เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 199

เสี่ยวเหมิงจองตั๋วเครื่องบินช่วงบ่ายโมง หลังจากที่ไป๋มู่ชิงรับประทานมื้อเที่ยงกับพวกเขาแล้วก็กลับห้องมาเก็บข้าวของ เธอยืนมองตัวเองผ่านกระจกเงา แม้รอยฟันบนไหล่จะไม่ลึกมาก ทว่าเพียงแค่ตั้งใจมองสักหน่อยก็จะมองเห็น

อวัยวะส่วนที่มีบาดแผลประกอบกับรูปร่างลักษณะของบาดแผลที่ทำให้คนเข้าใจผิดง่ายเช่นนี้ เธอไม่ได้กังวลว่าจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะแต่อย่างใด ทว่าสิ่งที่เธอเป็นกังวลนั้นคือกลัวว่าเฉียวเฟิงจะเข้าใจผิด

เสื้อที่เธอสวมสองวันนี้ไม่ได้เป็นแบบคอสูง หากอยากปกปิดบาดแผลนั้นไว้คงปกปิดไม่อยู่แน่นอน

เธอใช้รองพื้นในการปกปิดไว้บ้าง จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กเดินออกไป

ประธานจางและเสี่ยวเหมิงนั่งกระหนุงกระหนิงอยู่เก้าอี้ตรงข้าม ส่วนไป๋มู่ชิงนั่งที่นั่งชิดหน้าต่างอยู่ลำพัง ศีรษะพิงหลังเก้าอี้ พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีเครื่องบินลำอื่นกำลังลงจอดและบินขึ้นอยู่ไม่ขาด ครั้นสิ่งที่คิดอยู่ภายในหัวของเธอกลับเป็น……ไม่รู้ว่าตอนนี้หนานกงเฉินเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อคืนนี้เขาป่วยอาการสาหัสเช่นนั้น คงไม่หายง่าย ๆ หรอกใช่ไหม ?

จนกระทั่งเครื่องบินเริ่มออกตัว และขณะที่เธอหันลำตัวนั่งตัวตรงนั้น อยู่ ๆ หางตาของเธอก็เหลือบไปยังเงาร่างอันคุ้นเคย เธอชะงักไปชั่วครู่ พร้อมทั้งมองหนานกงเฉินที่ไม่ทราบว่ามานั่งอยู่ข้างกายเธอตั้งแต่เมื่อไร

“ทำไม เจอหน้าผมมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ?” หนานกงเฉินเคลื่อนสายตาออกจากนิตยสารการเงินในมือและมองหน้าเธอพร้อมทั้งหัวเราะขำขัน : “คุณหนูอีกำลังคิดในใจว่า ทั้งที่เมื่อวานผมป่วยหนักแบบนั้นทำไมวันนี้ถึงลุกจากเตียงได้ใช่ไหมครับ ?”

ไป๋มู่ชิงคิดเหมือนอย่างที่เขาว่าเช่นนั้นจริง ๆ เธอจึงกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ปฏิเสธ : “คุณชายเฉินไม่เป็นอะไรแล้วเหรอคะ ?”

หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ไม่เป็นไรแล้ว”

“อ้อ ถ้างั้นก็ดีค่ะ……” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า และครุ่นคิดในใจจนใบหน้าเรียวเล็กของเธอแดงก่ำขึ้น : “ไม่ทราบว่าเขาจะยังจำเรื่องที่เขาปฏิบัติกับเธอเมื่อคืนนี้ได้หรือไม่ ? หวังว่าจะจำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงน่าอึดอัดใจน่าดู”

เธอเพิ่งคิดเสร็จ สายตาที่หนานกงเฉินจับจ้องมาที่เธอก็ผุดความรู้สึกผิดขึ้นมา เขาจ้องหน้าเธอพลางกล่าวว่า : “เรื่องเมื่อวานนี้ขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมควบคุมตัวเองไม่อยู่”

เขาหมายถึงเรื่องไหน ? ที่จูบเธอหรือว่าที่กัดเธอ ?

ไป๋มู่ชิงไม่มีเวลามาพิจารณาเรื่องนั้น เธอรีบส่ายหน้าทันควัน : “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนั้นคุณชายเฉินเมาแล้วแถมยังอาการป่วยกำเริบอีก”

“เมื่อคืนนี้ผมคิดว่าคุณเป็นภรรยาเก่าของผมน่ะ เพราะงั้นถึงทำพฤติกรรมแบบนั้นออกมา” หนานกงเฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“มู่ชิงคือภรรยาเก่าของคุณเหรอคะ ? เป็นผู้หญิงที่คุณชอบในตอนแรก ?” ไป๋มู่ชิงถามด้วยความสงสัย

หนานกงเฉินพยักหน้า : “เมื่อก่อนตอนที่ผมอาการป่วยกำเริบเธอเป็นคนดูแลผมมาตลอด อีกทั้งทุกครั้งก็จะถูกผมทำร้ายบาดเจ็บด้วย”

“ถ้างั้นเธอไม่กลัวเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงคิดถึงสถานการณ์ขณะที่เขาอาการป่วยกำเริบเมื่อคืนนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงหวาดกลัวสินะ ? หากเมื่อคืนนี้เธอไม่เป็นกังวลว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง เธอคงตกใจตื่นจนวิ่งเตลิดไปตั้งนานแล้ว

“เธอบอกว่าเธอไม่กลัว แต่ผมรู้ว่าเธอจะต้องเจ็บมาก” สายตาของหนานกงเฉินมองต่ำลง และมองไปยังรอยเขี้ยวที่มีรองพื้นปกปิดอยู่ของเธอ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมากดเบา ๆ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความรู้สึกผิดและอ่อนโยนว่า : “เจ็บไหม ?”

ช่วงเวลาที่นิ้วมืออันร้อนผ่าวของเขาสัมผัสบนผิวของเธอนั้น เธอรีบหดหัวไปด้านข้างทันทีราวกับถูกไฟดูด

ฝ่ามือของหนานกงเฉินจึงค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นเขาจึงชักมือกลับด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย : “ขอโทษครับ……”

ไป๋มู่ชิงสัมผัสได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตนนั้นรุนแรงเกินไป เธอจึงแอบสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “เมื่อคืนนี้เจ็บอยู่ค่ะแต่ว่าตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็นั่งตัวตรง

เครื่องบินโบยบินต่อไป ทั้งสองคนก็เริ่มเข้าสู่ความเงียบเช่นกัน

หนานกงเฉินตั้งใจบอกให้เลขาเหยียนเปลี่ยนเที่ยวบินมาเที่ยวบินนี้ เพื่อที่จะได้ดูเธอ ดูว่าเธอถูกตนทำร้ายแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เวลานี้ขณะที่ได้เห็นรอยฟันบนคอของเธอแล้ว เขาจึงนึกถึงไป๋มู่ชิงที่ถูกตนกัดจนผิวเป็นรอยหมด เพียงแค่รอยฟันบนข้อมือก็มีเยอะมากแล้ว ยังไม่รวมส่วนอื่นอีก

และไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ สายตาของเขาจึงเคลื่อนไปอยู่บนข้อมือของไป๋มู่ชิง ข้อมือและนิ้วมือเธอต่างก็มีรอยถูกเผาและรอยเหยียบย่ำ ครั้นบนข้อมือกลับว่างเปล่า ไม่มีรอยอันใดเลย

เขาสูดหายใจเข้าเบา ๆ พลางคิดในใจว่าตนกำลังทำอันใดอยู่ ? หรือว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ยังเป็นมู่ชิงของเขาได้อยู่ ?

ไป๋มู่ชิงเงียบไปยาวนาน เวลาต่อมาเธอจึงปริปากถามเขาไปอย่างระมัดระวังขึ้นโดยไม่ทราบว่าเพื่อทำลายความเงียบของทั้งคู่หรือเพื่อสนองความสงสัยภายใจของตนกันแน่ : “คุณชายเฉิน อาการป่วยของคุณ……มันคืออะไรกันแน่คะ ?”

เธอมองใบหน้าด้านข้างของหนานกงเฉิน ทั้งที่เมื่อมองภายนอกเขาดูเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมากแท้ ๆ

หนานกงเฉินเงียบไปนาน ค่อยพูดตอบเธอว่า : “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

“เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ?” ไป๋มู่ชิงสงสัยขึ้นมากกว่าเดิม

ในที่สุดหนานกงเฉินก็หันหน้ามา : “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยใช้ชีวิตในประเทศมาก่อน”

“หมายความว่าไงคะ ?”

“ข่าวลือที่ว่าหนานกงเฉินเป็นโรคประหลาด จะมีชีวิตไม่ถึง 30 ปี แถมยังเป็นโรคที่เกิดจากดวงของสามีภรรยาไม่สมพงษ์กันอีก” หนานกงเฉินใช้นิตยสารตบไปยังมือของเธอ บนหนังสือมีบทความที่เกี่ยวกับเขาอยู่ ไป๋มู่ชิงหยิบนิตยสารขึ้นมาด้วยความฉงนสงสัย ในบทความเขียนเรื่องเกี่ยวกับเขาได้อย่างน่ากลัวและอันตรายมาก

อันที่จริงนี่เป็นข่าวลือที่ล้าสมัยไปแล้ว ทว่าจนถึงปัจจุบันนี้ยังคงมีคนเผยแพร่ต่อไปด้วยความบันเทิง โดยเฉพาะหลังจากที่ภรรยาคนที่เจ็ดของเขาเสียชีวิตลง ก็ยิ่งเผยแพร่กันรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ไป๋มู่ชิงกวาดสายตาอ่านเนื้อหาด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็เงยหน้าจ้องหน้าเขา : “คุณมีภรรยามาแล้วแปดคนจริง ๆ เหรอคะ ? แถมยังตายหมดแล้วด้วย ? และอาการป่วยของคุณ……ถ้าบนนิตยสารเขียนไว้ถูกต้อง ทำไมคุณยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ล่ะคะ ? เป็นเพราะคู่ครองฟ้าลิขิตปรากฏตัวออกมาจริง ๆ เหรอคะ ? คุณหนูจูเป็นคู่ครองฟ้าลิขิตของคุณจริง ๆ เหรอคะ ?”

หนานกงเฉินไม่ทราบว่าจะควรตอบคำถามที่มาเป็นชุดเช่นนี้ของเธออย่างไรดี

ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ว่าตนถามเยอะเกินไป ดังนั้นจึงปิดนิตยสารลงแล้วคืนเขาไป : “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณทุกข์ใจ”

“คุณเชื่อไหม ?” หนานกงเฉินถามกลับ

“พูดตามความจริง ฉันไม่ค่อยเชื่อค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “บนโลกนี้จะมีตำนานผีและเทพเยอะขนาดนั้นได้ยังไง ?”

“ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้ก่อนหน้า เมื่อคืนนี้คุณยังกล้าอยู่ช่วยผมในห้องอีกไหม ?”

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้า : “ฉันไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่ช่วยคุณ คุณอาจจะกัดฟันตัวเองขาด นั่นมันเป็นแค่การตอบสนองตามสันชาตญาณเมื่อเจอเรื่องกะทันหันละมั้งคะ”

หนานกงเฉินสบตาเธอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอนั้นไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ไม่เหมือนกับไป๋มู่ชิงของเธอ ถ้าหากไม่เป็นเพราะตอนนั้นเขาไปดูศพกับตาตัวเอง เขาคงคิดว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นคือภรรยาที่เขาคนึงหามาตลอด

เนื่องจากความคิดของเธอ และคำพูดของเธอนั้นล้วนคล้ายกับไป๋มู่ชิงอย่างยิ่ง !

“คุณ……เป็นคนเดียวกับเธอจริง ๆ” หนานกงเฉินกล่าวคำพูดนี้ออกมาราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน

ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเคอะเขิน เนื่องจากเขาไม่ได้บอกเช่นนี้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น

ช่วงบ่ายไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงไปรับเสียวหว่านชิงจากโรงเรียนอนุบาลตรงเวลาดังเช่นที่เคยเป็นมาเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนจึงมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด

ไป๋มู่ชิงจอดรถที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็หยิบนิตยสารหนึ่งเล่มออกจากที่นั่งข้างคนขับพร้อมยื่นให้เฉียวเฟิงที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างหลัง : “คุณอ่านนิตยสารที่นี่ก่อนสักครู่นะคะ ฉันจะไปถามพฤติกรรมช่วงนี้ของหว่านชิงกับครูฟางหน่อย”

“โอเค คุณไปเถอะ” เฉียวเฟิงรับนิตยสารไป

ไป๋มู่ชิงเดินข้ามถนนไป เดินมุ่งไปทางโรงเรียนอนุบาล

เฉียวเฟิงหยิบนิตยสารมาพลิกเปิด จากนั้นก็วางลงด้วยความเบื่อหน่าย เปลี่ยนมามองรถที่ขับผ่านไปผ่านมานอกหน้าต่างรถแทน

หลังจากที่นั่งมาสักพัก อยู่ ๆ เขาก็เห็นรถคันหนึ่งที่คุ้นหน้าคร่าตากำลังเข้าจอดที่ข้างทางถนนฝั่งตรงข้าม เนื่องจากผู้ที่ขับรถสปายเกอร์ในเมืองซีนั้นมีไม่มากนัก เพราะฉะนั้นเขาจึงมองสังเกตอย่างเป็นพิเศษ เมื่อเขามองเห็นเลขทะเบียนรถและเห็นหนานกงเฉิน ก็ต้องตกตะลึงทันที

ตามที่เขาทราบมา หนานกงเฉินไม่มีลูก และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีลูกเรียนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล เหตุใดเขาจึงมาที่นี่ ?

หรือว่าเขารู้จักเสียวหว่านชิงแล้ว ? ดังนั้นจึงมาที่นี่งั้นหรือ ?

ยิ่งเขาคิดลึกเท่าไรก็ยิ่งเป็นกังวลมากเท่านั้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายถึงเฉียวซือเหิง บอกว่าเขาพบหนานกงเฉินที่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า

เฉียวซือเหิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “ช่วงนี้ฉันเพิ่งเจอหน้าหนานกงเฉินเอง เขาไม่ได้มีความผิดปกติอะไร อีกอย่างตามนิสัยของเขาแล้วถ้าเขารู้ว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวของเขาแล้วเขาคงไม่เล่นเกมสะกดรอยตามกับนายหรอก เขาจะแย่งมาทันที”

“แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”

“คงเป็นเพราะบังเอิญมาจอดรถที่นั่นพอดีมั้ง นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

เมื่อได้ยินที่เฉียวซือเหิงกล่าวมาเช่นนั้นแล้ว เฉียวเฟิงจึงสบายใจขึ้นมาเสียที

หนานกงเฉินที่อยู่ภายในรถสปายเกอร์ฝั่งตรงข้ามนั้น เขาไม่ทราบจริง ๆ ว่าเสียวหว่านชิงคือลูกสาวของตนเอง เขาเพียงแค่อยู่ ๆ ก็อยากเจอหน้าไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงเท่านั้น จึงขับรถบึ่งมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่กลับจากเมืองเยว่ ความรู้สึกดีที่เขามีต่อไป๋มู่ชิงที่เกิดขึ้นอย่างปริศนานั้นก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รุนแรงจนถึงขั้นทำให้เขาทำเรื่องที่โง่เขลาอย่างเช่นวันนี้ได้

เขามองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจูงมือเสียวหว่านชิงที่กำลังกระโดดโลดเต้นออกจากโรงเรียนอนุบาลผ่านกระจกรถ รอยแผลบนหน้าผากของเสียวหว่านชิงทิ้งรอยสีแดงเอาไว้ ทว่านี่มันไม่ส่งผลกระทบกับความสวยและความน่ารักบนใบหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทางอันร่าเริงขณะที่เธอบอกลาบรรดาเพื่อนตัวน้อยของเธอ และเมื่อมองดูใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูนั้น หนานกงเฉินจึงมีความรู้สึกที่ว่าอยากพุ่งเข้าไปกอดเธอขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเขาผู้ที่ไม่เคยชอบเด็กเล็กมาก่อนจะมีความคิดเช่นนี้กับลูกของผู้อื่น

มือของเขาวางอยู่บนที่ล็อคประตูรถ เขาเกือบเปิดประตูลงรถไปแล้ว ทว่าสุดท้ายกลับล้มเลิกความตั้งใจที่จะลงรถไป

เขาควรปรากฏตัวต่อหน้าสองแม่ลูกคู่นั้นด้วยสถานะหรือเหตุผลอันใด เจอหน้าแล้วพูดอะไรได้ ? บอกว่าเป็นการเจอกันโดยบังเอิญงั้นหรือ ? หรือบอกพวกเธอว่าเขามารอพวกเธอออกมาโดยเฉพาะ ถ้าหากเขาพูดเช่นนั้นจริง ๆ จะทำให้ผู้อื่นคิดว่าตนมีเจตนาร้ายหรือไม่ ?

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงล็อคประตูรถที่สตาร์ทอยู่ พร้อมเอนร่างพิงที่นั่ง สายตาพลางมองสองแม่ลูกที่กำลังจูงมือกันข้ามถนนผ่านกระจกหน้ารถ

และขณะนี้เอง อยู่ ๆ รถคันสีเงินเทาก็พุ่งผ่านรถของหนานกงเฉินไปทางบริเวณที่สองแม่ลูกยืนอยู่ด้วยความเร็ว

หนานกงเฉินตกใจเป็นอย่างมาก มองดูแล้วรถคันนั้นอาจชนทั้งสองคนได้ ครั้นโชคดีที่ไป๋มู่ชิงมีความว่องไว เธอรีบดึงเสียวหว่านชิงถอยไปข้างหลังทันที จากนั้นรถคันนั้นก็พุ่งผ่านไปโดยเร็วไว

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไป หนานกงเฉินยังไม่ทันได้ผลักเปิดประตูลงรถไปด้วยซ้ำ แค่เวลาชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋มู่ชิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเธอหันหน้าไปมอง รถคันสีเทาสว่างก็ได้ขับผ่านเบื้องหน้าเธอไปเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมถึงขับรถเร็วแบบนี้นะ” เธอบ่นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

“จริงด้วยค่ะ ตกใจหมดเลย” ผู้ปกครองท่านหนึ่งกล่าวขึ้น

เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเจตนาทำร้ายแต่อย่างใด ทว่าหนานกงเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ เพราะเขารู้สึกได้ว่ารถคันนั้นเพิ่งเริ่มเร่งความเร็วเมื่อขับมาอยู่ข้าง ๆ เขา

ไป๋มู่ชิงที่เพิ่งขวัญเสียกับเหตุการณ์ก่อนหน้าตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นก็อุ้มเสียวหว่านชิงเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม

เฉียวเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้เห็นชัดเจนว่าเมื่อสักครู่มันเกิดอะไรกันแน่ เขาทราบเพียงว่ามีรถหนึ่งคันขับเร็วเกินกำหนด เสียวหว่านชิงขึ้นรถมาและบอกพ่อทันที : “คุณพ่อคะ เมื่อกี้มีรถคันหนึ่งขับเร็วมากเลยค่ะ หนูกับคุณแม่ตกใจแทบแย่”

เฉียวเฟิงอุ้มเธอขึ้นนั่งบนคาร์ซีท จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม : “เพราะงั้น จากนี้ไปตอนข้ามถนนจะต้องระวังหน่อยนะรู้ไหมครับ ?”

“รู้แล้วค่ะ หนูจะระวังนะคะ” เสียวหว่านชิงกล่าวด้วยความเชื่อฟัง

หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงอุ้มเสียวหว่านชิงไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง ปิดประตูรถ จากนั้นก็กลับไปยังที่นั่งคนขับและขับรถออกไป

เขารีบส่งข้อความหาเลขาเหยียนด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับออกจากโรงเรียนอนุบาลทันที

หนานกงเฉินยังไม่ถึงคฤหาสน์หลังเก่า เลขาเหยียนก็โทรเข้ามาแล้ว หนานกงเฉินจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้เต็มทน : “สืบมาได้หรือยัง ?”

“เป็นรถทะเบียนซ้ำค่ะ มีอะไรเหรอคะคุณชายเฉิน ?” เลขาเหยียนถาม

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวว่า : “ไม่มีอะไร” พูดจบจึงวางสายไปทันควัน

หลังจากที่เขาขับรถมาถึงคฤหาสน์หลังเก่าแล้วนั้นก็ได้เดินขึ้นห้องนอนของจูจูที่อยู่ชั้นสองทันที

มีน้อยครั้งมาก ๆ ที่เขาจะเข้าไปห้องนอนของจูจู ครั้นวันนี้กลับเดินเข้าไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเป็นวันที่เลิกงานเร็วเช่นนี้อีกด้วย ทำให้จูจูรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“เฉินคุณกลับมาแล้วเหรอคะ……” เธอเดินเข้ามาหาเขาพร้อมคล้องแขนของเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม : “วันนี้ตอนบ่ายฉันไม่มีอะไรทำ ก็เลยเรียนทำน้ำเชื่อมกับพี่เหอ ฉันทำไว้ให้คุณด้วยฝีมือตัวเองหนึ่งถ้วยด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันลงไปยกขึ้นมาให้……”

เวลานี้หนานกงเฉินกลับกระชากมือที่เธอคล้องแขนตนไว้ออก จากนั้นก็จ้องหน้าเธอตาเขม็ง : “วันนี้ตอนบ่ายเธอยังมีอารมณ์ทำน้ำเชื่อมด้วยงั้นเหรอ ?”

“มีอะไรเหรอคะ ?” สีหน้าของจูจูซีดเซียวลงเล็กน้อย เธอมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า : “เฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ ?”

“ฉันถามเธอหน่อย วันนี้เธอใช้ให้คนไปขับรถชนคุณหนูอีสองแม่ลูกที่โรงเรียนอนุบาลใช่ไหม ?” หนานกงเฉินถามออกไปตรง ๆ

จูจูอ้าปากขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าโดยสันชาตญาณ : “จะเป็นอย่างนั้นได้ไงคะ ? เฉิน……ทำไมคุณถึงมีความคิดแบบนี้คะ ฉัน……”

“หยุด” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา : “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางยอมรับหรอก ฉันก็ไม่ได้อยากบังคับให้เธอยอมรับหรอกนะ แต่มีอยู่อย่างที่เธอจะต้องทำความเข้าใจไว้จะดีที่สุด ช่วงนี้คุณหนูจูเพิ่งกลับประเทศมา และไม่มีเพื่อนที่เมืองซีเลย ไม่มีทางที่จะไปเป็นศัตรูกับใคร ก่อนหน้าที่เขาจะเจอกับฉัน พวกเขาสองแม่ลูกไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรกับตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตั้งแต่ที่รู้จักกับฉันมา เธอก็ถูกอัดที่โรงจอดรถ เกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้า และวันนี้ก็เกือบโดนรถชนตายหน้าทางเข้าโรงเรียนอนุบาล เธอจะอ้างว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไปก็ได้นะ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีหลักฐาน ฉันก็ไม่อยากเสียเวลาให้คนไปสืบเรื่องเหล่านี้ด้วย……”

“หนานกงเฉิน !” จูจูพูดตัดบทเขาด้วยความเดือดดาล พร้อมจ้องหน้าเข้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อ : “ในความคิดคุณฉันมันเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือไง ? เรื่องฆ่าแกงคุณยังกล้าโยนใส่ฉันได้ ? เพื่อนังผู้หญิงที่มีสามีแล้วคนนั้นคุณไม่มีแม้แต่ความสามารถในการแยกแยะเลยใช่ไหม ?”

หนานกงเฉินมองน้ำตาบนใบหน้าของเธอ และพยักหน้า : “ดี ฉันจะถือซะว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันขอเตือนเธอไว้อย่าง ถ้าจากนี้ไปเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองแม่ลูก เธอจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด !”

“คุณว่าอะไรนะ ?” จูจูอึ้งไป

“ฉันบอกว่าถ้าจากนี้ไปเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองแม่ลูก ฉันจะตัดขาดกับเธอ ทันที !” หนานกงเฉินพูดประโยคนี้จบ จึงกลับหลังหันเดินมุ่งไปยังประตูห้องนอน

“เฉินคะ……” จูจูรีบเข้าไปดึงข้อมือของเขาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นทั้งน้ำตาว่า : “ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้คะ ? เขาเป็นแค่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แถมยังมีลูกแล้วด้วย ฉันจะไปทำร้ายเขาได้ยังไงคะ ? คุณ……”

“ขอให้ไม่ได้ทำจริง ๆ เถอะ” หนานกงเฉินชักมือออกจากมือของเธอด้วยความเย็นชา

เมื่อเห็นบานประตูที่ถูกเขาปิดอย่างแรง จูจูจิตใจล่องลอย เธอยืนนิ่งอยู่กับที่และเมื่อผ่านมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เธอจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป

เธอโทรหาเบอร์ของจูจื้อเหวิน เมื่อปลายสายรับแล้วจึงถามขึ้นว่า : “พ่อคะ วันนี้พ่อให้คนขับรถไปชนผู้หญิงที่แซ่อีใช่ไหม ?”

ปลายสายนั้นมีเสียงของการเล่นไพ่นกกระจอกดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงของจูจื้อเหวินดังเข้ามา : “ใช่น่ะสิ แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นโชคดี ไม่ได้ถูกชนตาย”

“พ่อ……เป็นพ่อจริง ๆ ด้วยเหรอเนี่ย ? นี่พ่ออยากให้ฉันตายหรือไง ?” จูจูตะคอกด้วยความโมโห เรื่องเหตุการณ์ในลิฟต์ยังไม่ได้ผ่านไป ก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้ว มิน่าหนานกงเฉินจึงยกความรับผิดชอบมาไว้ที่เธอทั้งหมดเช่นนี้

“มีอะไรเหรอ ?” จูจื้อเหวินกล่าวอย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด

“หนานกงเฉินเดาว่าหนูเป็นคนทำ ขู่หนูว่าถ้าจากนี้ไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนที่แซ่อีนั่นก็จะหย่ากับหนูทันที” จูจูกล่าวด้วยความไม่พอใจนัก : “พ่อคะ หนูบอกกับพวกพ่อแล้วไม่ใช่หรือไง ? อย่ายื่นมือมายุ่งเรื่องของหนู หนานกงเฉินไม่ใช่คนที่หลอกง่ายขนาดนั้นนะ”

“จู อย่าเพิ่งร้อนใจไป” ในที่สุดปลายสายก็ไม่มีเสียงไพ่นกกระจอกแล้ว จูจื้อเหวินน่าจะอยู่ในห้องน้ำ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “จูลูก วันนั้นหลังจากที่ลูกเล่าเรื่องสองแม่ลูกนี้ให้พ่อฟัง พ่อก็ไปดูที่โรงเรียนอนุบาล พบว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนกับไป๋มู่ชิงตอนเด็ก ๆ เปี๊ยบเลย ลูกว่ามันน่าเหลือเชื่อไหม ? มิน่าล่ะหนานกงเฉินเลยดีกับพวกเขาสองแม่ลูกขนาดนี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด