เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 204

“มู่ชิง ฉันอยากให้คุณพบคนสองคน”หนานกงเฉินกล่าว

“ไม่จำเป็นค่ะ”ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง“คุณชายเฉินค่ะ จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาของกันและกันอีกเลยนะค่ะ ตั้งแต่ตอนที่คุณพูดถึงเรื่องลูก ฉันก็กล้ามั่นใจ 100% ได้เลยว่าฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการหา ล้มเลิกเถอะค่ะ ”

“ถ้าคุณไม่พบพวกเขาก่อนแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”หนานกงเฉินพูดจบจึงลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องนอนแล้วเคาะประตูตะโกนเสียงดังว่า:“เสี่ยวอี้พวกเธอออกมาได้แล้ว”

ประตูห้องนอนถูกคนเปิดออก เสียวอี้และเหยาเหม่ยเดินออกมาจากด้านใน เหยาเหม่ยถามว่า:“พวกคุณคุยกันเสร็จแล้วหรอคะ?”

“เพราะประตูห้องเก็บเสียงได้ดีมาก เธอไม่ได้ยินเลยว่าเมื่อครู่พวกเขาคุยกันอะไรกัน ”

หนานกงเฉินพยักหน้าพาทั้งสองคนไปยังห้องรับแขกพูดกับไป่มู่ชิง:“คุณดูสิ คุณยังรู้จักพวกเขาอยู่หรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เสียวอี้และเหยาเหม่ย เสียวอี้และเหยาเหม่ยก็กำลังมองไปที่ไป่มู่ชิง ในสายตาของทั้งคู่นั้นแสดงให้เห็นว่าแปลกหน้า

หนานกงเฉินเดินไปตรงหน้าไป่มู่ชิง ลากเธอลุกขึ้นจากโซฟา ชี้ไปที่เสียวอี้พูดว่า:“มู่ชิง นี่เป็นน้องชายที่คุณรักมากที่สุดไง เพื่อเขาแล้วคุณสามารถเสียสละได้ทุกอย่าง คุณจำไม่ได้หรอ?”

“ไป๋มู่ชิงมองเสียวอี้อย่างค้นคิดเล็กน้อย สายตายังคงบ่งบอกว่าแปลกหน้า เธอส่ายหัวไปมา:“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จักจริงๆค่ะ ”

หลังจากที่เสียวอี้จ้องสังเกตไป่มู่ชิงแล้ว เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินพูดว่า:“พี่เขยครับ เขาไม่ใช่พี่สาวของผมจริงครับ”

“เสียวอี้”หนานกงเฉินแอบสะกิตที่เอวของเขาเล็กน้อยพูดว่า:“เขาเป็นพี่สาวขอเธอจริงๆเขาแค่สูญเสียความทรงจำแล้วจำเธอไม่ได้นะ”

“เป็นไปได้ไงที่พี่สาวของผมจะจำผมไม่ได้ พี่สาวผมเอ็นดูและรักผมมากที่สุด ”เสียวอี้จ้องมองไป๋มู่ชิงอีกครั้ง ส่ายหัวไปมา:“ เขาไม่ใช่พี่สาวผมครับ”

ใช่ค่ะคุณชายเฉิน” เหยาเหม่ยเดินเข้ามา หลังจากที่สังเกตมองไป๋มู่ชิงไปสักพักแล้วพูดกับหนานกงเฉิน:“คุณชายเฉินคุณหยุดเพ้อเจ้อได้แล้วค่ะ ฉันรู้ว่าคุณคิดถึงมู่ชิงมาก แต่เธอไม่เหมือนมู่ชิงแม้แต่นิด จะเป็นมู่ชิงได้ยังไง?”

“เธอเป็นเขาจริงๆ!”หนานกงเฉินตะคอกใส่เหยาเหม่ยอย่างอารมณ์เสีย

เสียวอี้พูดกลับคำกะทันหันก็ยังพอให้อภัยได้ เพราะเขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เธอคาดคิดไม่ถึงว่าเหยาเหม่ยก็ยังพูดกลับคำขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นกัน ในตอนนี้เขารู้สึกกังวลโมโหมาก

เหยาเหม่ยโดนเขาตะคอกใส่จนอึ่ง แต่ก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดว่า:“ คุณชายเฉิน รถของมู่ชิงระเบิดใหม้ไปแล้ว คุณคิดว่ายังจะมีชีวิตรอดหรอคะ?นอกจากนั้นคุณป็นคนไปรับศพด้วยตัวเอง แม้แต่แหวนก็เอากลับมาแล้ว คุณเลิกหลอกลวงตัวเองสักที……”

“พอได้แล้ว!”หนานกงเฉินขัดเธอด้วยความโกรธจัด

ไม่มีใครเชื่อเขาเลย ทุกคนคิดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดเจนว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนที่เขาเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอดทำไมไม่มีคนเชื่อเขา แม้แต่ไป่มู่ชิงก็ยังไม่เชื่อ!

เหยาเหมยกลัวจนต้องหดคอ และก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกสักคำ

หนานกงเฉินเอื่อมมือไปลากเสียวอี้ที่อยู่ข้างๆเขา ผลักเข้าไปยังตรงหน้าของไป่มู่ชิงพูดอย่างดุเดือด:“ เสียวอี้ เธอดูให้ชัดเจน เธอคือพี่สาวแท้ๆของเธอ เธอบอกว่าเธอคิดถึงเธอมากไม่ใช่หรอ คิดถึงเธอเสมอไม่ใช่หรอ แล้วทำไมตอนนี้เธอยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว?แต่เธอกลับจำเธอไม่ได้?”

“พี่เขยครับ……”เสียวอี้ตื่นกลัวมากที่เห็นกิริยาอันดุเดือดของเขา

หนานกงเฉินเพิกเฉยไม่สนใจเธอ แต่กลับหันไปหาไป๋มู่ชิง:“มู่ชิง คุณลองมองดูดีๆสิ คิดดูดีๆสิ เธอคือเสียวอี้ ชอบกินนองไก่มากที่สุด เสียวอี้ที่ชอบตื๊อให้คุณคอยซื้อไก่ย่างให้เธอกินตลอด คุณจำเธอไม่ได้แล้วจริงๆหรอ?คุณลืมเธอไปได้ยังไง?”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองที่เสียวอี้ เริ่มมีอาการเวียนหัวอีกครั้ง เธอกังวลว่าเธอจะปวดหัวรุนแรงเหมือนเมื่อกี้อีก จึงรีบละสายตาจากตัวเสียวอี้ พูดกับหนานกงเฉินว่า:“ขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้จักเธอจริงๆ  สามารถปล่อยฉันกลับไปได้ยังคะ?ขอร้องล่ะ……”

“ไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้จักเธอ แต่คุณกำลังวิ่งหนีมัน!”หนานกงเฉินเริ่มกังวลและโกรธ

ไป๋มู่ชิงหันหลังกำลังจะกลับออกไป หนานกงเฉินรีบคว้ามือดึงเธอกลับมา:“มู่ชิง คุณอย่าพึ่งไปนะ  ฉันยังมีเรื่่องต้องคุยกับคุณ……!”

“หนานกงเฉิน!คุณพอได้แล้ว?”ไป๋มู่ชิงตะโกนและดิ้นมือออก ใช้มือทั้งสองข้างผลักดันหน้าอกของเขาอย่างแรง หนานกงเฉินถอยหลังออกอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้แต่มองเธอจากไป ครั้งนี้เขาไม่ได้ตามออกไป  แต่ระบายอารมณ์โดยการชกมือลงไปทั้งสองข้าง ทันทีนั้นเหมือนกับลูกบอลโดนปล่อยลม

ภายในห้องอยู่ในความเงียบเหยาเหม่ยเหลือบมองประตูที่ถูกปิดลง คอยๆจ้องมองไปที่หนานกงเฉินอย่างระวัง:“คุณชายเฉินค่ะ……คุณโอเคไหมคะ?”

หนานกงเฉินได้สูดลมหายใจเบาๆ หลังจากสงบอารมณ์แล้วพูดกับเธอ รบกวนคุณช่วยส่งเธอกลับไปหน่อย ขอบคุณครับ”

“เธอหรอ?”เหยาเหม่ยชี้ไปทางประตู รีบพยักหน้า:“อืม 

ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”

เหยาเหม่ยก็ไม่อยากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ เธอจึงรีบหันตัวเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว

หนานกงเฉินก้าวถอยหลังสองสามก้าว แล้วล้มตัวลงบนโซฟาข้างๆ ในใจเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและพ่ายแพ้

เขาคิดไม่ถึงว่าไป่มู่ชิงจะลืมเขาอย่างหมดจด ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว แม้แต่เสียวอี้ที่เธอรักมากที่สุดก็ยังลืมไปอย่างสิ้นเชิง

เสียวอี้จ้องมองเขาแล้วคิดอยู่ครู่นึ่ง จึงหันตัวเดินไปที่ตู้น้ำเทน้ำมาให้เขาแก้วหนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆเธอถามด้วยความเป็นห่วง:“พี่เขยครับ คุณไม่เป็นไรนะครับ?”

หนานกงเฉินยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ พูดอย่างขมขื่นว่า:“ ขอบคุณมาก ฉันไม่เป็นไร”

เสียวอี้ได้แต่พยักหน้า รีบพูดต่อว่า:“พี่เขยครับ ผมรู้ว่าคุณคิดถึงถึงพี่สาวมาก แต่พี่สาวจากไปนานแล้วครับ”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ มองไปที่เธอพูดว่า:“เสียวอี้ อันที่จริงพี่ไม่ได้โทษพวกเธอที่ไม่เชื่อ ตอนที่ฉันเห็นเธอครั้งแรกฉันก็ไม่คาดคิดและจำไม่ได้ว่าเป็นเธอ”

“เพราะฉะนั้น พี่เขยครับ”อย่ามัวแต่หาข้ออ้างอีกเลยครับ”

หนานกงเฉินพยักหน้ารับ:“ฉันรู้ล่ะ”เขาพูดจบ เขายืนมือขึ้นโอบไหล่เล็ก ๆ ของเธอพูดว่า:“เสียวอี้ เรื่องที่ฉันให้เธอไปตรวจร่างกายและเรื่องเมื่อกี้ที่ให้เธอมาดูว่าใช่พี่สาวเธอหรือเปล่าอย่าบอกใครได้ไหม?รวมถึงคุณแม่เธอด้วย”

เขาไม่อาจบังคับให้เสียวอี้เชื่อเขา เพราะเสียวอี้เป็นแค่เด็กคนหนึ่งจะให้เขารู้มากเกินไปมันก็ไม่ดี

“ผมรู้แล้วครับ พี่เขยครับ ”เสียวอี้ให้คำสัญญา:“รับรองว่าผมจะไม่บอกแม่ครับ”

เหยาเหม่ยมองใบหน้าที่ไม่พอใจของไป่มู่ชิง ถามด้วยความเป็นห่วง:“คุณหนูอีค่ะ คุณโอเคไหมค่ะ?”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก มันจะโอเคได้ไง แต่เธอก็ยังพยักหน้ารับ:“ยังโอเคค่ะ”

ลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เหยาเหม่ยเดินตามหลังเธอนอกจากคุยโทรศัพท์แล้ว ก็เดินไปตรงทางออกประตูสวนดอกไม้ ไป่มู่ชิงรู้สึกว่าเธอยังตามหลังตัวเองอยู่ เลยหันหลังไปถามว่า:“ขอโทษนะคะคุณยังมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

“โอ้ คุณชายเฉินไม่ไว้วางใจคุณ ก็เลยให้ฉันไปส่งคุณกลับบ้านนค่ะ ”เหยาเหม่ยชี้ไปยังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างๆ :“คุณหนูอีขึ้นรถเถอะค่ะฉันไปส่งคุณนะคะ”

ไป๋มู่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหันหลังเดินขึ้นไปรถของเธอ

รถถูกขับออกจากคอนโดเซียงตีไปได้สักพัก เหยาเหม่ยค่อยแอบมองไป่มู่ชิงที่นั้งอยู่ข้างๆตลอด ตอนรถจอดรอสัญญาณไฟก็เอาแต่แอบมองเธอโดยสัญชาตญาณ  พูดขึ้นว่า:“คุณหนูอี อย่าโทษคุณชายเฉินที่จำคนผิดนะคะ ฉันยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าบนตัวคุณมีเงาของมู่ชิง”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอ ถามอย่างเรียบๆ:“มีเหรอคะ?”

“มีค่ะ”เหยาเหม่ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ใช่แล้วค่ะ ฉันจำได้ว่าตรงข้อมือของมู่ชิงมีรอยฟันกดหลายอัน คุณ…… ”ก่อนที่จะพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนข้อมือของไป่มู่ชิงไม่มีรอยฟันกดใดๆทั้งสิ้น เธอเอียงหัวคิดอยู่สักพัก พึมพำอย่างเบาๆ:“หรือว่าจะเป็นหนานกงเฉินคิดมากไปจริงๆ?”

“คุณเป็นเพื่อนของคุณชายเฉินหรอคะ?”ไป๋มู่ชิงมองหน้าถามเขาอย่างไม่ต้องการคำตอบ:“ถ้าหากใช่แล้วล่ะก็ รบกวนคุณช่วยฉันเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย ฉันไม่ใช่อดีตภรรยาของเขาจริงๆค่ะ ฉันเป็นคนมีลูกและสามีแล้ว และฉันไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา ”

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ใช่เพื่อนของคุณชายเฉิน ฉันกับมู่ชิงเป็นเหมือนพี่น้องกัน”เหยาเหม่ยรับอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“โอ้”ไป๋มู่ชิงได้แต่พยักหน้ารับ แล้วหันหน้ากลับไป

เหยาเหม่ยมองไปที่เธออีกครั้ง:“คุณหนูอี คุณอย่าโทษคุณชายเฉินที่รุกรานคุณเลยนะคะ เขาแค่คิดถึงมู่ชิงมากจนเกินไป ก็เลยหากห้ามใจไม่ได้คิดว่าคุณเป็นเธอ จริงๆแล้วเขา……ไม่มีเจตนาร้ายใดๆเลยนะคะ ”

“ฉันรู้ ฉันแค่……”ไป๋มู่ชิงใช้เวลาคิดอยู่สักพักสุดท้ายเธอก็เลือกที่จะส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีกเลย

เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต่อต้านสิ่งที่หนานกงเฉินทำให้เธอ หรือว่าจะเป็นอย่างที่หนานกงเฉินพูดจริงๆ เธอกำลังตั้งใจวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่?

ไม่……

ในใจเธอคัดค้านทันที เธอไม่เชื่อในสิ่งที่หนานกงเฉินพูดแม้แต่เรื่องเดียว ไม่เชื่อแม้แต่ประโยคเดียว  แล้วเธอมีอะไรให้ต้องวิ่งหนีล่ะ?

เมื่อไป๋มู่ชิงกลับมาถึงบ้าน เสียวหว่านชิงที่กำลังเล่นกับสุนัขอยู่ในสวนก็วิ่งเข้าไปกอดไป่มู่ชิงทันที พูดว่า:“แม่คุณ หายไปไหนมาคะ ?พ่อกับหนูเรากำลังรอคุณแม่กลับค่ะ ”

ร่างเล็กๆกระแทกเข้ากับขาของเธอ มันเป็นความสัมผัสที่อบอุ่นใจมาก เธอก้มหน้าลงไปเห็นหน้ากลมๆเล็กๆของหว่านชิงที่จองมองเธออยู่ ด้วยรักที่เต็มเปี่ยม เธอจึงย่อตัวลง กอดเสียวหว่านชิงไว้ในอ้อมแขน ลูบหัวอันน้อยๆของเขาพูดว่า:“ขอโทษนะคะ แม่แค่ออกไปทำธุระแปปเดียวเอง ”

“คุณแม่ค่ะ คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”เมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังร้องไห้ เสี่ยวหว่านชิงก้าวถอยออกจากอ้อมแขนของเธอ จ้องมองเธอด้วยความเป็นห่วง 

“ไม่เป็นอะไรค่ะ เป็นเพราะแม่เห็นหว่านชิงรู้สึกดีใจมาก ”ไป๋มู่ชิงลูบหน้ากลมๆของเสียวหว่านชิง มองหน้าที่คล้ายคลึงกับเธอมาก  นึกถึงคำพูดของหนานกงเฉิน

เป็นไปได้ไงที่หว่านชิงจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของเธอ?ทั้งๆที่หน้าเหมือนเธอมากขนาดนี้ ติดเธอมาก รวมถึงพฤติกรรมการกินและวิธีพูดของเธอก็คล้ายกัน เธอไม่เคยสงสัยในตัวตนของเสียวหว่านชิงเลย แม้แต่ตอนนี้เธอก็ไม่อยากสงสัย

เธออ้อมกอดเสียวหว่านชิงไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ลูบหัวแล้วยิ้มพูดขึ้นว่า:“หว่านชิงเป็นเด็กดีของแม่”

หว่านชิงพยักหน้าอย่างมีดีใจสุดๆ:“หว่านชิงยังเป็นเด็กดีของคุณพ่อด้วยค่ะ”

“ถูกต้องค่ะ หว่านชิงเป็นเด็กดีของคุณพ่อและคุณแม่  ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

หลังจากกอดเธออยู่สักพัก ไป๋มู้ชิงถึงยอมคลายมือปล่อยเธอ ลุกขึ้นยืนจากพื้นเงยหน้าขึ้นพึ่งเห็นว่าเฉียวเฟิงออกมาจากในบ้านตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งตอนนี้กำลังจ้องมองเธออย่างหน้าเรียบๆ

ไป๋มู่ชิงตัวแข็งไปครู่หนึ่ง ทักเขาเบา ๆ ถามขึ้นว่า:“ทำไมพวกคุณกลับมาเร็วจัง?”

“คุณไปไหนมา?ทำไมโทรศัพท์ก็ไม่รับ?”เฉียวเฟิงจ้องไปที่เธอ

“ฉัน……”ไป่มู่ชิงเงียบ ไม่รู้ว่าควรบอกเขาหรือเปล่าเรื่องที่เธอไปพบหนานกงเฉินมา

เฉียวเฟิงรีบพูดขัดว่า:“ไปพบหนานกงเฉินมาใช่ไหม?”

ที่แท้เขารู้!ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า:“คุณรู้ได้อย่างไง?”

สีหน้าของคุณเขียนไว้อย่างชัดเจน เฉียวเฟิงกล่าว นอกจากเขา ยังจะมีใครอีกที่สามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนขนาดนี้

เฉียวเฟิงขยับตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองแววตาของเธอแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา:“เขายังคงใช้ข้ออ้างเดิม ๆ เพื่อขอให้คุณเห็นอกเห็นใจ คุณเริ่มใจอ่อนต่อเขาแล้วใช่ไหม? เริ่มรู้สึก ...”

“ไม่ใช่ค่ะ!”ไป่มู่ชิงรีบขัดเขา:“อาเฟิง คุณอย่าคิดเอาเองสิคะ มันจะเป็นไปได้ยังไงฉันจะเห็นใจกับข้ออ้างของเขาได้อย่างไร?ฉันไปพบเขาเพราะต้องการขอแหวนของฉันคืน จริงๆนะ นี่คุณดู ……”

เธอยกมือขวาขึ้นยื่นมือไปตรงหน้าเฉียวเฟิง:“คุณดูสิ ตอนนั้นฉันได้ทำแหวนตกหล่นที่บริษัทของเขาจริงๆด้วย เขาพึ่งจะช่วยฉันหามันเจอ”

“แค่ไปเอาแหวนทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วย?ทำไมคุณต้องไปเอาด้วยตัวเอง?” เฉียวเฟิงพูดอย่างโมโห

“เพราะว่า ...…”ไป๋มู่ชิงเงียบไป

“เขายังคงตามตื้อคุณใช่ไหม?ยังคงพูดเรื่องไร้สาระอะไรไม่รู้กับคุณใช่ไหม?”เฉียวเฟิงยังคงถามต่อ

ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รีบก้มลงไปกุมมือของเขาแล้วพูดว่า:“เฟิง ขอโทษน่ะคะ  ฉันไม่น่าจะไปเอาด้วยตัวเองเลย คุณอย่าโกธรเลยได้ไหม?”

“พึ่งกลับจากต่างประเทศไม่กี่วัน คุณก็ไปสนิทสนมกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ จะไม่ให้ฉันโกธรได้อย่างไร?”

“ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆ ฉันได้บอกเขาไปแล้วว่า วันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน อาเฟิง พรุ่งนี้เราก็จะไปต่างประเทศแล้ว คุณยังไม่เชื่อความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณหรือคะ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าเล็กที่เริ่มกังวลของเธอ ถามว่า:“ถ้าคุณกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ  เมื่อกี้ทำไมคุณถึงร้องไห้  ทำไมทุกครั้งที่พบเขาคุณถึงมีอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ ?คุณเป็นแบบนี้จะให้ฉันเชื่อใจได้ยังไง?”

“ฉัน ... ฉันแค่รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”

“อารมณ์ไม่ดีเรื่องอะไร?”

“อาเฟิง อย่าถามฉันอีกเลยได้ไหมเปล่า?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาแล้วถาม:“ถ้ามีใครตื่นคุณทั้งวันพูดแต่เรื่องราวที่ซึ้งใจมากมายให้คุณฟัง ใจคุณก็ต้องรู้สึกเครียดไปตามกันใช่ไหม?วันนี้ฉันได้บอกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่ฉันจะเป็นอดีตภรรยาของเขาและเราจะไปต่างประเทศในเร็ว ๆ นี้”

“เขายังบอกฉันอีกว่าหว่านชิงไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของฉัน ฉันได้ยินเรื่องนี้แล้วจะให้ฉันเฉยเมยได้อย่างไร?”

“เขาบอกคุณว่าหว่านชิงไม่ใช่ลูกสาวของคุณ?”

“อืม…”

“คุณเชื่อไหม?”

“ฉันไม่เชื่อแน่นอน”ไป๋มู่ชิงหันหลังเข้าไปกอดหว่านชิงใว้ในอ้อมแขนของเธอ:“ฉันจะไม่รู้ว่าได้ยังไงว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ๆของฉันหรือเปล่า?คำพูดแบบนี้ฉันจะเชื่อได้อย่างไร?”

เฉียวเฟิงสูดลมหายใจเบาๆ พูดว่า:“ดีแล้วที่คุณไม่เชื่อ จำไว้ว่า คุณเป็นผู้ให้กำเนิดหว่านชิง จริงแท้ยิ่่งกว่าอะไรอีก”

“ฉันเชื่อค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ใช่มือทั้งสองข้างกุมมือของเขาไว้อีกครั้ง:“จ้องมองเขาอย่างอ่อนโยนให้สัญญาว่า:“สามีคะ คุณวางใจได้ หลังจากผ่านพรุ่นนี้ไปแล้วทุกอย่างก็จบลง ผ่านไปแล้วชีวิต ของเราจะกลับสู่ความสงบเหมือนเดิม หนานกงเฉินก็จะไม่สามารถมาวุ่นวายกับชีวิตของเราอีกแล้ว”

เฉียวเฟิงพยักหน้า เปลี่ยนมาจับมืออันเล็กน้อยของเธอแทน:“ขอโทษน่ะ อาหลินฉันกังวลมากกลัวเขาจะตื้อจนคุณเอ่อออกับเขาไปด้วย แล้วทิ้งฉันกับหว่านชิงไป  ดังนั้นฉันจึงกังวลใจมาก ฉันไม่ได้ตั้งใจโมโหใส่คุณ ”

“ฉันรู้ ฉันเข้าใจ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

“พอได้แล้วพวกเราเข้าบ้านกันเถอะ”ไป๋มู่ชิงมองสองพ่อลูก:“พวกเธอคงยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหม?ขอโทษน่ะฉันไปทำให้เดี๋ยวนี้ล่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด