบขนมวางไว้ใกล้ปากแล้วกัดคำนึง ทานอย่างช้าๆ เหมือนว่ากำลังรอว่าเธอจะทำอะไรต่อไป

ไป๋มู่ชิงทานขนมเสร็จ ใช้ทิชชู่เช็ดมือ แล้วแอบดูเวลาบนข้อมือ พูดอย่างลังเล:“คุณชายเฉิน ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะค่ะ จะได้กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย”

“แยกย้าย?”

“อืม ได้ไหมคะ?”

“ได้สิ”

“งั้นฉันไปก่อนนะคะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วคว้ากระเป๋าหันไปทางเขาเพื่อคำนับขอบคุณ แล้วหมุนร่างเดินออกไปทางประตู

นี่เธอ......จะไปอย่างนี้จริงๆเหรอ

หนานกงเฉินจ้องไปที่ประตูที่ถูกเธอปิด เงียบลงสักพัก แล้วค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าไปที่ด้านหน้าของหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น

มองทะลุกระจกหน้าต่างลงไป เขาเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังอยู่ที่ปากทางโบกรถแท็กซี่อยู่ ไม่ง่ายเลยที่จะรอรถมาสักคันแต่กลับถูกผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งแย่งไปก่อน เธอทำได้แค่ยืนรออยู่ที่เดิมมองรถผ่านไป

รอแท็กซี่ที่นี่เดิมทีก็ยากอยู่แล้ว เพราะที่นี่ห่างจากเขตตัวเมืองค่อนข้างไกล ถนนก็ไม่ได้เดินง่ายขนาดนั้น

ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ที่ปากทางมองนาฬิกาหลายครั้ง รีบจนจิตใจกระวนกระวาย เมื่อกี้โทรหาท่านประธานจางกับเสี่ยวเหมิง ท่านประธานจางกลับบอกว่าจะพักกับเสี่ยวเหมิงที่นี่ ให้เธอเรียกรถแท็กซี่กลับไปเอง เจ้านายที่โหดร้ายไม่มีความน่าเชื่อถือแบบนี้ เป็นโชคร้ายของเธอจริงๆ

จู่ๆก็มีรถสีเงินมาจอดตรงหน้าเธอ หน้าต่างรถถูกลดระดับลง ทำให้เห็นผู้ชายรูปลักษณ์เถื่อนไม่กี่คนที่เหมือนเมาหนักทักทายมายังเธอ:“น้องสาวคนสวย กลับเขตตัวเมืองไหม? รถพวกเราว่างหนึ่งที่พอดีเหลือไว้ให้ได้นะ?”

ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ:“ไม่ต้องล่ะ ขอบคุณ”

“มาเถอะ......ฉันเห็นเธอรอที่นี่นานมากแล้ว”

“น้องสาวคนสวย......ที่นี่กว่าจะรอรถแท็กซี่มาคันนึงยากมาก อย่ารอเลย......”

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง!” ไป๋มู่ชิงถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าวอย่างรังเกียจ

จู่ๆด้านหลังก็มีเสียงแตรของรถดังขึ้นมาต่อเนื่อง ผู้ชายพวกนั้นมองไปด้านหลัง พอเห็นรถแจ๊สคันหนึ่งที่ดูมีอำนาจ ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีฐานะ และพวกเขาก็กำลังขวางทางคนอื่นอยู่พอดี ทำได้แค่ขับออกไปอย่างคับแค้นใจ

เห็นว่าพวกเขาไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ถอนหายใจ

รถแจ๊สค่อยๆจอดลงตรงหน้าเธอ เงาของหนานกงเฉินสะท้อนเข้ามาในสายตาของเธอ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่รถและผู้ชายตรงหน้า จู่ๆในสมองก็ปรากฏภาพขึ้นมาเลือนลาง ในความทรงจำเหมือนฉากนี้เคยเกิดขึ้นแล้วครั้งนึง ในช่วงกลางคืนที่มืดสลัว เธอถูกกลุ่มผู้ชายน่ารังเกียจลวนลาม หลังจากนั้นก็ถูกผู้ชายคนหนึ่งที่ขับรถแจ๊สสีดำมาช่วยไว้

ภาพฉากนี้คุ้นมาก อบอุ่นมาก!

“คุณหนูอี รถของผมคุณก็ไม่กล้าขึ้นเหรอ?” หนานกงเฉินชำเลืองเธอแล้วถาม

ไป๋มู่ชิงได้สติกลับมา รีบส่ายหน้า:“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันรอท่านประธานจาง ไม่นานเขาก็คงออกมา”

นั่งรถของเขา? นั่นก็เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกัน ถ้าเกิดภรรยาของเขาติดตั้งพวกกล้องหรือเครื่องดักฟังไว้บนรถ งั้นเธอจะยังมีทางรอดอยู่ไหม? ยังไงก็ตามตอนนี้เธอต้องอยู่ห่างจากเขาให้มากที่สุด พยายามสร้างความลำบากให้คนอื่นให้น้อยที่สุด

หนานกงเฉินไม่ได้ขับรถออกไป แต่กลับลงจากรถ จับที่ประตูรถมองเธอแล้วถาม:“คุณหนูอี ผมจำได้ว่าเมื่อกี้คุณเหมือนกับไม่ได้ดื่มเหล้า?”

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ?”

“งั้นคุณก็ควรจะเข้าใจได้แล้วว่าคืนนี้ท่านประธานจางไม่ได้สนใจคุณเลย คุณจะรออยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่?”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

“ขึ้นรถเถอะ ถ้ายังเขินอายอีกคงปลอมอย่างเห็นได้ชัด” หนานกงเฉินกลับเข้าไปนั่งในรถอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าประโยคสุดท้ายที่เขาพูดหมายถึงอะไร แต่ก็ดึงเปิดประตูรถแล้วขึ้นไปนั่ง

หนานกงเฉิงเริ่มออกรถ ขับไปยังเขตตัวเมือง

ที่นี่เป็นเขตระหว่างภูเขา รถขับอยู่บนถนนที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวค่อนข้างน่ากลัว ไป๋มู่ชิงจับที่จับที่อยู่เหนือศีรษะเธอให้แน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วเตือนหนึ่งประโยค:“ขับช้าหน่อย ถนนแบบนี้อันตรายนะคะ”

หนานกงเฉินลดความเร็วลง แต่ทว่าไม่ใช่เพราะเธอเตือน เพราะว่าข้างหน้ารถติดต่างหาก

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” ไป๋มู่ชิงยืดคอดูด้านหน้า โชคร้ายจริงๆ เวลานี้รถยังติดอยู่อีก

“คาดว่าด้านหน้าคงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์”

“งั้นทำยังไงดีคะ?”

หนานกงเฉินหันหน้ามามองเธอ:“คุณรีบเหรอ?”

“แน่สิคะ ครอบครัวฉันยังรอให้ฉันกลับไปอยู่นะ” ไป๋มู่ชิงยังคงยืดคอดูรถที่ติดอยู่ด้านหน้า

หนานกงเฉินมองเธอ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก

เวลานี้ มือถือของไป๋มู่ชิงก็ดังขึ้น เธอรีบหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าแล้วกดรับสาย ปลายสายโทรศัพท์เป็นเสียงของเสียวหว่านชิงที่ดังออกมา:“แม่ หนูใกล้จะหลับแล้ว เมื่อไหร่แม่จะกลับมาอะ”

ไป๋มู่ชิงมองคนตรงหน้า พูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด:“ลูกรัก ขอโทษนะ ไม่นานแม่ก็จะกลับไปแล้ว ลูกกับพ่อนอนก่อนดีไหม?”

“แต่วันนี้หนูยังไม่ได้เจอแม่เลยนะ หนูคิดถึงแม่”

“แม่รู้ แม่ก็คิดถึงหว่านชิงเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างอ่อนโยน:“แต่ตอนนี้ฝั่งแม่รถติดอยู่ ไม่รู้ว่าจะกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ถ้าลูกไม่นอนตอนนี้พรุ่งนี้จะตื่นไปเรียนไม่ไหวนะ”

“งั้นก็ได้ งั้นราตรีสวัสดิ์ค่ะแม่”

“ราตรีสวัสดิ์จ่ะ ลูกรัก”

“แม่ พ่ออยากจะคุยกับแม่” เสียวหว่านชิงเอาโทรศัพท์ให้เฉียวเฟิง เฉียวเฟิงรีบถามอย่างเป็นห่วง:“ที่รัก เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ? รถติด?”

“อืม ถนนเส้นที่อยู่ตรงบ้านพักวิลล่ากวานจิ่งรถติดหนักมากค่ะ”

“คุณอยู่กับใคร? ให้ผมไปรับคุณไหม?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ รถติดขนาดนี้คุณมาก็ไม่มีประโยชน์อะไร วางใจเถอะ ฉันอยู่กับเพื่อน” ไป๋มู่ชิงเหลือบตาไปมองหนานกงเฉิน แล้วรีบยิ้มบางๆ:“คุณสามี คุณพาหว่านชิงเข้านอนเถอะ อย่ารอฉันเลย”

“ได้ งั้นคุณระวังตัวด้วยล่ะ มีเรื่องอะไรให้โทรหาผมนะ”

“รู้แล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดเสียงอ่อนโยน:“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงวางสายโทรศัพท์ ก็ได้รับรูปเสียวหว่านชิงส่งจูบมาทางโทรศัพท์ ท่าทางน่ารักของเขานั้นทำให้ไป๋มู่ชิงหัวเราะออกมา

หนานกงเฉินที่ได้ยินเสียงหัวเราะของเธอข้างๆก็หันมามองเธอ แล้วเห็นรูปของหว่านชิงบนหน้าจอมือถือของเธอพอดี

พอได้ฟังบทสนทนาของเธอกับสามีแล้วก็ลูกสาวที่สนิทสนมและอบอุ่นแล้ว เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเธอ ในใจของหนานกงเฉินกลับรู้สึกอึดอัด แล้วหัวเราะเยาะตัวเองในใจ

เดิมทีคิดว่าเธอกับท่านประธานจางเป็นพวกเดียวกัน ตั้งใจเชิญเขามาทานข้าวก็เพื่อบริษัทหนานกงกรุ๊ป ตั้งใจหาโอกาสให้อยู่กับเขาตามลำพัง แม้แต่ฉากเมื่อกี้ที่เธอยืนรอรถที่ปากทาง เขาก็ยังคิดว่าเป็นแผนที่ถูกเตรียมการไว้แล้ว

มีแค่เวลานี้ ตอนนี้เธออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเรียกผู้ชายคนอื่นว่า‘คุณสามี’อย่างสนิทสนม ตอนที่เธอบอกให้ลูกสาวเข้านอนอย่างอ่อนโยน เขาถึงจะปล่อยใจ ยอมรับความจริงเรื่องที่เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว

ดูแล้วเธอเป็นผู้เสียหาย เด็กโง่ถูกเจ้านายขายก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าเกิดอะไรขึ้น!

ไป๋มู่ชิงเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังมองตัวเองอยู่ เธอยิ้มแห้งทำตัวไม่ถูก:“หว่านชิงจะรอฉันกลับไปนอนให้ได้”

“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับสามีคุณดีมากเลยเหรอ?” หนานกงเฉินถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว

ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป มองเขาอย่างปะรหลาดใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา......ยังไม่ถึงจุดที่สามารถแบ่งปันเรื่องส่วนตัวได้หรือเปล่านะ?

“ไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปอย่างนั้น” หนานกงเฉินปรับสายตาให้กลับมายังด้านหน้ารถ ในใจรู้สึกเสียใจที่ตัวเองพลั้งปากพูดไป จะถามเรื่องนี้ทำไม? คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้เธอตอบเองอีกรอบ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีของเธอดีมาก?

ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสามีของเธอดีมากแล้วยังไงต่อ? เกี่ยวอะไรกับเขา?

เธอไม่ใช่ไป๋มู่ชิงจริงๆสักหน่อย!

“ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดีก็คงไม่แต่งงานกันหรอกค่ะ สามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ถ้าไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง?” สุดท้ายเธอก็ตอบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด