เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 201

ผ่านไปสักครู่ เขาค่อยเอ่ยถามขึ้น "คุณว่าอะไรนะ? สามีเธอเป็นคนพิการงั้นหรอ?"

จูจูพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า "สามีของเธอรวยมากแล้วก็หล่อมากด้วย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพิการ เธอก็คงไม่นอกใจหรอก ยิ่งไม่มีทางมายั่วยุคุณ"

เงียบไปอีกสักพัก หนานกงเฉินค่อยถามขึ้น "สามีเธอคือใคร?"

จูจูเกือบจะพูดไปว่าเป็นผู้บริหารของร้านอาหารซิงหยวน แต่พอคิดไปแล้วถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอไปหาเฉียวเฟิงก็คงจะโมโหอีกแน่ๆก็เลยส่ายหัว "ฉันไม่รู้ ฉันเคยเห็นเขา เขานั่งอยู่บนรถเข็น"

ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าเฉียวเฟิงเป็นเจ้าของร้านอาหารซิงหยวน เธอรู้แค่ว่าเฉียวเฟิงนั่งรถรถหรูหรา เสื้อผ้าก็แบรนด์เนมแล้วยังมีห้องทำงานที่ใหญ่โต แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าเป็นคนรวย

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่จากนั้นก็หันหลังเดินออกประตูไป

"เฉิน คุณจะไปไหนคะ?" เมื่อจูจูเห็นเขาหันหลังจะเดินออกไปข้างนอกก็รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าแล้ววิ่งตามไป

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ ฝีเท้าไม่หยุดก้าวแล้วเดินลงไปข้างล่าง

จนกระทั่งเขาเดินไปที่ประตูแล้วขึ้นรถไป

เขาไม่ได้สตาร์ทรถทันทีแต่กลับนิ่งเหม่ออยู่ที่นั่ง เขาจะรีบร้อนไปทำไม? เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่?

ความจริงหลังจากที่เจอไป๋มู่ชิงเมื่อเช้านี้ ในหัวเขาก็คิดถึงความบังเอิญบางอย่าง เฉียวซือเหิงบอกว่าลูกสาวเฉียวเฟิงอายุสามขวบแล้ว กี่วันนี้ก็กำลังจะไปต่างประเทศ ไป๋มู่ชิงก็บอกว่าจะลาออกแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ บังเอิญจริงๆ! แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไม่คิดไปถึงขนาดนี้เลย

จนกระทั่งเมื่อกี้ได้ยินจูจูพูดถึงว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ แล้วยังเป็นคนพิการที่หน้าตาหล่อแล้วรวยมาก ในสมองเขาก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเป็นเฉียวเฟิง

สามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือเปล่า? เป็นไปได้ยังไง?

สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถแล่นรถออกจากคฤหาสน์ตระกูลหนานกงแล้วไปที่บ้านของคุณหนูอี

ยังดีที่เขาเคยส่งเธอกลับไปครั้งหนึ่งก็เลยรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน

จนกระทั่งเขามาถึงหน้าบ้าน ในบ้านก็ยังมีแสงสว่าง ยังมีเสียงหัวเราะของเสี่ยวหว่านชิงลอยออกมา แล้วยังมีเสียงตำหนิของไป๋มู่ชิงด้วย "หว่านชิง! หยุดเล่นได้แล้ว รีบขึ้นไปนอนเลย"

"ไม่ค่ะ หนูอยากจะเล่นอีก"

"ถ้ายังไม่นอนพรุ่งนี้ก็จะตื่นสายนะ"

"ถ้างั้นหนูจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่"

"ไม่ได้……เราคุยกันแล้วไงคะ หนูเป็นเด็กโตแล้ว นอนกับพ่อแม่ไม่ได้"

"……"

ได้ยินเสียงหัวเราะมีความสุขจากในบ้าน แค่นึกถึงก็เป็นภาพแห่งความสุข แต่ว่ากลับไม่ใช่ของเขา ในใจของหนานกงเฉินก็เริ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมา

จากนั้น เขาเห็นไฟในบ้านเริ่มปิดลงแล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยค่อยหายไป

หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่ในรถครู่หนึ่ง หนานกงเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาผู้ช่วยเหยียน

อีกฝั่งของโทรศัพท์ผู้ช่วยเหยียนก็ชินแล้วที่จะต้องทำงานทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เลยรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว "คุณชายมีอะไรหรือเปล่าคะ?"

หนานกงเฉินมองไปที่บ้านตรงหน้า "คุณช่วยเช็คให้หน่อยว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้"

แค่สืบให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คงพอแล้วมั้ง เขาคิดว่าอย่างนั้น

จากนั้นผู้ช่วยเหยียนก็โทรกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดอย่างมีมารยาท "คุณชายเฉินคะ เจ้าของบ้านเป็นเฉียวเฟิงค่ะ"

ชื่อนี้ทำให้หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าลึก มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็สั่นไหวไป

เมื่อผู้ช่วยรู้สึกถึงความเงียบของเขาก็เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ทำไมคะ? คุณชายเฉิน"

หนานกงเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากที่ตัวเองรู้ความจริงแล้วต้องตกใจขนาดนี้ด้วย ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ไม่ว่าสามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือว่าคนรวยคนไหนก็ไม่แปลกไม่ใช่หรอ? ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาไม่ใช่หรอ?

ไม่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาไม่สนใจก็ได้ นอกจากเฉียวเฟิงนอกจากเขา!

นึกถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ที่เลือนลางระหว่างเฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดา

"คุณชายเฉินคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?" ผู้ช่วยเหยียนก็ถามขึ้นอีก

"ผมเพิ่งรู้วันนี้ ว่าสามีของคุณหนูอีเป็นเฉียวเฟิง" สายตาของหนานกงเฉินมองไปที่หน้าต่างที่ปิดไฟแล้วแล้วเอ่ยออกมา

"ใช่หรอคะ ทำไมบังเอิญขนาดนี้" แต่ท่าทางของผู้ช่วยเหยียนแตกต่างจากเขามาก ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลย

"คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรอ?" หนานกงเฉินถามขึ้น หรือเป็นเพราะท่าทางของเขาเซนซิทีฟเกินไป?

"เออ……คุณชายเฉิน ฉันควรจะรู้สึกแปลกใจเหรอคะ?" ผู้ช่วยเหยียนประหลาดใจ

"ตอนนั้นไป๋มู่ชิงเอาเฉียวเฟิงมายั่วผมตั้งกี่ครั้ง ผมดูออกการกระทำของเฉียวเฟิง น่าจะชอบไป๋มู่ชิง เฉียวซือเหิงไม่เคยบอกผมเลยว่าเฉียวเฟิงแต่งงานมีลูกอยู่ต่างประเทศแล้ว ตอนนี้ข้างกายเขาก็มีภรรยาโผล่มา หน้าตาเหมือนกับไป๋มู่ชิงด้วย……"

ผู้ช่วยเหยียนพยายามนึกย้อนคิดในหัว กว่าจะนึกออกมาได้ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา "คุณชายเฉินสงสัยว่าคุณหนูอีเป็นคุณหญิงน้อยหรอคะ?"

"ผมบ้าไปแล้วใช่ไหม?" หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง

ก็ว่าทำไมผู้ช่วยเหยียนถึงต้องตกใจขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็คงรู้สึกว่าเขาคงบ้าไปแล้ว

"คุณชายเฉินคะ……ฉันไม่รู้ว่าคุณมีความคิดแบบนี้เกินไปหรือเปล่า แต่ว่าฉันต้องเตือนคุณให้คุณคิดแยกแยะดีๆนะคะ"

"คุณพูดมาสิ"

"อันดับแรก อุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง เราเห็นจากกล้องหน้ารถแล้วว่านั่นเป็นคุณหญิงน้อย แล้วรถของคุณหญิงน้อยก็ระเบิดเป็นซากแล้วล้วงขึ้นมาจากทะเล คุณก็เป็นคนไปรับศพเองแล้วยังมีแหวนของตระกูลหนานกงด้วย คุณหญิงน้อยสวมแหวนอยู่ตลอดไม่เคยถอดเลย แล้วตอนนี้ก็อยู่ในมือของคุณหนูจู นอกเสียจากแหวนบนมือคุณหนูจูนี้จะเป็นของปลอม แล้วศพก็เป็นศพปลอมด้วย"

"คุณไม่เข้าใจ เพื่อที่ผมจะได้แต่งงานกับจูจู คุณย่าทำออกมาได้หมด" หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น

คุณหญิงบังคับเอาแหวนจากมือของไป๋มู่ชิงกลับมา แล้วทำศพปลอมขึ้นมา เรื่องแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับท่านเลย

"แต่ถ้าคุณหญิงเป็นคนที่เจอคุณหญิงน้อยแล้วแย่งแหวนกลับมา ดูจากนิสัยของท่านคงไม่มีทางให้คุณหญิงน้อยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้" ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้น "แล้วคุณหนูอีตอนนี้อีก คุณก็เห็นแล้วเธอหน้าตาเหมือนกับหว่านชิงมาก ไม่เหมือนกับรับเลี้ยงเด็กเลย คุณหนูอีก็ไม่ได้คุ้นชินกับที่นี่ด้วย แล้วรู้สึกแปลกหน้าคุณชายเหมือนกับว่าไม่เคยเจอมาก่อน คงไม่ใช่เพราะความจำเสื่อมแล้วก็ไปศัลยกรรมด้วยมั้งคะ? นี่มันละครน้ำเน่าชัดๆ"

หนานกงเฉินก็เงียบไปอีกสักพักค่อยเอ่ยขึ้น "ที่คุณพูดก็ถูก แต่ผมลางสังหรณ์ของตัวเอง ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือมากกว่าลางสังหรณ์แล้ว"

"ถ้าลองตรวจสอบดีๆก็ไม่มีผลเสียอะไรไม่ใช่หรอคะ?" ผู้ช่วยเหยียนพูด "แต่ว่าคุณชายเฉินคุณอย่าใจร้อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะช่วยคุณสืบ คุณพักผ่อนเถอะค่ะ"

"ขอบใจ" หนานกงเฉินวางโทรศัพท์

หลังจากที่วางโทรศัพท์เขาก็ไม่ได้ไปจากหน้าประตูบ้านของไป๋มู่ชิง แต่กลับขับรถไปจอดที่ตรงมุมถนน จากนั้นก็เริ่มต้นการรอคอยที่ยาวนาน

ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านไปทีละนิด แต่เขาไม่รู้สึกง่วงเลย แค่นึกถึงว่าภรรยาของตัวเองอาจจะนอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่น แค่คิดถึงตรงนี้เขาก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว อารมณ์ต่างๆถูกห้ามไว้ในใจแล้วปั่นป่วนไปมา แม้แต่ความคิดพิจารณาเขาก็ไม่เหลือแล้ว

ฟ้าค่อยๆสว่าง บนหลังคารถก็มีใบไม้กับหมอกปกคลุมอยู่ ดูก็รู้เลยว่ารถคันนี้ไม่ได้ไปจากที่นี่ทั้งคืน

รอบข้างก็เริ่มมีเงาของคนทำงาน หนานกงเฉินนั่งอยู่ในรถอย่างนิ่งชา สายตาไม่เคยห่างออกจากบ้านหลังนั้นเลย

จนสุดท้ายเขาเห็นรถคันนึงแล่นมาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน จากนั้นก็เป็นเสี่ยวหว่านชิงที่วิ่งออกมาจากบ้านอย่างดีใจแล้วทักทายกับคนขับรถจากนั้นก็ขึ้นรถไป แล้วตามมาด้วยคุณหนูอีที่เข็นรถเข็นของเฉียวเฟิงออกมา

ใช่ เป็นเฉียวเฟิง เป็นเขาจริงๆด้วย!

ความสงสัยในใจของหนานกงเฉินหายไปในพริบตา เมื่อคืนเขาก็คิดว่าทุกคนอาจจะเข้าใจผิด สามีของคุณหนูอีอาจจะไม่ใช่เฉียวเฟิงก็ได้ แต่เวลานี้ความสงสัยนี้หายไปแล้ว

ครอบครัวตรงหน้าของเขาดูสนิทสนมแล้วมีความสุขมาก บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความสุข

ด้วยโอกาสนี้ เขาก็มองไปที่สีหน้าของคุณหนูอี รอยยิ้มบนใบหน้าเธอเหมือนกับไป๋มู่ชิงมาก ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน

หลังจากที่ทั้งครอบครัวขึ้นรถไปแล้วรถก็ค่อยๆเล่นออกไปทิศทางอีกทางหนึ่ง

จนกระทั่งพวกเขาไปไกลแล้ว หนานกงเฉินค่อยขยับขาทั้งสองข้างที่นิ่งชาแล้วเดินออกมาจากรถ เขาทรงตัวให้นิ่งแล้วค่อยๆชินกับความรู้สึกชาของขาทั้งสอง จากนั้นก็ก้าวเดินไปที่บ้านหลังนั้น

มองผ่านประตูเหล็กที่กั้นอยู่ เขาเห็นสวนที่ดูเรียบร้อยแล้วมีน้องหมาที่น่ารักกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน บ้านไม่ได้หลังใหญ่โตมาก แต่ก็เป็นชีวิตที่เงียบสงบอย่างที่ไป๋มู่ชิงต้องการ

"มู่ชิง เป็นเธอหรือเปล่า?" เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาในใจ

เมื่อคืนหนานกงเฉินไม่ได้กลับมาทั้งคืนแล้วคุณหญิงก็เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าบวกกับคำยุยงของจูจูก็มาถึงบริษัทแต่เช้า

ก่อนที่คุณหญิงกับจูจูจะมาถึงบริษัท หนานกงเฉินกำลังนั่งมองรูปภาพในห้องทำงาน นั่นเป็นภาพวาดของเสี่ยวหว่านชิง

ทำไมคุณหนูอีถึงหน้าตาเหมือนเสี่ยวหว่านชิงขนาดนั้น คำถามนี้เอาแต่วนอยู่ในหัวของเขา ถ้าคุณหนูอีเป็นไป๋มู่ชิง ใบหน้าของเธอก็ศัลยกรรมตามใบหน้าของเสี่ยวหว่านชิงหรอ? เพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนแม่ลูกกันงั้นหรอ?

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเขาก็รีบเก็บภาพวาดลงใต้โต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น "คุณย่า ทำไมถึงมาบริษัทครับ?"

"เมื่อคืนอยู่ๆแกก็วิ่งออกจากบ้าน ฉันเป็นห่วงว่าแกจะเป็นอะไร" คุณหญิงนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับจูจู แล้วมองสำรวจเขาเมื่อเขาไม่เป็นไรค่อยโล่งอกไป แต่ท่านก็ยังเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"

"ไม่มีอะไรครับ แค่นึกถึงธุระบางอย่างที่เร่งด่วน" หนานกงเฉินเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน

จูจูมองไปที่เขาแล้วในใจก็คิดว่าเขาวิ่งออกไปหลังจากที่ได้ยินว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ ทำไมเขาถึงแสดงท่าทางขนาดนั้น? เป็นเพราะว่าได้ยินว่าสามีเธอเป็นคนพิการแล้วคิดว่าตัวเองยังมีความหวังหรอ?

ในขณะที่คิดมากอยู่ในหัว เธอก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกใครบางคนจับจากเธออึ้งไป เมื่อดึงสติกลับมาค่อยรู้ว่าหนานกงเฉินจับมือเธอไว้

ในใจเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเพราะว่าสายตาที่หนานกงเฉินมองไปที่มือของเธอเป็นสายตาที่อ่อนโยน ความอ่อนโยนที่ไม่เคยมี แต่วินาทีต่อมาจินตนาการในใจของเธอก็แตกสลายไปทันที หนานกงเฉินถอดแหวนบนนิ้วนางของเธอออก

"เฉิน คุณกำลังทำอะไรคะ?" ในใจจูจูก็สั่นเกร็งไป ทำไมเขาต้องถอดแหวนของเธอด้วย? เขาจะหย่ากับเธอหรอ? เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรีบร้อนแล้วหันไปทางคุณหญิง

"เฉิน นี่แกกำลังทำอะไร?" คุณหญิงก็เข้มงวดขึ้นมา

หนานกงเฉินยิ้มแล้วจ้องไปที่คุณหญิง "จะเกร็งทำไมครับ? แค่รู้สึกแหวนดูแปลกๆครับ"

"แหวนจะแปลกได้ยังไง? ฉันกลัวว่าแกจะเอาแหวนไปให้ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก" คุณหญิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ "ฉันขอเตือนแกไว้เลย แกจะทำอะไรข้างนอกก็ได้ แต่อย่าคิดที่จะเอาแหวนไป"

สีหน้าของคุณหญิงไม่เหมือนแสดงละครตบตาเลย หนานกงเฉินก็เดาไม่ออกว่าในใจท่านกำลังคิดอะไรอยู่แล้วยิ้มไปให้ "คุณย่าครับ ถึงผมจะเกเรแค่ไหนก็ไม่กล้าเอาแหวนตระกูลหนานกงไปให้คนอื่นหรอกครับ แล้วอีกอย่าง แหวนนี้เป็นแหวนสืบทอดของตระกูลเรา แต่สำหรับผู้หญิงข้างนอกพวกนั้นคงไม่ได้มีค่าอะไรมาก ถึงผมจะให้คนอื่นเขาก็อาจจะไม่รับก็ได้"

"นี่เป็นแหวนที่แสดงให้เห็นถึงฐานะของคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง" คุณหญิงไม่พอใจกับการที่เขาดูถูกแหวนของตระกูล

"ผมรู้" หนานกงเฉินมองกวาดไปที่จูจู ก็ยังรักษาใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ "จูจูคุณกลัวแหวนวงนี้ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอากลับมาคืน"

"ไม่……" จูจูยังไม่ทันได้เอ่ยพูดหนานกงเฉินก็พูดแทรกเธอแล้วจ้องไปที่เธอ "ถ้าผมเอากลับมา ก็อย่าหาข้ออ้างอะไรที่จะไม่ใส่อีก"

ในใจจูจูก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ ถึงแม้ไม่อยากให้เขาเอาแหวนไปแต่ก็ไม่กล้าแย่งแหวนจากในมือเขามา ก็เลยยิ้มให้ "ได้ ต่อไปฉันจะใส่ทุกวันเลย"

หนานกงเฉินแค่อยากจะแยกตัวเธอออกแล้วถามคุณหญิงเกี่ยวกับเรื่องไป๋มู่ชิง แต่พอจะเอ่ยถามออกมาก็ต้องกลืนกลับไป ในใจคิดว่าช่างเถอะ ถ้าเกิดว่าคุณหญิงเป็นคนทำจริงแล้วรู้ว่าเขาเริ่มสงสัยก็คงจะขัดขวางไม่ให้เขารู้ความจริง

เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ความจริง ในขณะที่ตัวเองไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณหนูอีได้ เขาก็จะไม่ทำอะไรเปิดเผยเด็ดขาด

หลังจากที่คุณหญิงออกไป หนานกงเฉินก็เรียกผู้ช่วยเหยียนแล้วนำแหวนให้เธอ "แหวนวงนี้ตอนนั้นผมเคยเอาไปเช็คแล้ว คุณเอาไปเช็คอีกรอบ อย่าทำหายเด็ดขาด"

"คุณชายเฉินไว้ใจเถอะค่ะ ฉันจะระวัง" แหวนของตระกูลหนานกง ให้ความกล้าเธอแค่ไหนเธอก็ไม่กล้าทำให้หาย

ผู้ช่วยเหยียนเก็บแหวนเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้น "คุณชายเฉินคะ ความจริงมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ตรงเลย ก็คือหาคุณแม่กับน้องชายของคุณหญิงน้อย จากนั้นก็ใช้เส้นผมบนตัวพวกเขาแล้วเอาไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด