เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 202

เฉียวซือเหิงจับแก้วเหล้าของหนานกงเฉินไว้ "แกอย่าดื่มดีกว่า ดูแลร่างกายด้วย"

"ทำไม? กลัวว่าฉันจะดื่มจนตายไปแล้วไม่มีใครดื่มเป็นเพื่อนอีกหรอ?" หนานกงเฉินมองไปที่เขา

"ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ใช่เหมือนแกที่เยือกเย็นไม่สนใจใคร ฉันเป็นคนที่ถ้าโบกมือก็จะมีเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวเยอะแยะ" เฉียวซือเหิงพูดยิ้ม

หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วมองไปที่เขา "เพราะฉะนั้นฉันอยู่ในใจแกก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลยหรือไม่มีก็ได้งั้นหรอ?"

"คุณชายเฉิน คุณอย่าล้อเล่นสิครับ" เฉียวซือเหิงทำสีหน้าตกใจแล้วจ้องไปที่เขา "ถึงแม้ผมจะชอบกินเนื้อ แต่ก็ไม่สนใจผู้ชาย"

"ล้อเล่นหน่า" หนานกงเฉินยกแก้วไปทางเขา "ไว้ใจเถอะ ฉันก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรแก"

"งั้นก็ดี" เฉียวซือเหิงยกขึ้นยกแก้วขึ้นดื่ม

หนานกงเฉินเงียบไปสักพักก่อนเงยหน้าถามเขา "ใช่สิ ซูซี่กลับประเทศหรือยัง?"

"กลับมาตอนวันครบรอบเสียชีวิตของพ่อฉัน กลับมาครั้งหน้าก็คงหลังจากนั้นหนึ่งปีมั้ง?" สีหน้าของเฉียวซือเหิงหม่นหมองขึ้นมา

"ตอนนี้เธอยังอยู่อังกฤษหรอ?"

"ไม่รู้ ไปทั่วโลก" เฉียวซือเหิงพูด "นอกจากในประเทศ ก็ไปทุกที่"

"แม้แต่นายก็ติดต่อเธอไม่ได้?"

"ก่อนที่เธอจะไปเธอบอกแล้ว ถ้าไปแล้วก็ไม่มีใครหาตัวเธอเจอ แน่นอนรวมถึงฉันด้วย" เฉียวซือเหิงถอนหายใจ "แต่ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ก็ทำได้แค่รอเธอเที่ยวจนเหนื่อยแล้วกลับมาเอง"

หนานกงเฉินจับแก้วเหล้าในมือขึ้น ในใจมีคำถามมากมายอยากจะถามเขา แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ ความรู้สึกที่อยากถามแต่ก็ไม่กล้าถามกำลังปั่นป่วนอยู่ในใจ

เขาอยากจะถามเรื่องเฉียวเฟิงกับอีหลิน แต่ดูจากสภาพตอนนี้ของเขาคงจะไม่พูดความจริงแน่นอน

ถ้าอีหลินเป็นไป๋มู่ชิงจริง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเฉียวซือเหิงไม่มีทางไม่รู้ ถ้าเขาจงใจจะปิดบังก็คงจะไม่พูดความจริงอะไรออกมาแถมยังทำให้เขารู้สึกตัวด้วย ก็อาจจะขัดขวางเขาสืบหาความจริง

ซูซี่เป็นเพื่อนรักของไป๋มู่ชิง ไม่รู้ว่าเธอรู้ความจริงหรือเปล่า?

หนานกงเฉินวางแก้วกลับไปบนโต๊ะ เฉียวซือเหิงมองสำรวจแก้วเหล้าตรงหน้าเขาแล้วเอ่ย "ปีสองปีนี้มาร่างกายนายเพิ่งดีขึ้น อย่าทำตัวแบบนี้เลย เราเปลี่ยนไปดื่มอย่างอื่นเถอะ"

หนานกงเฉินพยักหน้า "ได้"

กว่าเขาจะมองเห็นความหวังอันริบหรี่ เพื่อไป๋มู่ชิงเขาก็ต้องรักษาร่างกายตัวเองให้ดีไว้

"ฉันคิดว่าเรื่องเล่าของตระกูลหนานกงเป็นแค่เป็นเรื่องไม่จริง ไม่คิดเลยว่าจะเป็นจริง หลังจากที่แกแต่งงานกับคุณหนูจูร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย" เฉียวซือเหิงพูดยิ้ม

หนานกงเฉินก็ยิ้มอ่อน "ใช่ จูจูช่วยได้เยอะเลย"

เพราะฉะนั้นแกก็ควรจะดีกับคนอื่นด้วยสิ"

"ฉันกำลังพยายามรักเธออยู่" หนานกงเฉินยิ้มอีกครั้ง "ฉันคิดว่าไม่นานก็คงจะรักเธออีกครั้ง"

"แกคิดได้แบบนี้ก็ดีแล้ว" เฉียวซือเหิงสั่งน้ำผลไม้ให้เขา "รอวันไหนแกอารมณ์ดี ฉันก็จะมีเพื่อนดื่มน้อยลง คิดไปคิดมากฉันก็ขาดทุนเหมือนกัน"

"ไหนแกบอกว่าจะมีหรือไม่มีฉันก็ได้ไม่ใช่หรอ?"

"ความสัมพันธ์ของเรา แกยังจะสงสัยอีกหรอ?"

หนานกงเฉินมองไปที่เขาแล้วยิ้มเยาะเย้ยในใจ ขอให้เป็นอย่างนี้จริงเถอะ!

กี่ปีนี้มาเขามีเฉียวซือเหิงเป็นเพื่อนแค่คนเดียว ถ้าแม้แต่เขาก็ยังโกหก ยังหักหลัง เขาไม่รู้เลยว่ายังสามารถเชื่อใจใครได้อีก

เช้าวันต่อมา ผู้ช่วยเหยียนก็นำแหวนที่ไป๋มู่ชิงทำหายไปให้หนานกงเฉิน

"ตอนนั้นคนทำความสะอาดกลัวว่าจะโดนบริษัทไล่ออก ก็เลยไม่กล้าพูดความจริง จนกระทั่งฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอถูกไล่ออกถึงยอมพูด บอกว่าวันนั้นเธอเห็นแหวนที่ใช้ทิชชูห่อไว้อยู่ในห้องทำความสะอาด คิดโลภขึ้นมาก็เลยเอาแหวนกลับไปด้วย"

หนานกงเฉินรับแหวนมาแล้วเปิดดูอย่างระมัดระวัง ในนั้นห่อแหวนที่ไป๋มู่ชิงถอดตอนนั้น บนแหวนยังคราบเลือดของเธออยู่

"คนทำความสะอาดบอกว่า ตั้งแต่ที่เธอเอากลับไปก็ไม่กล้าออกมาเลย กลัวว่าคุณจะหาแหวน ไม่คิดเลยว่าคุณจะหาจริงๆด้วย" เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นคราบเลือดบนแหวนก็เลยยื่นมือไปทางหนานกงเฉิน "คุณชายเฉินคะ เดี๋ยวฉันนำไปทำความสะอาดให้ค่ะ"

"ไม่ต้อง" หนานกงเฉินห่อแหวนกลับไปอย่างระมัดระวังแล้วใส่ลงไปในลิ้นชัก

"คุณชายให้ฉันนำไปคืนให้คุณหนูอีมั้ยคะ? หรือว่าโทรเรียกให้เธอมารับด้วยตัวเอง"

"เก็บไว้ที่ผมก่อนก็ได้" หนานกงเฉินมองไปที่เธอ "เพิ่มกำลังคนตามหาแม่กับน้องชายมู่ชิงหรือยัง?"

"เรียบร้อยค่ะ แต่ว่ายังไม่มีเบาะแสอะไร"

"อีกอย่างช่วยหาคนคนหนึ่งให้ผมด้วย"

"ใครคะ?"

"ซูซี่"

"ซูซี่?" ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมา "ภรรยาของคุณชายเฉียวหรอคะ?"

"ใช่"

"แต่ว่า……" ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปก่อนถามขึ้น "คุณหนูซูซี่เป็นภรรยาของคุณชายเฉียว ถึงแม้เธอจะรู้ความจริงแต่ก็ไม่มีทางบอกความจริงหรอกค่ะ ตามหาตัวเธอมีประโยชน์หรอคะ?"

"เธอเป็นเพื่อนรักของมู่ชิง ผมคิดว่าไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไงก็ทำเพื่อมู่ชิง แล้วระหว่างเธอกับเฉียวซือเหิงก็ไม่มีความรู้สึกอะไรกันด้วย คงจะไม่ช่วยเขาทำเรื่องที่น่าเกลียดแบบนี้" หนานกงเฉินพูดจบก็ยิ้มอย่างข่มขืน "แน่นอน ถึงแม้เธอจะรู้ความจริงก็ไม่แปลก ในสายตาเธอ ผมเป็นสามีที่ไม่ผ่านเกณฑ์อยู่แล้ว เธอก็ไม่หวังว่ามู่ชิงจะกลับมาหาผมหรอก"

"เพราะฉะนั้นหาตัวเธอมีประโยชน์หรอคะ?"

"ไม่รู้ หาก่อนค่อยว่ากัน"

"ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะไปจัดการ"

"ระวังด้วย เรื่องนี้ห้ามให้คุณหญิงหรือว่าใครรู้เด็ดขาด" หนานกงเฉินพูดย้ำ

"ไว้ใจเถอะค่ะ ฉันเข้าใจ"

วันนี้ตอนไปรับเสี่ยวหว่านชิง ไป๋มู่ชิงก็มองสำรวจไปที่รถคันสีเทา เป็นรถราคาถูกที่จอดอยู่ริมทาง ในรถก็ยังคงเป็นหนานกงเฉิน

เขาสวมใส่แว่นกันแดดไว้ แต่ก็ยังทำให้เธอรู้สึกว่าสายตาของเขาเอาแต่มองตามเธอ

เธอแกล้งทำตัวไม่รู้ไม่ชี้แล้วจูงมือของเสี่ยวหว่านชิงเดินผ่านรถเขาไปแล้วขึ้นรถเฉียวเฟิง

จนกระทั่งขึ้นรถแล้วปิดประตูเธอค่อยแอบโล่งอกแล้วพูดกับลุงคนขับรถ "ลุงหลิ่วคะ เราไปกันเถอะ"

"คุณพ่อคะ ตอนเช้าคุณพ่อสัญญากับหนูว่าคืนนี้จะพาหนูไปกินขนมหวาน" เสี่ยวหว่านชิงหันไปพูดกับเฉียวเฟิงด้วยสีหน้าคาดหวัง

เฉียวเฟิงคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้า "งั้นได้ เราไปกินขนมหวานกัน แต่ว่ากินเยอะไม่ได้นะคะ"

"เย้ ดีมากเลย ขอบคุณคุณพ่อนะคะ!" เสี่ยวหว่านชิงหันมาทางไป๋มู่ชิงด้วยความดีใจ เมื่อเห็นว่าเธอไม่เอ่ยพูดอะไรก็แกว่งแขนเธอ "คุณแม่คะ คุณแม่ไม่อยากให้ไปหรือเปล่าก็เลยไม่มีความสุข?"

ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาแล้วรีบส่ายหน้า "เปล่า หนูก็ไม่ได้ไปกินขนมหวานนานแล้ว ไปกินก็ได้"

"ขอบคุณคุณแม่นะคะ" เสี่ยวหว่านชิงโล่งอกไป

ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอ่อนไปทางเธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เพิ่งสังเกตุเห็นว่าเฉียวเฟิงจ้องมาที่เธอแล้วรีบอธิบาย "เมื่อกี้ฉันกำลังคิดว่าพรุ่งนี้กับวันอื่นหว่านชิงยังจะไปโรงเรียนอีกหรือเปล่า"

"หนูจะไปค่ะ!" เสี่ยวหว่านชิงรีบพูด "กว่าเราจะไปต่างประเทศยังอีกหลายวันไม่ใช่หรอคะ? หนูอยากจะไปโรงเรียนจนกว่าจะไปต่างประเทศค่ะ"

"ชอบเล่นกับเพื่อนๆที่นี่มากเลยหรอ?" ไป๋มู่ชิงยิ้ม

เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้า "เพื่อนๆก็ไม่อยากให้หนูไป อยากจะให้หนูอยู่ต่ออีกหน่อย เพราะฉะนั้นหนูก็เลยอยากอยู่กับพวกเธออีกได้ไหมคะ?"

"ได้สิ ขอแค่หว่านชิงชอบก็พอแล้ว" ไป๋มู่ชิงพูดยิ้ม

หลังจากที่พูดคุยกับเสี่ยวหว่านชิงเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้น เฉียวเฟิงก็ยังทอดมองมาที่เธอ เธอเลยยกมือขึ้นจับหน้าตัวเอง "ทำไมคะ? บนหน้าฉันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?"

"ผิดปกติ" เฉียวเฟิงยื่นมือไปจับคางเธอขึ้นแล้วมองสำรวจ

"ผิดปกติตรงไหนคะ?" ไป๋มู่ชิงก็ยังใช้มือลูบหน้าตัวเองอยู่

"อือ……ดูเหมือนว่ากำลังกลุ้มใจอะไรอยู่"

"เปล่า" ไป๋มู่ชิงส่ายหัวแล้วยิ้มไปด้วย "คุณกับหว่านชิงอยู่ข้างกายฉันแบบนี้ ฉันจะมีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจอีก?"

ถึงแม้ปากจะพูดไปอย่างนี้ แต่ในใจก็คิดว่าตัวเองแสดงสีหน้าออกไปขนาดนั้นเลยหรอ? ดูเหมือนว่าตัวเองจะถูกผู้ชายคนนั้นปั่นป่วนแล้ว

มือเฉียวเฟิงที่จับขคางของเธอเปลี่ยนไปลูบหน้าแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน "คุณไม่อยากไปต่างประเทศหรือเปล่าถ้า ไม่อยาก เราก็……"

"เปล่าค่ะ" ไป๋มู่ชิงรีบพูดแทรกขึ้นแล้วกุมมือของเขาไว้ "คุณคิดอะไรอยู่คะ? ทำไมฉันถึงไม่อยากไปต่างประเทศ ฉันอยากจะนั่งเครื่องไปต่างประเทศพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ"

"ทำไม?"

"เพราะฉันอยากจะให้คุณกับหว่านชิงอยู่อย่างมีความสุข"

"ขอบใจนะ" เฉียวเฟิงมองไปที่เธออย่างซึ้งใจแล้วเอ่ยขึ้น

"ระหว่างสามีภรรยาจะพูดขอบคุณทำไม พูดขอบคุณก็ทำให้เราดูเหมือนห่างเหินกันเลย" ไป๋มู่ชิงเอ่ย

เฉียวเฟิงยิ้มแล้ว "ได้ ต่อไปผมจะไม่พูดอีกแล้ว"

หนานกงเฉินเหมือนต้องมนต์สะกด หลังจากที่ทั้งครอบครัวไปจากโรงเรียนอนุบาลแล้วเขาก็เอาแต่ตามติดพวกเขา จนกระทั่งไปถึงร้านขนมหวานในเมืองร้านหนึ่ง

มองผ่านถนนกับหน้าต่างรถที่กั้นอยู่ เขาก็เห็นท่าทางที่ดูสนิทสนมของทั้งครอบครัวลงรถไปแล้วเดินเข้าไปในร้านขนมหวานยังสามารถมองเห็นสีหน้าที่มีความสุขบนใบหน้าไป๋มู่ชิงได้ชัดเจน นั่นสินะถึงเป็นความสุขที่ออกมาจากใจจริง

จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หนานกงเฉินค่อยดึงสติกลับมาจากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วกดรับสาย

อีกฝั่งเป็นเสียงของผู้ช่วยเหยียน "คุณชายเฉินคะ เจอที่อยู่ของแม่ลูกจูฮุ่ยแล้วค่ะ อยู่ที่โซนตะวันตกของเมืองเหยียนค่ะ"

ในใจหนานกงเฉินก็รู้สึกดีใจไปแล้วเอ่ยถามขึ้น "คุณพูดจริงหรอ?"

"จริงค่ะ ถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อแล้วแต่ฉันก็ให้คนเช็คแน่ใจแล้วค่ะ เป็นพวกเขาไม่ผิดแน่นอนค่ะ"

หนานกงเฉินคิดลังเลไปแล้วเอ่ย "ให้เลขาหลิ่วจองตั๋วที่เช้าที่สุดให้ผม คืนนี้ก็ได้"

"คุณชายจะไปด้วยตัวเองหรอคะ?"

"ใช่"

"ความจริงไม่ต้องนะคะ ฉันให้คนไปแอบตัดผมของเสี่ยวอี้กลับมาก็ได้ค่ะ"

"ไม่ ผมจะไปให้เห็นกับตาตัวเอง" หนานกงเฉินพูด เขาไม่เพียงแต่ต้องการตัวอย่างดีเอ็นเอของเสี่ยวอี้ ก็อยากจะรู้เรื่องที่ผ่านมาด้วย ถ้าไป๋มู่ชิงยังไม่ตาย เป็นถึงแม่จะไม่รู้ความจริงได้ยังไง ไม่งั้นเธอคงจะไม่เปลี่ยนชื่อตัวเองแล้วซ่อนตัวหรอก?

ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะเอ่ยพูดกับเขายังไง ก็เลยให้เลขาหลิ่วจองตั๋วเครื่องบินหลังจากสองชั่วโมงหลังจากนี้

สองชั่วโมงต่อมา หนานกงเฉินก็มาถึงสนามบินแล้วเป็นครั้งแรกเลยที่เขาไปเมืองเหยียนในเวลาดึกขนาดนี้

รู้ทั้งรู้ว่าถ้าไปเวลานี้ฟ้าก็ยังไม่สว่าง คงไม่สะดวกมากที่จะไปตามหา แต่เขาก็อดใจไม่ไหว

เมื่อมาถึงเมืองเหยียน เป็นเพราะว่าดึกเกินไปเขาก็เลยจำเป็นต้องอยู่ในโรงแรม จนกระทั่งฟ้าค่อยๆสว่างค่อยขับรถไปตามที่อยู่ของจูฮุ่ย

ถึงแม้หมู่บ้านที่ทั้งสองอยู่จะอยู่โซนตะวันตก แต่หมู่บ้านก็ถือว่ารุ่งเรือง บ้านเรือนสร้างติดกันเป็นหลังเป็นหลังเรียงกันไป สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว กว่าหนานกงเฉินจะหาบ้านของเจอ เขาล็อกประตูรถแล้วเดินออกจากรถก็เจอกับเสี่ยวอี้ที่กำลังจะออกไปเล่นพอดี

"ตอนเที่ยงอย่าเล่นจนเกินเวลานะ รีบกลับมากินข้าว" จูฮุ่ยพูดตามหลังเขา

"รู้แล้วครับ ผมจะกลับมาเร็วๆครับ" เสี่ยวอี้ตอบรับไปพอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าหนานกงเฉินยืนอยู่หน้าประตู เขาอึ้งไปจากนั้นก็เอ่ยด้วยความตกใจ "พี่เขย?"

"เสี่ยวอี้" หนานกงเฉินยิ้มให้เขา

ไม่ได้เจอกันสองปี เสี่ยวอี้ตรงหน้าก็สูงขึ้นไม่น้อย ไม่เหมือนกับเด็กผู้ชายที่เอาแต่บ่นทั้งวันทั้งคืนว่าอยากจะกินไก่ทอดเลย

เมื่อจูฮุ่ยเห็นหนานกงเฉินก็รีบก้าวเดินไปจ้องเขา "คุณชายเฉินคุณมาทำไม ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ขอให้คุณอย่ามารบกวนเราอีก"

หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน "คุณน้าครับ ผมไม่ได้บอกว่าจะมาช่วยเหลือ แค่จะมาเยี่ยมเสี่ยวอี้เฉยๆ แม้แต่มาเยี่ยมก็ไม่ได้หรอครับ?"

จูฮุ่ยไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไรแล้วมองไปทางเสี่ยวอี้ "คุณจะมาเยี่ยมทำไม?"

"แม่ครับ พี่เขยอุตส่าห์มาเยี่ยมผม แม่ก็อย่าไล่เขาไปเลยครับ" เสี่ยวอี้กอดแขนของหนานกงเฉินไว้ "ตอนนี้พี่เขยเป็นแขกของผม ไปกันครับพี่เขย เราไปคุยกันในบ้าน"

หนานกงเฉินยิ้มไปทางจูฮึ่ยอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินเข้าบ้านพร้อมกับเสี่ยวอี้

นี่เป็นบ้านสองชั้นที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ดูสะอาดเรียบร้อย ตรงมุมห้องรับแขกก็มีกระถางธูป บนนั้นก็แขวนรูปภาพของไป๋มู่ชิงไว้ ฝีก้าวของหนานกงเฉินลังเลไปแล้วมองไปที่รูปถ่ายบนผนัง มองไปที่เธอ ในใจเขาก็เหมือนถูกเข็มทิมแทงจนเจ็บปวดทันที

"ถ้ามู่ชิงยังนี้ชีวิตอยู่ เธอก็คงไม่อยากเจอคุณชายหรอกค่ะ" จูฮุ่ยก็เอ๋ยพูดขึ้น

"ผมรู้" หนานกงเฉินพยักหน้า เขาติดค้างเธอมากเกินไป ทำร้ายเธอมากเกินไป

"ถ้าตอนนั้นคุณยอมฟังคำพูดของฉันแล้วปล่อยมือจากมู่ชิง มู่ชิงก็คงจะไม่เสียใจจนเกิดอุบัติเหตุ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด