เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 198

สรุปบท บทที่ 198 ตื่นตระหนกตกใจ: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

บทที่ 198 ตื่นตระหนกตกใจ – ตอนที่ต้องอ่านของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ตอนนี้ของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายInternetทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 198 ตื่นตระหนกตกใจ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เลขาเหยียนเดินมุ่งไปยังห้องประชุมเล็กเพื่อพบไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงไม่ได้กล่าวอันใด เลขาเหยียนก็ไม่ได้ถามโดยปริยาย

ทั้งสองคนสนทนากันเรื่องเกี่ยวกับงานราว ๆ ครึ่งชั่วโมง จากนั้นไป๋มู่ชิงก็ลุกขึ้นขอตัวลา

“ลาก่อนค่ะคุณหนูอี” เลขาเหยียนส่งเธอออกจากห้องประชุม

ไป๋มู่ชิงกล่าวขอบคุณเธอ จากนั้นก็เดินมุ่งไปที่ลิฟต์

ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่เชื่อมระหว่างห้องประชุมเล็กและลิฟต์ เธอสาวเท้าเดินหน้าไปพลางก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่ในมือไป ราวกับไม่ได้สัมผัสว่าหนานกงเฉินกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ

จนกระทั่งเธอชนเข้ากับร่างของเขา ทำให้อึ้งไปชั่วขณะ เธอเงยหน้าขึ้นเห็นหนานกงเฉินและได้ถอยหลังไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็กล่าวทักทายอย่างสุภาพว่า : “สวัสดีค่ะ คุณชายเฉิน”

“จะกลับแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินมองเอกสารที่อยู่ในมือของเธอ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ค่ะ”

“แผลของหว่านชิงดีขึ้นบ้างหรือยัง ? ทำไมถึงไม่อยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอ ?”

“ขอบคุณคุณชายเฉินมากนะคะที่เป็นห่วง เดิมทีแผลของเธอก็ไม่ได้สาหัสมาก วันนี้พ่อของเธออยู่เป็นเพื่อนค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า

เขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดตนถึงเดินมาตรงนี้ได้ เพียงเพราะต้องการทราบเรื่องของเสียวหว่านชิงอย่างนั้นหรือ ?

“คุณชายเฉินล่ะคะ ? แผลบนมือหายบ้างหรือยังคะ ?” สายตาของไป๋มู่ชิงมองต่ำลงมายังหลังมือของเขา

เขาฉีกผ้าก๊อซบนหลังมือออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บาดแผลยาว ๆ เส้นนั้นจึงปรากฏออกมาชัดเจน ถึงแม้ว่าขนาดของแผลจะไม่ใหญ่มากทว่าเห็นแล้วก็แลดูน่าสงสาร ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นจ้องเขาอีกครั้ง : “ทำไมคุณถึงไม่พันแผลไว้ล่ะคะ ? ทำอย่างนี้เชื้อโรคจะเข้ามาได้ง่ายนะคะ”

หนานกงเฉินยกมือของตนขึ้นมามองดู พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด : “ไม่เป็นไร การที่บนมือของชายหนุ่มมีผ้าก๊อซพันอยู่มันดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะงั้นเลยเอาออกน่ะ”

“ต้องพันไว้ก่อนสองวันนะคะ”

“ขอบใจนะ ผมจะระวัง”

เมื่อเขาพูดมาเช่นนั้น ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกถึงความเคอะเขิน รู้สึกราวกับว่าตนเองพูดมากไปแล้ว

ดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องบอกลาเขาและหันหลังหมายจะเดินออกไป ครั้นขณะที่กำลังจะไปนั้นอยู่ ๆ ภายในหัวก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างออก เธอจึงหันหน้ากลับมาแล้วถามว่า : “คุณชายเฉิน ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ……คือว่า……”

เมื่อเห็นว่าเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก หนานกงเฉินจึงพูดต่อประโยคเธอไปว่า : “แหวนใช่ไหม ?”

“ค่ะ ขอโทษจริง ๆ นะคะ……”

“ไม่มีอะไรต้องขอโทษเลย” หนานกงเฉินกล่าว : “ผมให้คนไปหาในห้องทำงานแล้วแต่ไม่พบร่องรอยของแหวนเลย ถามพนักงานทำความสะอาดที่เข้าเวรวันนั้นแล้ว เธอก็บอกว่าไม่เห็น”

“อ้อ” บนใบหน้าของไป๋มู่ชิงปรากฏเป็นความผิดหวัง จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”

“แต่ว่าคุณวางใจได้ ผมจะช่วยคุณตามหาต่อเอง”

“หาไม่เจอก็ช่างเถอะค่ะ ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นหรอกค่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่อยากรบกวนผู้อื่นเพียงเพื่อตามหาแหวนที่ไม่มีราคาวงเดียวเช่นนี้

เพียงแค่ความผิดหวังที่ซ่อนอยู่นัยน์ตาของเธอนั้นหนานกงเฉินมองเห็นอย่างชัดเจน เมื่อเห็นเงาเธอเดินจากไปตรงทางเลี้ยวเขตที่ทำงาน เขาถึงจะเดินกลับห้องทำงานของตนเอง

ช่วงเวลาอาหารเย็น จูจูเห็นหนานกงเฉินที่เพิ่งรับประทานอิ่มแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที เธอจึงลุกขึ้นตามแล้วถามว่า : “เฉิน วันนี้ที่โรงละครใหญ่มีการแสดงเปียโน ไปฟังเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ ?”

หนานกงเฉินมองหน้าเธอจากนั้นก็กล่าวขึ้นสีหน้านิ่งเรียบ : “ฉันไม่สนใจเปียโน เธอให้เสี่ยวหยวนไปเป็นเพื่อนเถอะ”

เสี่ยวหยวนอีกแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ให้เสี่ยวหยวนไปเป็นเพื่อนเธอ จูจูคิดอยู่ในใจด้วยความโกรธเคืองและน้อยอกน้อยใจ

ผู่เหลียนเหยาที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นจึงยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “พี่ไม่สนใจการวาดรูปเหมือนกันนี่ แต่ก็ยังไปดูนิทรรศการภาพวาดกับพี่สะใภ้คนก่อนบ่อย ๆ เลยไม่ใช่เหรอคะ ?”

“จริงด้วย……” จูจูมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน

“ฉันบอกแล้วไง จากนี้ไปห้ามพูดเรื่องมู่ชิงต่อหน้าฉัน” หนานกงเฉินพูดขึ้นน้ำเสียงเย็นชา ไม่ทราบว่าตำหนิผู่เหลียนเหยาหรือจูจูกันแน่

ทว่าโทสะของเขายังคงทำให้จูจูหวาดกลัวเหมือนเคย เธอจึงคลายสองมือที่จับแขนเขาไว้ออก

“มีอะไรกัน ?” คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าทั้งสองคน จากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปนไปด้วยตำหนิติเตียน : “เพิ่งดีกันได้ไม่กี่วันทำไมถึงทะเลาะกันอีกแล้ว ? เฉินหลานไปเป็นเพื่อนเธอสิ ถือโอกาสไปสงบจิตสงบใจด้วย”

หนานกงเฉินรู้อยู่แล้วว่าเหตุใดจูจูถึงพูดต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ก็คงเป็นเพราะอยากให้คุณผู้หญิงช่วยพูดเท่านั้น ทว่ายิ่งเธอใช้เล่ห์กลเช่นนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกต่อต้าน ยิ่งไม่อยากไปเป็นเพื่อนเธอเข้าไปใหญ่ ผ่านมาชั่วครู่เขาจึงพูดขึ้นมาหน้านิ่ง : “คุณย่าครับ เรื่องของความรู้สึก ผมรู้ขอบเขตดี”

“แกมีขอบเขตอะไร ?” คุณผู้หญิงแย้งขึ้นมา

“ตอนนั้นที่ผมรักจูจูคุณย่าจะห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่ ตอนนี้ผมไม่รักเธอแล้ว คุณย่ามาจับคู่ให้อีกก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี” เมื่อพูดจบเขาจึงหันหลังแล้วมุ่งออกไปจากร้านอาหาร

ครั้นคำพูดของเขากระทบจิตใจของจูจูเป็นอย่างยิ่ง เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาไหลรินอาบแก้ม

คุณผู้หญิงละสายตาจากเงาหลังของหนานกงเฉิน แล้วมองหน้าเธอ : “เป็นอะไรไป ? เธอไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจอีกแล้วล่ะ ?”

นิสัยส่วนตัวของหนานกงเฉินคุณผู้หญิงทราบดีเต็มอก เพียงแค่ไม่ไปยั่วโมโหเขา เขาก็ไม่มีทางไร้เหตุผลกับตนได้

จูจูพูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความน้อยใจ : “เฉินซ่อนผู้หญิงคนอื่นด้านนอกค่ะ หนูก็แค่ไปบอกตักเตือนยัยนั่น เฉินก็เลยไม่พอใจค่ะ คุณย่าคะหนูทำแบบนั้นมันผิดตรงไหนเหรอคะ ? หรือว่าในฐานะที่เป็นภรรยาของเฉินแม้แต่การปกป้องสิทธิ์การแต่งงานของตัวเองก็ไม่มีเหรอคะ ?”

เดิมคิดว่าคุณผู้หญิงจะออกตัวแทนตน ช่วยตน ครั้นคิดไม่ถึงว่าเมื่อคุณผู้หญิงได้ยินดังนั้นกลับกลอกตาแล้วพูดว่า : “ฉันนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เนี่ยนะ”

“คุณย่า……”

“จูจูอย่าว่าย่าพูดจาไม่น่าฟังเลยนะ แต่เธอเคยเห็นเศรษฐีคนไหนรักเดียวใจเดียวกับเมียหรือเปล่าล่ะ ? เขาจะเลี้ยงผู้หญิงอยู่ข้างนอกก็ให้เขาเลี้ยงไปสิ แค่เขาให้เธอกินอิ่มมีใช้ ไม่ตีไม่ด่าเธอก็พอ เธอก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็พอแล้ว”

“จริงด้วย” ผู่เหลียนเหยาพูดเสริม : “ผู้ชายนี่เนอะ พี่อย่าไปอะไรกับเขามากเลย ยิ่งพี่รัดเขาไว้แน่นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอยากออกไปจากพี่มากเท่านั้น ส่วนนี้พี่ยังทำไม่สู้ไป๋มู่ชิงเลย”

“ถ้าเซิ่งเคอเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอก เธอก็จะคิดอย่างนี้ไหม ?” จูจูพูดโต้เถียง

ผู่เหลียนเหย่าเงียบกับคำถามของเธอ

เมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือ จูจูจึงเดินขึ้นไปชั้นบนด้วยความโมโห

เธอยืนอยู่หน้าห้องนอนของหนานกงเฉิน ภายในใจยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ครั้นกลับยิ่งคิดก็ยิ่งเอือมละอา ถึงอย่างไรทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นผลจากสิ่งที่เธอก่อขึ้นเองทั้งนั้น

เมื่อไป๋มู่ชิงได้รับข่าวสารว่าจะให้เธอไปทำงานต่างจังหวัด ณ เมืองเยว่ จึงโยนเอกสารที่อยู่ในมือลงแล้วบึ่งไปทางห้องทำงานของประธานจางทันที ประธานจางกำลังโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นเธอเข้ามาจึงยกมือขึ้นบอกให้เธอรอสักครู่ หลังจากที่สนทนาทางโทรศัพท์นานสองนานแล้วก็วางสายลง

“มีอะไร ? ทำไมดูร้อนรนใจเหมือนไฟเผาแบบนี้” ประธานจางมองหน้าเธอแล้วถามขึ้น

“ท่านประธานจางคะ ทำไมต้องให้ฉันไปทำงานต่างจังหวัดที่เมืองเยว่ด้วยคะ ? ฉันไปไม่ได้ค่ะ ฉันต้องดูแลสามีและลูกของฉันที่บ้าน” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยความร้อนรนใจ

“ไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเอง ให้พ่อเขาดูแลลูกไปสิ”

“ไม่ได้ค่ะ !”

“นี่คืองานและเป็นคำสั่งจากหัวหน้า”

“แต่คนที่บริษัทเยอะขนาดนี้ทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะคะ ?”

“เพราะว่าเธอคือพนักงานคนใหม่ไงล่ะ งานสัมมนาอุตสาหกรรมประจำปีจะช่วยยกระดับและช่วยเหลือพนักงานใหม่ได้อย่างดี บริษัทเล็ก ๆ อย่างพวกเรายังไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมเลย นี่ผมจ่ายเงินเพื่อซื้อโอกาสนี้มาเลยนะ เพราะงั้น……” ท่านประธานจางเดินอ้อมมาจากโต๊ะ พร้อมทั้งยกมือขึ้นตบไปยังไหล่ของเธอเบา ๆ : “โอกาสทองที่หายากแบบนี้ ต้องรักษาไว้ให้ดีนะ และตั๋วเครื่องบินผมจองไว้ให้คุณเรียบร้อยแล้ว”

“อะไรนะคะ ?” ไป๋มู่ชิงโมโหจัด : “ทำไมคุณถึงจองตั๋วทั้งที่ยังไม่ถามฉันเลยคะ ?”

“ต้องถามด้วยเหรอ ? ผมคิดว่าคุณจะต้องไปแน่นอน และควรจะไปด้วย” ประธานจางมองหน้าเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง : “เสี่ยวอี ถ้าออกมาทำงานก็จะต้องเสียสละเรื่องทางบ้านหน่อยสิ จะไม่เสียสละเลยสักนิดมันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ เอาล่ะ เชื่อฟังผม ไปเป็นเพื่อนผมแค่สองวันอย่างว่าง่ายเถอะ”

ประธานจางไม่ได้โกหกเธอแต่อย่างใด โอกาสครั้งนี้เขาเป็นผู้ใช้เงินติดสินบนซื้อมา เพียงแค่จุดประสงค์ของเขานั้นมิใช่ให้ไป๋มู่ชิงไปยกระดับความรู้ทางสายงานแต่อย่างใด ครั้นเขามีวัตถุประสงค์อย่างอื่น

ไป๋มู่ชิงไร้ซึ่งคำพูดที่จะตอบโต้กลับ จึงทำได้เพียงเดินออกจากห้องทำงานเขาไปด้วยความไม่พอใจ

ช่วงเวลาค่ำขณะที่ไป๋มู่ชิงบอกเฉียวเฟิงเรื่องที่ต้องไปทำงานต่างจังหวัดแล้วนั้น น้ำเสียงและสีหน้าของเธอยังคงมีน้ำโหเช่นเคย

ครั้นเฉียวเฟิงกลับเป็นผู้พูดปลอบใจเธอ : “หัวหน้าคุณพูดถูกนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะดูแลครบทั้งครอบครัวและงาน จะต้องเสียสละบางอย่างเป็นบางครั้ง”

“ตอนเข้ามาทำงานใหม่ ๆ ฉันบอกเขาไว้ชัดเจนแล้วว่า จะไม่ทำงานต่างจังหวัดและไม่ทำโอที เขาพูดจากลับกลอก” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเคือง

เฉียวเฟิงยิ้มขึ้นมา : “หรือไม่ คุณลาออกเลยดีไหม ?”

“นี่มัน……มันไม่ค่อยดีมั้งคะ ?” น้ำเสียงของไป๋มู่ชิงอ่อนลงเล็กน้อย : “พูดจริง ๆ นะคะ เวลาทำงานของบริษัทนี้เหมาะกับฉันมาก คงหาที่ที่มันเหมาะสมแบบนี้ได้ยากแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ฉันเลือกทำงานที่นี่”

“เพราะฉะนั้น คุณก็ไปอย่างสบายใจเถอะครับ ถึงยังไงก็ไปแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนเอง”

“ก็ฉันเป็นห่วงคุณกับเสียวหว่านชิงนี่นา” ไป๋มู่ชิงเหลือบมองหว่านชิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงน้อย ๆ

แผลบนหน้าผากของเธอเริ่มตกสะเก็ดแล้ว เวลานี้กำลังนอนหลับพริ้มฝันหวานอยู่

เฉียวเฟิงโอบเธอไว้ จากนั้นก็พูดปลอบใจด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมจะดูแลหว่านชิงเป็นอย่างดี”

“จริงเหรอคะ ?”

“ไม่เชื่อผมเหรอ ?”

“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ”

“มันต้องอย่างนี้สิ” เฉียวเฟิงลูบเส้นผมของเธอ : “ถือซะว่าเป็นโอกาสดีในการให้ผมพิสูจน์ตัวเองนะ ผมจะให้คุณเห็นว่าผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนอย่างที่คุณคิด”

“ฉันรู้ว่าคุณจะดูแลหว่านชิงเป็นอย่างดี ฉันก็แค่สงสารคุณไงคะ” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้นพลางแนบอิงเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

“การที่คุณมีความหวังดีแบบนี้ผมก็ดีใจ” เฉียวเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยอกล้อ : “แต่ว่าเมืองเยว่นั่นวุ่นวายอยู่นะ คุณจะต้องระมัดระวังตัวด้วย”

“ฉันจะระวังนะคะ”

“และก็……อย่าให้มีผู้ชายชั่ว ๆ คนไหนหลอกล่อคุณไปด้วยล่ะ”

“คุณชายเฉียวฉันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง ?” ไป๋มู่ชิงทำเสียง ‘ชิ’ พร้อมยิ้มขึ้นมา

“ใครจะไปรู้ล่ะ ? ผู้ชายชั่วบนโลกนี้มีเยอะขนาดนั้น”

“แต่ฉันมีสามีมีลูกแล้วนะคะ มีภูมิคุ้มกันผู้ชายชั่วตั้งนานแล้ว”

“จริงเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เฉียวเฟิงจึงฉีกยิ้มขึ้นด้วยความโล่งอก : “ถ้างั้นผมก็สบายใจแล้ว”

วันต่อมา ไป๋มู่ชิงโดยสารเครื่องบินมุ่งไปยังเมืองเยว่กับประธานจาง และข้างกายของประธานจางมีเสียวเหมิงติดแจอยู่ตลอด

เมื่อมีเสี่ยวเหมิงไปด้วยกัน ไป๋มู่ชิงจึงถือว่ามีเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยหนึ่งคน อีกทั้งยังมีอิสระเป็นของตัวเองมากกว่าต้องอยู่กับประธานจางสองต่อสองอีก

การโดยสารเครื่องบินมายังเมืองเยว่นั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกว่า ช่วงบ่ายไป๋มู่ชิงเข้าร่วมงานสัมมนาอุตสาหกรรมที่ว่ามีประโยชน์กับตนเอง และไม่ยอมรับไม่ได้ว่างานสัมมนานี้มีประโยชน์ต่อเธออย่างที่ว่าจริง ๆ อย่างน้อยก็ทำให้เธอเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ด้านอุตสาหกรรมที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น

หลังจากที่งานสัมมนาจบลง ไป๋มู่ชิงกลับมาโรงแรมเตรียมตัวรายงานเกี่ยวกับงานสมมนาช่วงบ่ายที่เธอไปเข้าร่วมให้ประธานจางฟัง เธอเคาะประตูห้องชุดของโรงแรม เคาะนานสองหนานกลับไม่มีคนมาเปิดประตูเลย ดังนั้นเธอจึงแนบหูกับประตู

เธอได้ยินเสียงประธานจางกำลังโมโหอยู่ ระหว่างนั้นก็ยังมีเสียงที่น้อยอกน้อยใจของเสี่ยวเหมิงดังแทรกเข้ามาด้วย เธอเป็นห่วงว่าพวกเขาจะเป็นอะไรจึงตะโกนเสียงดังขึ้นว่า : “ท่านประธานจางคะ โอเคกันไหมคะ ?”

และในที่สุดประตูของห้องชุดก็เปิดออก เป็นประธานจางที่มาเปิดประตูด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล

“ท่านประธานจางคะ พวกคุณเป็นอะไรกันเหรอคะ ?” เธอมองหน้าประธานจาง พร้อมทั้งมองเสี่ยวเหมิงที่มือหนึ่งพยุงโซฟาเอาไว้ อีกมือหนึ่งกุมท้องเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน เธอสาวเท้าเดินเข้าไปหาและพยุงแขนข้างหนึ่งของเสี่ยวเหมิงเอาไว้พร้อมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า : “เสี่ยวเหมิง เป็นอะไรไป ? ไม่สบายเหรอ ?”

เสี่ยวเหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าแดงก่ำ พลางมองหน้าประธานจางด้วยความรู้สึกผิด

ประธานจางหันหลังเดินเข้ามาพร้อมพูดขึ้นด้วยใบหน้าโมโห : “ผมบอกเขาแล้วว่าตอนบ่ายจะต้องไปเข้าร่วมงานเลี้ยงที่สำคัญ บอกเขาว่าห้ามกินของข้างทางให้มาก แต่เขาดันยืนกรานว่าตัวเองสลายพิษได้ ตอนนี้งามหน้าไหมล่ะ อยู่ห่างจากห้องน้ำไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ขายหน้าชาวบ้านชาวเมืองเขาหมด”

“ขอโทษค่ะ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย” เสี่ยวเหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“งั้นเธอว่าฉันจะเอายังไงดีคราวนี้ ? งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว อยู่ ๆ เธอก็มาเป็นแบบนี้จะให้ฉันไปหาผู้หญิงเดินควงเข้างานได้จากไหน ?”

เสี่ยวเหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันหน้ามองไป๋มู่ชิง พร้อมทั้งหัวเราะแห้ง ๆ : “ให้พี่อีไปแทนฉันก็ได้นี่คะ ถึงยังไงพี่อีก็สวยไม่ทำให้คุณขายหน้าหรอกค่ะ” เมื่อพูดจบเธอเจ็บท้องจนร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมา สองมือกุมท้องแล้วรีบวิ่งพุ่งไปยังห้องน้ำทันที

“ดูสิ ดูสิ……ฉันเลี้ยงเธอให้มันได้อะไรดี……!” ประธานจางชี้นิ้วไปยังห้องน้ำ พลางเดินไปเดินมาด้วยความกระวนกระวายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า : “โชคดีที่เสี่ยวอีมากับเราด้วย ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการเธอให้เข็ดหลาบ ครั้งหน้าจะไปไหนก็จะไม่พาเธอมาด้วยอีกแน่……”

ไป๋มู่ชิงอ้าปากค้าง เธอไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม ? ประธานจางจะให้เธอไปออกงานกับเขางั้นหรือ ?

แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะไม่อยากออกงานในฐานะคู่ควงของประธานจาง ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยวเหมิงไม่สามารถปลีกตัวออกจากห้องน้ำได้นั้น เธอไม่มีช่องว่างในการปฏิเสธเลยแม้แต่นิด แม้แต่คำพูดปฏิเสธก็ไม่ได้พูดออกมา ประธานจางโยนชุดราตรีของเสี่ยวเหมิงให้เธอและให้ไปเปลี่ยนอย่างรวดเร็วที่สุด

ช่วงค่ำเวลาทุ่มตรง ไป๋มู่ชิงและประธานจางมายังบริเวณภายในห้องโถงงานเลี้ยงของโรงแรมแห่งหนึ่งตรงเวลา เธอไม่ทราบด้วยซ้ำว่านี่คืองานเลี้ยงแบบไหนกันแน่

เธอแค่ได้ยินที่ประธานจางบอกมาว่านี่ถือเป็นงานเลี้ยงส่วนตัวของสังคมชั้นสูง และประธานจางกับผู้จัดงานเลี้ยงนี้เป็นเพื่อนสมัยประถมกัน มิน่าประธานจางถึงมีโอกาสในการเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ !

ไป๋มู่ชิงเดินไปพร้อมประธานจางเพื่อเข้าไปในห้องแขกวีไอพีตามคำเชื้อเชิญของพนักงาน ภายในห้องแขกวีไอพีนั้นกว้างขวางมาก ภายในห้องมีคนสิบกว่าคนนั่งอยู่ และเวลานี้คนเหล่านั้นก็กำลังล้อมวงสนทนากับใครบางคนอยู่บรรยากาศดำเนินไปอย่างคึกคัก ไป๋มู่ชิงคิดว่าผู้ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางนั้นก็คือตัวเอกของงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เธอชะเง้อคอมองไปยังตรงกลาง

เมื่อเธอเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างในเป็นหนานกงเฉินแล้วนั้น จึงตกตะลึงไปโดยปริยาย ครั้นหนานกงเฉินก็มองมาทางเธอพอดี สายตาของทั้งสองประสานกัน ทว่าสายตาของเขามีความร้อนแรงเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงจึงส่งยิ้มให้เขาแล้วรีบชักสายตากลับคืนทันที

เธอพูดเสียงเบากับประธานจางที่อยู่ข้าง ๆ ว่า : “ท่านประธานจางคะ ทำไมคุณชายเฉินถึงอยู่ที่นี่ด้วยคะ ?”

“สังคมชั้นสูงรวมตัวกันไปรวมตัวกันมาก็มีแค่คนเหล่านี้แหละ” ประธานจางพูดพลางยิ้มตาหยี

เลขาเหยียนก็มองเห็นไป๋มู่ชิงและประธานจางแล้วเช่นกัน เธอโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหูของหนานกงเฉิน : “คุณชายเฉิน ประธานจางคนนั้นแค่เห็นแวบแรกก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไร คุณอย่าดื่มเป็นอันขาดนะคะ”

“กลัวฉันจะพลาดท่าให้เขาเหรอ ?” หนานกงเฉินยิ้มขึ้น

“ไม่ค่ะ ฉันกลัวว่าตกดึกมาคุณจะอาการป่วยกำเริบ” เลขาเหยียนกล่าวด้วยความเป็นห่วง

“แต่ฉันอยากเผชิญหน้ากับเขาสักหน่อย ดูซิเขาจะเล่นอุบายอะไรมา”

“คุณชายเฉินคะ อย่าล้อเล่นกับร่างกายของตัวเองเลยนะคะ”

หนานกงเฉินยิ้มขึ้นมา พร้อมยกน้ำผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก

“เลขาเหยียนคะ ฉันขอให้คุณพูดมาตรง ๆ เลยได้ไหมคะ ?”

เลขาเหยียนมองหนานกงเฉินที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็ถอนหายใจออกเบา ๆ : “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

“เลขาเหยียนกำลังเข้าใจผิดว่าฉันมีแผนการอะไรกับคุณชายเฉินอยู่หรือเปล่าคะ ? เลขาเหยียนอย่าคิดอย่างนั้นเด็ดขาดนะคะ ฉัน……ฉันเจอคุณชายเฉินที่หน้าห้องน้ำ ฉันเห็นเขาไม่สบายมากเลยพาเขามาส่งที่ห้องนี้ ไม่ได้คิดอย่างอื่นจริง ๆ นะคะ”

“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” เลขาเหยียนยิ้มแข็ง ๆ ให้เธอ : “ถ้าคุณหนูอีไม่มีธุระแล้วละก็ กลับไปได้เลยนะคะ”

ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงจึงถามขึ้นอีกว่า : “คุณชายเฉินเขาเป็นอะไรเหรอคะ ?”

“วันถัดมาเขาถึงจะฟื้น เพราะงั้นคุณไม่ต้องรอหรอกค่ะ” เลขาเหยียนกล่าว

“แล้วเขา……เป็นโรคอะไรกันแน่คะ ?” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะต้องถามต่อ

“นี่คือเรื่องส่วนตัวของคุณชายเฉิน” เลขาเหยียนกล่าว

สุดท้ายไป๋มู่ชิงทำได้เพียงพยักหน้า แล้วเดินกลับหลังหันออกไปจากห้องนอนของหนานกงเฉิน

ประธานจางมองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังเดินออกจากลิฟต์มา เขาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าเชื่อในสายตาตนเอง

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทั้งที่เขาจัดการหนานกงเฉินแล้วแท้ ๆ อีกทั้งยังสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เสียด้วย เขาเห็นพวกเขาสองคนเดินกลับห้องนอนด้วยกันแล้ว เหตุใดจึงกลับมาเร็วเพียงนี้ ? นี่มันไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรือว่าความอึดของหนานกงเฉินมีเพียงเท่านี้ ?

เมื่อเห็นเส้นผมอันยุ่งเหยิงกว่าเมื่อสักครู่เล็กน้อยของไป๋มู่ชิง ไม่คล้ายกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นแต่อย่างใด เพียงแค่มันรวดเร็วเกินไปแล้ว ……

เขากระแอมคอ จากนั้นก็สาวเท้ามาด้านหน้าพร้อมมองไป๋มู่ชิงแล้วกล่าวตำหนิติเตียน : “เสี่ยวอี เมื่อกี้คุณไปไหนมา ? ผมนั่งยองยองบนโถส้วมรอคุณเอากระดาษชำระมาให้ตั้งนานสองนาน”

ไป๋มู่ชิงกล่าวขอโทษขึ้น : “ขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้ฉันมีเรื่องด่วนนิดหน่อยค่ะ”

“เรื่องอะไรทำไมถึงสำคัญแบบนี้ ?”

“ไม่มีอะไรค่ะ” ไป๋มู่ชิงตอบกลับทันควัน

เมื่อประธานจางเห็นรอยเลือดบนซอกคอของเธอจึงอุทานขึ้นมาเสียงเบา : “คอเธอเป็นอะไรไป ? ทำไมถึงมีเลือดไหล ?”

เมื่อสักครู่ไป๋มู่ชิงได้เห็นบาดแผลบนลำคอของตนเองในกระจกภายในลิฟต์แล้ว เธอยกมือขึ้นลูบบาดแผลอันเจ็บปวดของเธอ : “ไม่มีอะไรค่ะ รอยแผลอุบัติเหตุน่ะ”

“ไม่เป็นไรใช่ไหม ? ไปพันแผลหน่อยไหม ?”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่เจ็บเลยสักนิด” สีหน้าของไป๋มู่ชิงดูไม่ค่อยได้เท่าไร จนถึงตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องของหนานกงเฉินนั้นยังคงฉายวนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับการกลอภาพยนตร์ สะเทือนใจจนทำให้ปวดหัว

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เมื่อเห็นสีหน้าอันน่าเวทนานั้นของหนานกงเฉิน หัวใจของเธอก็เจ็บปวดขึ้นมาราวกับมีมีดมากรีดอย่างไรอย่างนั้น ราวกับผู้ที่ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่หนานกงเฉินที่เป็นคนนอก แต่เป็นคนรักที่เธอรักและสนิทสนมเป็นอย่างมาก

จนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง เธอกลับมาพักผ่อนยังโรงแรม ภายในใจของไป๋มู่ชิงยังคงไม่สงบนิ่งดังเดิม ยังคงนึกถึงช่วงเวลาที่หนานกงเฉินอาการป่วยกำเริบวนเวียนเรื่อยไป

และเธอยังนึกถึงฉากที่หนานกงเฉินจูบเธอ กอดเธอข้อร้องไม่ให้เธอไป มู่ชิงที่เขาร้องเรียกออกมา……ก็คือคนรักที่เขาบอกว่าตายจากไปแล้วผู้นั้นหรือ ?

คิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉินที่สูงส่งเช่นนี้ ก็มีด้านที่อ่อนแอและมีด้านที่ทำให้ผู้อื่นสงสารเช่นนี้อยู่ด้วย

เธอหลับตาลง บังคับไม่ให้ตนเองไปคิดถึงเรื่องนั้นอีก อย่าเป็นห่วงและโศกเศร้ากับชายอื่นเช่นนี้ เพราะว่า……เขามีภรรยา มีคนรักอยู่แล้ว

ครั้งนี้หนานกงเฉินไม่ได้ฟื้นขึ้นมายามเช้าตรู่ ครั้นหลับยาวไปจนถึงช่วงเที่ยงของวันถัดมา

เมื่อเห็นเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณหมอจางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแรง ๆ พร้อมพูดขึ้น : “คุณชายเฉิน ถ้าคุณไม่ฟื้นมาสักทีผมจะเรียกรถพยาบาลแล้วนะ”

หนานกงเฉินได้ยินที่เขาพูดทุกประการ เพียงแค่ความคิดของเขายังคงหยุดนิ่งอยู่ภายในห้วงความฝันเมื่อสักครู่นี้ของตนอยู่ เขาฝันว่าไป๋มู่ชิงกลับมาแล้ว เธอกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งแล้ว และดูแลอยู่ข้างกายเขาอย่างเช่นเมื่อครั้งอดีต ไล่อย่างไรก็ไล่ไม่ไป

“เธอล่ะ ?” เขาถามขึ้นเสียงเบา

คุณหมอจางและเลขาเหยียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สบตากันหนึ่งครั้ง จากนั้นเลขาเหยียนก็พูดถามว่า : “คุณชายเฉินหมายถึงคุณหนูอีเหรอคะ ?”

“คุณหนูอีเหรอ ?” หนานกงเฉินนึกย้อนความทรงจำเมื่อคืนนี้ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น : “ถูกต้อง คุณหนูอีนั่นแหละเมื่อคืนนี้เธอส่งฉันกลับห้อง”

“ฉันไล่เธอกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ สำหรับว่าจะจัดการยังไงคุณชายเฉินตัดสินใจเองเถอะค่ะ”

“เธอสบายดีไหม ?”

“คุณชายเฉินเป็นห่วงเธอเหรอคะ ?” เลขาเหยียนอึ้งไป พลางมองหน้าเขา : “เมื่อคืนนี้อยู่ ๆ คุณชายเฉินก็อาการกำเริบ ก็เป็นเพราะถูกเธอวางยายังไงล่ะคะ คุณชายเฉินคุณเองก็ไม่รู้เหรอคะ ?”

“ใช่แล้วครับคุณชายเฉิน เหตุผลหลักที่คุณอาการกำเริบเมื่อคืนนี้คือคุณผู้หญิงคนนั้นวางยาคุณครับ” คุณหมอจางกล่าว

หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมพูดขึ้นว่า : “ฉันชื่อว่าเธอไม่รู้เรื่อง”

“คุณชายเฉินคิดอย่างนั้นเหรอคะ ?” เลขาเหยียนถาม

“อืม เป็นเรื่องจริงหรือปลอมฉันสัมผัสเองได้” หนานกงเฉินนึกย้อนเหตุการณ์ที่เธอส่งเขากลับห้องนอนเมื่อคืนนี้ ท่าทางเธอไม่เหมือนกับคนที่รู้เรื่องแต่อย่างใด และไม่มีเจตนาที่จะยั่วยวนเขาเลย อีกทั้งเขาจำได้ว่าตนเองไปจูบเธอและกัดเธอ ครั้นสุดท้ายเธอไม่เพียงแต่ไม่ตกใจตื่นจนหนีไป ครั้นกลับมาอยู่ข้างเขาแล้วกอดเขาเอาไว้แน่น

ปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ ไม่ใช่ใครหน้าไหนก็แสร้งทำมันออกมาได้ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำมันได้เช่นกัน

เลขาเหยียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็น : “แต่ว่าคุณหมอจางก็บอกแล้วว่าโชคดีที่เมื่อวานนี้มีเธอคอยช่วยเหลือคุณไว้ และใช้ผ้าขนหนูยัดปากของคุณเอาไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นอันตรายมากจริง ๆ ค่ะ”

“สรุปแล้วคนที่สำเร็จก็คือเธอ คนที่ล้มเหลวก็คือเธอ” เลขาเหยียนมีความรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย : “คุณชายเฉินคะ เราไม่ต้องเล่นแล้วได้ไหมคะ ? ใจคนเรายากแท้หยั่งถึง มันอันตรายเกินไปนะคะ”

“ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าวางยาฉันแบบนี้” หนานกงเฉินพูดพร้อมความโกรธเคือง

เขาคิดถึงว่าประธานจางอาจมอมให้เขาเมา ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะวางยาตน แถมยังประเคนคุณหนูอีมาหาเขาอีกด้วยเช่นนี้

“ผลลัพธ์ของยาชนิดนี้ค่อนข้างปกปิด คนธรรมดาจะไม่สังเกตเห็นครับ” คุณหมอจางกล่าว : “ถ้าคุณชายใหญ่ไม่มีโรคอยู่แล้ว ผมคาดว่าคงไม่รู้ว่าตัวเองถูกวางยาหรอกครับ”

“ประธานจางคนนี้นี่ ทำเลยเถิดขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ ” เลขาเหยียนกล่าวด้วยความโมโห จากนั้นก็ถามหนานกงเฉินขึ้นว่า : “คุณชายเฉิน คุณจะจัดการยังไงดีคะ”

“เอาไว้ก่อน”

“อะไรนะคะ ?”

หนานกงเฉินจ้องตาเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นจาง ๆ : “ฉันยังรู้สึกว่าเกมนี้มันสนุกดีอยู่”

“คุณชายเฉินคะ คุณยังจะเล่นอะไรอีกคะ ?” เลขาเหยียนเอือมละอา

หนานกงเฉินยิ้มแต่ไม่พูดไม่จา

รอยยิ้มของเขาแลดูขมขื่น เขาไม่ใช่ว่าอยากเล่นเกมนี้แต่อย่างใด ครั้นอยู่ ๆ เขาก็รู้สึกสนใจคุณหนูจูผู้นั้นขึ้นมาทันที แม้เมื่อวานนี้เขาจะมีอาการกำเริบ ครั้นยังคงจำฉากเหล่านั้นได้เลือนลาง พฤติกรรมการแสดงออกที่ผู้หญิงคนนั้นดูแลเขาช่างคุ้นเคยยิ่ง เมื่อนึกย้อนดูดี ๆ แล้ว ในร่างของผู้หญิงคนนั้นมีเงาร่างของไป๋มู่ชิงซ่อนอยู่ด้วยจริง ๆ

ความรู้สึกที่คุ้นเคยเช่นนี้เสียดสีในจิตใจของเขา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเธอ สืบสาวเรื่องเธอ

ครั้นหากอยากเข้าใจเธอ จะขาด ‘ความช่วยเหลือ’ จากประธานจางไปได้อย่างไร ?

“รู้ไหมว่าพวกเขาบินกี่โมง ?” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้นมา

“เรื่องนี้……ฉันต้องไปสืบดูก่อนค่ะ” เลขาเหยียนพูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด