สรุปตอน บทที่ 201 ความสงสัย – จากเรื่อง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี
ตอน บทที่ 201 ความสงสัย ของนิยายInternetเรื่องดัง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดยนักเขียน เยว่กวางจู่อวี เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสักครู่ เขาค่อยเอ่ยถามขึ้น "คุณว่าอะไรนะ? สามีเธอเป็นคนพิการงั้นหรอ?"
จูจูพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า "สามีของเธอรวยมากแล้วก็หล่อมากด้วย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพิการ เธอก็คงไม่นอกใจหรอก ยิ่งไม่มีทางมายั่วยุคุณ"
เงียบไปอีกสักพัก หนานกงเฉินค่อยถามขึ้น "สามีเธอคือใคร?"
จูจูเกือบจะพูดไปว่าเป็นผู้บริหารของร้านอาหารซิงหยวน แต่พอคิดไปแล้วถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอไปหาเฉียวเฟิงก็คงจะโมโหอีกแน่ๆก็เลยส่ายหัว "ฉันไม่รู้ ฉันเคยเห็นเขา เขานั่งอยู่บนรถเข็น"
ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าเฉียวเฟิงเป็นเจ้าของร้านอาหารซิงหยวน เธอรู้แค่ว่าเฉียวเฟิงนั่งรถรถหรูหรา เสื้อผ้าก็แบรนด์เนมแล้วยังมีห้องทำงานที่ใหญ่โต แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าเป็นคนรวย
หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่จากนั้นก็หันหลังเดินออกประตูไป
"เฉิน คุณจะไปไหนคะ?" เมื่อจูจูเห็นเขาหันหลังจะเดินออกไปข้างนอกก็รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าแล้ววิ่งตามไป
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ ฝีเท้าไม่หยุดก้าวแล้วเดินลงไปข้างล่าง
จนกระทั่งเขาเดินไปที่ประตูแล้วขึ้นรถไป
เขาไม่ได้สตาร์ทรถทันทีแต่กลับนิ่งเหม่ออยู่ที่นั่ง เขาจะรีบร้อนไปทำไม? เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่?
ความจริงหลังจากที่เจอไป๋มู่ชิงเมื่อเช้านี้ ในหัวเขาก็คิดถึงความบังเอิญบางอย่าง เฉียวซือเหิงบอกว่าลูกสาวเฉียวเฟิงอายุสามขวบแล้ว กี่วันนี้ก็กำลังจะไปต่างประเทศ ไป๋มู่ชิงก็บอกว่าจะลาออกแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ บังเอิญจริงๆ! แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไม่คิดไปถึงขนาดนี้เลย
จนกระทั่งเมื่อกี้ได้ยินจูจูพูดถึงว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ แล้วยังเป็นคนพิการที่หน้าตาหล่อแล้วรวยมาก ในสมองเขาก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเป็นเฉียวเฟิง
สามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือเปล่า? เป็นไปได้ยังไง?
สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถแล่นรถออกจากคฤหาสน์ตระกูลหนานกงแล้วไปที่บ้านของคุณหนูอี
ยังดีที่เขาเคยส่งเธอกลับไปครั้งหนึ่งก็เลยรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน
จนกระทั่งเขามาถึงหน้าบ้าน ในบ้านก็ยังมีแสงสว่าง ยังมีเสียงหัวเราะของเสี่ยวหว่านชิงลอยออกมา แล้วยังมีเสียงตำหนิของไป๋มู่ชิงด้วย "หว่านชิง! หยุดเล่นได้แล้ว รีบขึ้นไปนอนเลย"
"ไม่ค่ะ หนูอยากจะเล่นอีก"
"ถ้ายังไม่นอนพรุ่งนี้ก็จะตื่นสายนะ"
"ถ้างั้นหนูจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่"
"ไม่ได้……เราคุยกันแล้วไงคะ หนูเป็นเด็กโตแล้ว นอนกับพ่อแม่ไม่ได้"
"……"
ได้ยินเสียงหัวเราะมีความสุขจากในบ้าน แค่นึกถึงก็เป็นภาพแห่งความสุข แต่ว่ากลับไม่ใช่ของเขา ในใจของหนานกงเฉินก็เริ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมา
จากนั้น เขาเห็นไฟในบ้านเริ่มปิดลงแล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยค่อยหายไป
หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่ในรถครู่หนึ่ง หนานกงเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาผู้ช่วยเหยียน
อีกฝั่งของโทรศัพท์ผู้ช่วยเหยียนก็ชินแล้วที่จะต้องทำงานทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เลยรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว "คุณชายมีอะไรหรือเปล่าคะ?"
หนานกงเฉินมองไปที่บ้านตรงหน้า "คุณช่วยเช็คให้หน่อยว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้"
แค่สืบให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คงพอแล้วมั้ง เขาคิดว่าอย่างนั้น
จากนั้นผู้ช่วยเหยียนก็โทรกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดอย่างมีมารยาท "คุณชายเฉินคะ เจ้าของบ้านเป็นเฉียวเฟิงค่ะ"
ชื่อนี้ทำให้หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าลึก มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็สั่นไหวไป
เมื่อผู้ช่วยรู้สึกถึงความเงียบของเขาก็เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ทำไมคะ? คุณชายเฉิน"
หนานกงเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากที่ตัวเองรู้ความจริงแล้วต้องตกใจขนาดนี้ด้วย ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ไม่ว่าสามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือว่าคนรวยคนไหนก็ไม่แปลกไม่ใช่หรอ? ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาไม่ใช่หรอ?
ไม่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาไม่สนใจก็ได้ นอกจากเฉียวเฟิงนอกจากเขา!
นึกถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ที่เลือนลางระหว่างเฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดา
"คุณชายเฉินคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?" ผู้ช่วยเหยียนก็ถามขึ้นอีก
"ผมเพิ่งรู้วันนี้ ว่าสามีของคุณหนูอีเป็นเฉียวเฟิง" สายตาของหนานกงเฉินมองไปที่หน้าต่างที่ปิดไฟแล้วแล้วเอ่ยออกมา
"ใช่หรอคะ ทำไมบังเอิญขนาดนี้" แต่ท่าทางของผู้ช่วยเหยียนแตกต่างจากเขามาก ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลย
"คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรอ?" หนานกงเฉินถามขึ้น หรือเป็นเพราะท่าทางของเขาเซนซิทีฟเกินไป?
"เออ……คุณชายเฉิน ฉันควรจะรู้สึกแปลกใจเหรอคะ?" ผู้ช่วยเหยียนประหลาดใจ
"ตอนนั้นไป๋มู่ชิงเอาเฉียวเฟิงมายั่วผมตั้งกี่ครั้ง ผมดูออกการกระทำของเฉียวเฟิง น่าจะชอบไป๋มู่ชิง เฉียวซือเหิงไม่เคยบอกผมเลยว่าเฉียวเฟิงแต่งงานมีลูกอยู่ต่างประเทศแล้ว ตอนนี้ข้างกายเขาก็มีภรรยาโผล่มา หน้าตาเหมือนกับไป๋มู่ชิงด้วย……"
ผู้ช่วยเหยียนพยายามนึกย้อนคิดในหัว กว่าจะนึกออกมาได้ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา "คุณชายเฉินสงสัยว่าคุณหนูอีเป็นคุณหญิงน้อยหรอคะ?"
"ผมบ้าไปแล้วใช่ไหม?" หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง
ก็ว่าทำไมผู้ช่วยเหยียนถึงต้องตกใจขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็คงรู้สึกว่าเขาคงบ้าไปแล้ว
"คุณชายเฉินคะ……ฉันไม่รู้ว่าคุณมีความคิดแบบนี้เกินไปหรือเปล่า แต่ว่าฉันต้องเตือนคุณให้คุณคิดแยกแยะดีๆนะคะ"
"คุณพูดมาสิ"
"อันดับแรก อุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง เราเห็นจากกล้องหน้ารถแล้วว่านั่นเป็นคุณหญิงน้อย แล้วรถของคุณหญิงน้อยก็ระเบิดเป็นซากแล้วล้วงขึ้นมาจากทะเล คุณก็เป็นคนไปรับศพเองแล้วยังมีแหวนของตระกูลหนานกงด้วย คุณหญิงน้อยสวมแหวนอยู่ตลอดไม่เคยถอดเลย แล้วตอนนี้ก็อยู่ในมือของคุณหนูจู นอกเสียจากแหวนบนมือคุณหนูจูนี้จะเป็นของปลอม แล้วศพก็เป็นศพปลอมด้วย"
"คุณไม่เข้าใจ เพื่อที่ผมจะได้แต่งงานกับจูจู คุณย่าทำออกมาได้หมด" หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น
คุณหญิงบังคับเอาแหวนจากมือของไป๋มู่ชิงกลับมา แล้วทำศพปลอมขึ้นมา เรื่องแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับท่านเลย
"แต่ถ้าคุณหญิงเป็นคนที่เจอคุณหญิงน้อยแล้วแย่งแหวนกลับมา ดูจากนิสัยของท่านคงไม่มีทางให้คุณหญิงน้อยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้" ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้น "แล้วคุณหนูอีตอนนี้อีก คุณก็เห็นแล้วเธอหน้าตาเหมือนกับหว่านชิงมาก ไม่เหมือนกับรับเลี้ยงเด็กเลย คุณหนูอีก็ไม่ได้คุ้นชินกับที่นี่ด้วย แล้วรู้สึกแปลกหน้าคุณชายเหมือนกับว่าไม่เคยเจอมาก่อน คงไม่ใช่เพราะความจำเสื่อมแล้วก็ไปศัลยกรรมด้วยมั้งคะ? นี่มันละครน้ำเน่าชัดๆ"
หนานกงเฉินก็เงียบไปอีกสักพักค่อยเอ่ยขึ้น "ที่คุณพูดก็ถูก แต่ผมลางสังหรณ์ของตัวเอง ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือมากกว่าลางสังหรณ์แล้ว"
"ถ้าลองตรวจสอบดีๆก็ไม่มีผลเสียอะไรไม่ใช่หรอคะ?" ผู้ช่วยเหยียนพูด "แต่ว่าคุณชายเฉินคุณอย่าใจร้อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะช่วยคุณสืบ คุณพักผ่อนเถอะค่ะ"
"ขอบใจ" หนานกงเฉินวางโทรศัพท์
หลังจากที่วางโทรศัพท์เขาก็ไม่ได้ไปจากหน้าประตูบ้านของไป๋มู่ชิง แต่กลับขับรถไปจอดที่ตรงมุมถนน จากนั้นก็เริ่มต้นการรอคอยที่ยาวนาน
ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านไปทีละนิด แต่เขาไม่รู้สึกง่วงเลย แค่นึกถึงว่าภรรยาของตัวเองอาจจะนอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่น แค่คิดถึงตรงนี้เขาก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว อารมณ์ต่างๆถูกห้ามไว้ในใจแล้วปั่นป่วนไปมา แม้แต่ความคิดพิจารณาเขาก็ไม่เหลือแล้ว
ฟ้าค่อยๆสว่าง บนหลังคารถก็มีใบไม้กับหมอกปกคลุมอยู่ ดูก็รู้เลยว่ารถคันนี้ไม่ได้ไปจากที่นี่ทั้งคืน
รอบข้างก็เริ่มมีเงาของคนทำงาน หนานกงเฉินนั่งอยู่ในรถอย่างนิ่งชา สายตาไม่เคยห่างออกจากบ้านหลังนั้นเลย
จนสุดท้ายเขาเห็นรถคันนึงแล่นมาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน จากนั้นก็เป็นเสี่ยวหว่านชิงที่วิ่งออกมาจากบ้านอย่างดีใจแล้วทักทายกับคนขับรถจากนั้นก็ขึ้นรถไป แล้วตามมาด้วยคุณหนูอีที่เข็นรถเข็นของเฉียวเฟิงออกมา
ใช่ เป็นเฉียวเฟิง เป็นเขาจริงๆด้วย!
ความสงสัยในใจของหนานกงเฉินหายไปในพริบตา เมื่อคืนเขาก็คิดว่าทุกคนอาจจะเข้าใจผิด สามีของคุณหนูอีอาจจะไม่ใช่เฉียวเฟิงก็ได้ แต่เวลานี้ความสงสัยนี้หายไปแล้ว
ครอบครัวตรงหน้าของเขาดูสนิทสนมแล้วมีความสุขมาก บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความสุข
ด้วยโอกาสนี้ เขาก็มองไปที่สีหน้าของคุณหนูอี รอยยิ้มบนใบหน้าเธอเหมือนกับไป๋มู่ชิงมาก ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน
หลังจากที่ทั้งครอบครัวขึ้นรถไปแล้วรถก็ค่อยๆเล่นออกไปทิศทางอีกทางหนึ่ง
จนกระทั่งพวกเขาไปไกลแล้ว หนานกงเฉินค่อยขยับขาทั้งสองข้างที่นิ่งชาแล้วเดินออกมาจากรถ เขาทรงตัวให้นิ่งแล้วค่อยๆชินกับความรู้สึกชาของขาทั้งสอง จากนั้นก็ก้าวเดินไปที่บ้านหลังนั้น
มองผ่านประตูเหล็กที่กั้นอยู่ เขาเห็นสวนที่ดูเรียบร้อยแล้วมีน้องหมาที่น่ารักกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน บ้านไม่ได้หลังใหญ่โตมาก แต่ก็เป็นชีวิตที่เงียบสงบอย่างที่ไป๋มู่ชิงต้องการ
"มู่ชิง เป็นเธอหรือเปล่า?" เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาในใจ
เมื่อคืนหนานกงเฉินไม่ได้กลับมาทั้งคืนแล้วคุณหญิงก็เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าบวกกับคำยุยงของจูจูก็มาถึงบริษัทแต่เช้า
ก่อนที่คุณหญิงกับจูจูจะมาถึงบริษัท หนานกงเฉินกำลังนั่งมองรูปภาพในห้องทำงาน นั่นเป็นภาพวาดของเสี่ยวหว่านชิง
ทำไมคุณหนูอีถึงหน้าตาเหมือนเสี่ยวหว่านชิงขนาดนั้น คำถามนี้เอาแต่วนอยู่ในหัวของเขา ถ้าคุณหนูอีเป็นไป๋มู่ชิง ใบหน้าของเธอก็ศัลยกรรมตามใบหน้าของเสี่ยวหว่านชิงหรอ? เพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนแม่ลูกกันงั้นหรอ?
เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเขาก็รีบเก็บภาพวาดลงใต้โต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น "คุณย่า ทำไมถึงมาบริษัทครับ?"
"เมื่อคืนอยู่ๆแกก็วิ่งออกจากบ้าน ฉันเป็นห่วงว่าแกจะเป็นอะไร" คุณหญิงนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับจูจู แล้วมองสำรวจเขาเมื่อเขาไม่เป็นไรค่อยโล่งอกไป แต่ท่านก็ยังเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"
"ไม่มีอะไรครับ แค่นึกถึงธุระบางอย่างที่เร่งด่วน" หนานกงเฉินเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน
จูจูมองไปที่เขาแล้วในใจก็คิดว่าเขาวิ่งออกไปหลังจากที่ได้ยินว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ ทำไมเขาถึงแสดงท่าทางขนาดนั้น? เป็นเพราะว่าได้ยินว่าสามีเธอเป็นคนพิการแล้วคิดว่าตัวเองยังมีความหวังหรอ?
ในขณะที่คิดมากอยู่ในหัว เธอก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกใครบางคนจับจากเธออึ้งไป เมื่อดึงสติกลับมาค่อยรู้ว่าหนานกงเฉินจับมือเธอไว้
ในใจเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเพราะว่าสายตาที่หนานกงเฉินมองไปที่มือของเธอเป็นสายตาที่อ่อนโยน ความอ่อนโยนที่ไม่เคยมี แต่วินาทีต่อมาจินตนาการในใจของเธอก็แตกสลายไปทันที หนานกงเฉินถอดแหวนบนนิ้วนางของเธอออก
"เฉิน คุณกำลังทำอะไรคะ?" ในใจจูจูก็สั่นเกร็งไป ทำไมเขาต้องถอดแหวนของเธอด้วย? เขาจะหย่ากับเธอหรอ? เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรีบร้อนแล้วหันไปทางคุณหญิง
"เฉิน นี่แกกำลังทำอะไร?" คุณหญิงก็เข้มงวดขึ้นมา
หนานกงเฉินยิ้มแล้วจ้องไปที่คุณหญิง "จะเกร็งทำไมครับ? แค่รู้สึกแหวนดูแปลกๆครับ"
"แหวนจะแปลกได้ยังไง? ฉันกลัวว่าแกจะเอาแหวนไปให้ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก" คุณหญิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ "ฉันขอเตือนแกไว้เลย แกจะทำอะไรข้างนอกก็ได้ แต่อย่าคิดที่จะเอาแหวนไป"
สีหน้าของคุณหญิงไม่เหมือนแสดงละครตบตาเลย หนานกงเฉินก็เดาไม่ออกว่าในใจท่านกำลังคิดอะไรอยู่แล้วยิ้มไปให้ "คุณย่าครับ ถึงผมจะเกเรแค่ไหนก็ไม่กล้าเอาแหวนตระกูลหนานกงไปให้คนอื่นหรอกครับ แล้วอีกอย่าง แหวนนี้เป็นแหวนสืบทอดของตระกูลเรา แต่สำหรับผู้หญิงข้างนอกพวกนั้นคงไม่ได้มีค่าอะไรมาก ถึงผมจะให้คนอื่นเขาก็อาจจะไม่รับก็ได้"
"นี่เป็นแหวนที่แสดงให้เห็นถึงฐานะของคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง" คุณหญิงไม่พอใจกับการที่เขาดูถูกแหวนของตระกูล
"ผมรู้" หนานกงเฉินมองกวาดไปที่จูจู ก็ยังรักษาใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ "จูจูคุณกลัวแหวนวงนี้ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอากลับมาคืน"
"ไม่……" จูจูยังไม่ทันได้เอ่ยพูดหนานกงเฉินก็พูดแทรกเธอแล้วจ้องไปที่เธอ "ถ้าผมเอากลับมา ก็อย่าหาข้ออ้างอะไรที่จะไม่ใส่อีก"
ในใจจูจูก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ ถึงแม้ไม่อยากให้เขาเอาแหวนไปแต่ก็ไม่กล้าแย่งแหวนจากในมือเขามา ก็เลยยิ้มให้ "ได้ ต่อไปฉันจะใส่ทุกวันเลย"
หนานกงเฉินแค่อยากจะแยกตัวเธอออกแล้วถามคุณหญิงเกี่ยวกับเรื่องไป๋มู่ชิง แต่พอจะเอ่ยถามออกมาก็ต้องกลืนกลับไป ในใจคิดว่าช่างเถอะ ถ้าเกิดว่าคุณหญิงเป็นคนทำจริงแล้วรู้ว่าเขาเริ่มสงสัยก็คงจะขัดขวางไม่ให้เขารู้ความจริง
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ความจริง ในขณะที่ตัวเองไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณหนูอีได้ เขาก็จะไม่ทำอะไรเปิดเผยเด็ดขาด
หลังจากที่คุณหญิงออกไป หนานกงเฉินก็เรียกผู้ช่วยเหยียนแล้วนำแหวนให้เธอ "แหวนวงนี้ตอนนั้นผมเคยเอาไปเช็คแล้ว คุณเอาไปเช็คอีกรอบ อย่าทำหายเด็ดขาด"
"คุณชายเฉินไว้ใจเถอะค่ะ ฉันจะระวัง" แหวนของตระกูลหนานกง ให้ความกล้าเธอแค่ไหนเธอก็ไม่กล้าทำให้หาย
ผู้ช่วยเหยียนเก็บแหวนเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้น "คุณชายเฉินคะ ความจริงมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ตรงเลย ก็คือหาคุณแม่กับน้องชายของคุณหญิงน้อย จากนั้นก็ใช้เส้นผมบนตัวพวกเขาแล้วเอาไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ"
ไป๋มู่ชิงมองเขาอย่างประหลาดใจ "คุณชายเฉินถามเรื่องนี้ทำไมคะ?"
"ผมแค่อยากรู้" หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอ "ขอแค่คุณตอบคำถามผม ผมก็จะไปทันที"
"แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันไม่มีเหตุผลหรือว่าหน้าที่อะไรต้องบอกคุณ"
"ถึงบอกผมก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับคุณไม่ใช่หรอ?"
"แล้วคุณบอกฉันมาสิคะ ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องพวกนี้"
หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย "ผมพูดความจริงกับคุณก็ได้ ภรรยาของผมเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นรถระเบิดทั้งคัน"
"ที่แท้คุณชายเฉินก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่ฉันเหมือนกับภรรยาเก่าของคุณ" ไป๋มู่ชิงส่ายหัวอย่างหมดคำพูดแล้วยิ้มอย่างขมขื่น "ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องอดีตเลย แต่ฉันก็จะบอกคุณว่าฉันไม่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นเพราะที่บ้านไฟไหม้ฉันเลยมีแผลค่ะ"
"เฉียวเฟิงเป็นคนบอกคุณหรอหรือว่าคุณจำสถานการณ์ตอนนั้นได้เอง?"
ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไป "คุณสืบเรื่องสามีของฉันหรอคะ? หนานกงเฉินสรุปคุณคิดจะทำอะไรกันแน่?"
"ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเป็นภรรยาของผมหรือเปล่า?"
"ฉันจะเป็นภรรยาของคุณได้ยังไงคะ? ฉันมีสามีแล้วมีลูกมีครอบครัวแล้ว" ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า "คุณชายเฉิน ฉันไม่ใช่ภรรยาเก่าที่คุณพูดถึงจริงๆค่ะ ฉันขอร้องให้คุณปล่อยฉันไปได้ไหมคะ?"
เธอนิ่งไปสักพัก เพื่อที่จะไล่เขาไปแล้วเอ่ยขึ้นอีก "ฉันตกลงมาจากระเบียง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันถูกเผาผิวกายไหม้ไปหมด เป็นเพราะสามีกับลูกสาวของฉันที่อยู่กับฉันถึงทุกวันนี้ ฉันรักสามีกับลูกสาวของฉันมาก เพราะฉะนั้นขอร้องคุณอย่ามารบกวนพวกเราอีกได้ไหมคะ? ขอร้องเถอะค่ะ"
"มู่ชิง……"
"ฉันไม่ใช่มู่ชิง ฉันชื่อว่าอีหลิน" ไป๋มู่ชิงพูดตัดเขา
"คุณหนูอีอย่าพึ่งอารมณ์เสียนะครับ"
"ฉันจะไม่อารมณ์เสียได้ไงคะ? คุณมายุ่งวุ่นวายกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า มารบกวนฉันแล้วยังเป็นเหตุผลเดียวกันอีก ถึงแม้ฉันจะหน้าตาเหมือนกับภรรยาเก่าของคุณ ฉันผิดหรอคะ? ฉันยั่วยวนคุณหรอคะ? คุณต่างหากที่คิดไม่ดี เห็นคนอื่นมีชีวิตดีกว่าคุณไม่ได้!" ไป๋มู่ชิงพูดจบจากนั้นก็ใช้มือกดไปที่ตัวล็อกประตู สุดท้ายประตูก็เปิดออก
"มู่ชิง……" ด้วยความใจร้อนหนานกงเฉินก็จับข้อมือของเธอไว้
"ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่มู่ชิง ฉันชื่ออีหลิน!" ไป๋มู่ชิงมองไปที่ฝ่ามื้อเขาที่จับข้อมือตัวเองไว้แล้วพูดอย่าหงุดหงิด "ขอให้คุณชายให้เกียรติคนอื่นด้วยค่ะ"
หนานกงเฉินก็ยังไม่อยากปล่อยมือ แต่ไป๋มู่ชิงก็อยากจะรีบไปจากที่นี่ เธอใช้มืออีกข้างงัดมือของเขาออกจากนั้นก็ลงรถแล้วปิดประตูเดินกลับไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง
มองไปที่แผ่นหลังของเธอที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว หนานกงเฉินก็สูดหายใจเข้าอย่างไม่สบอารมณ์
ก่อนที่จะมาที่นี่เขารู้ว่าคงจะเป็นแบบนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมาหาเธอ เพราะว่าเขาอยากรู้ความจริงมาก เขากลัวว่าเธอจะไปต่างประเทศจริงๆ
หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่ในรถไปสักพัก เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาเฉียวซือเหิง อีกฝั่งก็มีเสียงที่ขี้เกียจของเฉียวซือเหิงดังขึ้น "นายดื่มไม่ได้ซะหน่อยจะหาฉันทำไม?"
"ไม่ว่าจะดื่มหรือไม่ดื่ม ออกมานั่งก็ยังดี" หนานกงเฉินพูด
"ก็ได้ เจอกันที่เดิม" เฉียวซือเหิงลังเลไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้น
หลังจากไป๋มู่ชิงกลับถึงบ้าน เฉียวเฟิงก็ออกมาจากห้องนอนพอดี
เมื่อเห็นว่าไป๋มู่ชิงเดินเข้ามาจากนอกบ้านเฉียวเฟิงก็มองกวาดไปที่เธอแล้วเอ่ย "คุณออกไปหรอ?"
"ใช่ค่ะ ฉันไปทิ้งขยะ" ไป๋มู่ชิงใช้คางชี้ไปที่ถังขยะที่ว่างเปล่า เรื่องที่ไปเจอหนานกงเฉิน เพื่อที่จะไม่ให้เฉียวเฟิงคิดมากเธอคิดว่าอย่าพูดดีกว่า
"หว่านชิงนอนแล้วหรอคะ?" เธอถาม
"นอนแล้ว" เฉียวเฟิงพยักหน้าแล้วพูดกับเธอ "รีบไปอาบน้ำเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วก็พักผ่อน"
"ได้" ไป๋มู่ชิงตอบรับจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางห้องอาบน้ำ
หลังจากที่ปิดประตูห้องน้ำเธอก็แอบถอนหายใจแล้วเดินไปหน้ากระจกมองสำรวจตัวเอง เธอเหมือนภรรยาเก่าของหนานกงเฉินขนาดนั้นเลยหรอ? ทำไมเขาเอาแต่อยากจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอ?
เธอก็รู้สึกประหลาดใจกับหน้าตาของผู้หญิงที่ชื่อว่า'มู่ชิง' ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วค้นหาข้อมูลของ จากนั้นก็เห็นรูปถ่ายของเขากับภรรยา มองไปที่ใบหน้าที่แปลกตาในรูป เธอไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองเหมือนตรงไหน
เฉียวเฟิงเคยบอกเธอว่าเมื่อสองปีก่อนหมอศัลยกรรมตามใบหน้าเดิมของเธอ แล้วใบหน้าตอนนี้ก็เป็นเธอด้วย เธอเชื่อมั่นอย่างนั้นแล้วอีกอย่างเสี่ยวหว่านชิงก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด
เสี่ยวหว่านชิงเป็นลูกสาวของเธอ เรื่องนี้เธอแน่ใจมาก!
แต่ว่าเฉียวเฟิงปิดบังอะไรเธอหรือว่าหนานกงเฉินคิดถึงภรรยาเก่ามากเกินไป จนหลอนขึ้นสมอง?
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงอาบน้ำเสร็จก็เดินมานั่งลงที่หน้าเฉียวเฟิงแล้วมองไปที่เขา "อ่าเฟิง ก่อนที่ฉันจะความจำเสื่อมฉันหน้าตาเป็นยังไงหรอ?"
เฉียวเฟิงก้มหน้าลงไปแล้วมองสำรวจเธอ "ทำไมถึงถามล่ะ?"
"ฉันก็ไม่รู้ แค่อยากถามให้แน่ใจ"
"หนานกงเฉินมาหาคุณอีกหรือเปล่า? แล้วคิดว่าคุณเป็นภรรยาเก่าของเขา?" ในใจของเฉียวเฟิงก็สั่นเกร็งขึ้นมาทันที
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า "ไม่ใช่ ฉันแค่อยากจะรู้เฉยๆ"
เฉียวเฟิงจับมือของเธอไว้แล้วทอดมองเธอ "ถึงแม้เรื่องเล่าของหนานกงเฉินจะซึ้งแค่ไหน แต่คุณไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เชื่อผมนะ"
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ของเขาก็รีบพยักหน้า "ฉันเชื่อคุณ แค่เป็นสิ่งที่คุณพูดฉันก็เชื่อ เพราะฉันรู้ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรักฉันมากกว่าคุณ"
"รู้ก็ดีแล้ว"เฉียวเฟิงกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วพูดเสียงเบาข้างหู "บนโลกนี้ก็ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผมแล้ว"
พวกเขาใช้ข้ออ้างที่รักเธอแล้วเอาแต่ทำร้ายเธอ หลินอันหนานก็เป็นแบบนี้ หนานกงเฉินก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาไม่เพียงทำร้ายเธอ ยังให้คนอื่นมารังแกด้วย ผู้ชายแบบนี้จะมีสิทธิ์อยู่ข้างกายเธอได้ยังไง?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...