เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 208

ถ้าเขาบีบคอเธอให้ตายแบบนี้ มู่ชิงจะกลับมาอยู่ข้างๆ เขาไหม? ไม่ใช่นะ?

ผู้หญิงตรงหน้านี้เขาได้รับมามากพอแล้ว ผิดหวังกับเธอมานานมาก ฆ่าเธอให้ตาย เขาไม่รู้สึกปวดใจเลยสักนิด แต่เมื่อข้อนิ้วถึงพลังเฮือกสุดท้าย เขาก็ทำไม่ลงอีกต่อไป ในหัวมีความคิดแวบเข้ามา ตอนเด็กๆ เธอนั่งยองๆ หน้าเตียง สองมือประคองแก้มยิ้มแล้วถามขึ้น “โตขึ้นนายจะแต่งงานกับฉันไหม? รอนายแต่งงานกับฉัน เราก็จะเป็นครอบครัว ฉันก็จะดูแลนายได้ไง”

ตอนนั้นเขาตอบว่าอย่างไร? เขาพูดว่า “ฉันสัญญา โตขึ้นฉันจะต้องแต่งงานกับเธอ”

น่าเสียดายที่เวลามันหมดไป คนที่เคยเป็น เรื่องที่เคยเป็น……สิ่งต่างๆ ยังเหมือนเดิมแต่คนมันเปลี่ยนไปแล้ว!

“เฉิน เธอจะทำอะไร?” คุณผู้หญิงเห็นหน้าจูจูเปลี่ยนจากสีแดงกลายเป็นสีม่วงเพราะถูกหนานกงเฉินบีบคอ ก็ดุอย่างโกรธเคือง “เธอจะบีบคอหล่อนจนตายหรือไง? ปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”

“จูจู ฉันไม่เคยอยากให้เธอตายเหมือนในตอนนี้เลย นี่มันปัญหาของฉันหรือปัญหาของเธอ?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างขมขื่นแล้วพ่นออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ปล่อยมือ จูจูหลุดออกจากฝ่ามือเขา ไหลลงกับพื้นหายใจหอบ

หน้าเธอ เปลี่ยนจากสีม่วงเป็นซีดเซียวในพริบตาเดียว

จู่ๆ เขาก็โน้มตัวลงมา จ้องมองเธอแล้วพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่กล้ารับประกันว่าฉันกับผู้ช่วยหลินคนนี้จะรักษาความสัมพันธ์ที่สะอาดกันได้ไหม เธออยากไล่หล่อนไปจากฉันใช่ไหม?”

“ฉัน……” จูจูไออย่างรู้สึกแย่หลายทีแล้วพูดขึ้น “ฉันเปล่า……”

“ทุกเรื่องที่เธอทำ พอทำเสร็จเธอก็บอกว่าเปล่า ฉันฟังจนเบื่อแล้ว” หนานกงเฉินยืนขึ้นอย่างขมขื่น มองไปที่คุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้น “คุณย่า เรื่องในชีวิตผมคุณดูแลได้เพราะคุณเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เรื่องการทำงาน ต่อไปหวังว่าคุณอย่ามายุ่งอีกนะครับ ฝึกอบรมพนักงานที่มั่นใจในตัวเองและมีความสามารถมันไม่ง่าย ดูทั้งบริษัทสิ นามสกุลหนานกงจริงๆ มีกี่คน? ทั้งบริษัทจะกลายเป็นของตระกูลเซิ่งแล้ว!”

“เธอไม่ได้ให้ความสำคัญกับบริษัทตลอดเวลา เรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้ โทษลูกน้องว่าไม่เชื่อใจเธอได้ไหม?”

“คุณก็เลยจัดการเลขาเหยียนแทนผมเหรอ? จูจูเธอแสดงอารมณ์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง คุณอายุป่านนี้แล้วยังไม่เข้าใจการเดิมพันพวกนี้เหรอครับ?”

“หนานกงเฉิน นี่เธอกำลังสอนฉันเหรอ?” คุณผู้หญิงโกรธแล้ว

หนานกงเฉินส่ายหน้า “ไม่กล้าหรอกครับ ผมแค่เตือนคุณ ให้แยกแยะความสำคัญ”

“สำหรับฉัน การที่เธอมีชีวิตที่มีความสุขนั้นสำคัญที่สุด!” คุณผู้หญิงพูดอย่างโกรธเคือง

แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเลขาเหยียนสำคัญสำหรับหนานกงเฉินมาก สำคัญกับบริษัทมากเช่นกัน แต่ถ้าไม่กำจัดเลขาเหยียนจูจูก็จะตายได้ทุกเมื่อ เธอจะทำอะไรได้บ้าง? ถ้าสักวันหนึ่งเธอทนไม่ไหวจริงๆ ฆ่าตัวตายขึ้นมา เธอจะทำอย่างไร? หนานกงเฉินจะทำอย่างไร?

ทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ หนานกงเฉินมักจะไม่สามารถพูดกับเธอได้ ไม่อยากเถียงกับเธออีกต่อไป เขาไม่พูดอะไรอีกเลย หันตัวเดินไปที่ประตูใหญ่

“เฉิน……เธอเพิ่งกลับมาก็จะไปอีกแล้วเหรอ?” คุณผู้หญิงพูดอย่างโกรธเคืองใส่แผ่นหลังเขา

“ผมจะไปอยู่อพาร์ทเมนท์” หนานกงเฉินทิ้งประโยคนี้แล้วก็ขับรถออกไป

หนานกงเฉินไปแล้ว จูจูกว่าจะได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก เธอร้องไห้เสียงดังใส่คุณผู้หญิง ร้องไห้น้อยใจสุดๆ

คุณผู้หญิงเห็นเธอร้องไห้ ก็ปลอบหนึ่งประโยคอย่างค่อนข้างหงุดหงิด “เธอไม่ต้องร้องไห้แล้ว ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้ว เฉินนิสัยแบบนี้แหละ ยิ่งต่อสู้กับเขามากเท่าไรเขาก็ยิ่งรังเกียจเธอมากเท่านั้น ทำตามเขาไปเถอะ เป็นเด็กดีเชื่อฟังเขาจะยิ่งชอบ”

ตอนนี้จูจูเข้าคำพูดเหล่านี้เข้าไปที่ไหนกัน แน่นอนว่าเธอก็อยากเป็นภรรยาที่ดีและเชื่อฟัง แต่เธอเชื่อฟังมาสองปีกว่าแล้ว แม้แต่ใบหน้ายิ้มแย้มของหนานกงเฉินยังไม่เคยได้รับเลย? วันนี้มันเกินไปมาก ไม่คิดว่าเขาอยากบีบคอเธอให้ตายจริงๆ ?

แค่นึกถึงความเย็นชาบนใบหน้าเขาตอนที่บีบคอตนเมื่อครู่นี้ เธอก็หวาดผวาอยู่เลย!

คราวก่อนที่หนานกงเฉินโกรธเธอเพราะคุณหนูอี แถมยังขู่เธอด้วย วันนี้อยากบีบคอเธอให้ตายเพราะเลขาเหยียนคนเดียวอีก สำหรับเขาแล้วผู้หญิงทุกคนที่เป็นคนนอกนั้นสำคัญหมด ยกเว้นภรรยาอย่างเธอคนนี้!

--

หลังจากปล่อยไป๋มู่ชิงไป ชีวิตของหนานกงเฉินก็ตกอยู่ในความว่างเปล่าอีกครั้งในพริบตาเดียว

เขาดูวิดีโออุบัติเหตุรถชนของไป๋มู่ชิงในตอนแรกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูการตรวจตราในโรงพยาบาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉียวเฟิงบอกว่าอุบัติเหตุรถยนต์นี้มีคนทำขึ้น แต่เขายังไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย

เขาไม่เชื่อใจจูจูอย่างเด็ดขาด แต่ก็ยังหาเบาะแสไม่ได้

เขาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมาโทรไปที่ห้องทำงานเลขาเหยียน หลังจากโทรเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าเธอลาออกไปแล้ว จึงวางโทรศัพท์กลับไปที่เครื่อง อย่างไรก็ตามนอกจากเลขาเหยียน เขาก็ไม่เชื่อใจใครอีก ถึงแม้มันจะไม่เหมาะสม แต่เขาก็ยังกดโทรเข้าเบอร์เลขาเหยียน

เลขาเหยียนอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์กำลังทำงานออนไลน์อยู่ ได้รับโทรศัพท์จากเขาแล้วก็สำรวมใจทันที ถามขึ้นอย่างสุภาพ “มีอะไรเหรอคะ? คุณชายเฉิน”

“เธอบอกว่าเธอจะช่วยฉันใช่ไหม?”

“แน่นอนค่ะ ฉันยังรับเงินเดือนคุณอยู่นะ”

หลังจากลาออกไปแล้ว น้ำเสียงเลขาเหยียนที่พูดกับหนานกงเฉินก็ผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อน ไม่ใช่บทสนทนาที่เข้มงวดเหมือนหัวหน้าคุยกับลูกน้องอีกต่อไป

“เรื่องอะไร?” เธอถามอีกประโยค

“ฉันอยากตรวจสอบเรื่องอุบัติเหตุรถยนต์ของมู่ชิงตอนนั้นอีกครั้ง” หนานกงเฉินพูด “เธอไปหานักสืบมืออาชีพมาให้ฉันสักกลุ่มสิ”

“ได้ค่ะ ยังไงแล้วตอนนี้ฉันก็ไม่มีอะไรทำ” เลขาเหยียนพูด “ฉันจะไปตั้งใจสอบถาม พยายามหาคนที่เป็นมืออาชีพที่สุด”

“ขอบคุณครับ”

“แต่คุณชายเฉิน……” เลขาเหยียนพูดอีก “ต้องการตรวจสอบข้อเท็จจริง คุณหนูจูเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุด คุณต้องการตรวจสอบแบบโจ่งแจ้งหรือลับๆ ?”

“ตอนนี้ฉันสงสัยว่าเรื่องนี้จูจูเป็นคนทำ ดังนั้นต้องดำเนินการโดยที่เธอไม่สังเกตเห็น”

“ตอนแรกคุณก็สงสัยเธอ และสืบไปทางเธอไม่ใช่เหรอ?”

“บางทีตอนนั้นสืบไม่ละเอียดมากพอ มีบางอย่างหายไปล่ะมั้ง” หนานกงเฉินพูดอย่างขมขื่น

เลขาเหยียนพยักหน้า พูดขึ้น “ถ้าสืบลับๆ ……พูดตามตรง มันยากมาก แต่คุณชายเฉินไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”

“โอเค งั้นก็เอาตามนี้นะ” หนานกงเฉินพูดจบ ก็วางสายไป

--

เช้าตรู่ ไป๋มู่ชิงที่ไม่มีอะไรทำไปส่งเสียวหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จแล้ว ก็ขับรถไปส่งเฉียวเฟิงที่ร้านอาหาร

หลังจากรถออกมาจากโรงเรียนอนุบาล จู่ๆ ไป๋มู่ชิงก็ถามเฉียวเฟิง “เฟิง เราจะไปต่างประเทศเมื่อไร?” ในใจเธอคิดว่าคงไม่ใช่เพราะทะเลาะกับหนานกงเฉินครั้งนี้ เลยไม่ได้วางแผนไปต่างประเทศแล้วใช่ไหม?

เฉียวเฟิงคิดแล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้ของหนานกงเฉินยังไม่ได้รับการแก้ไข ถึงเราจะไปต่างประเทศ เขาก็ตามเราไปได้เหมือนกัน ดังนั้น……รอเรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“แล้วคุณวางแผนจะแก้ไขยังไง?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างค่อนข้างกังวล

“จริงๆ ฉันยังคิดไม่ออก” เฉียวเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เขาไม่ใช่ยังไม่ได้คิด แต่รู้สึกเป็นฝ่ายถูกกระทำ อย่างไรแล้วคนที่มาพัวพันไม่ยอมปล่อยตลอดก็คือหนานกงเฉิน

เขาก็เคยคิดจะพาไป๋มู่ชิงหนีไปทันที แต่ต่อมาก็คิดว่า หนานกงเฉินเคยบอกว่าจะไม่ปล่อยไป๋มู่ชิงไปและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไปไกลสุดขอบฟ้าก็ไม่มีประโยชน์

คืนนั้นปัญหาที่เขาให้หนานกงเฉินไป เขารู้ว่าหนานกงเฉินต้องทำไม่ได้แน่ๆ ถึงแม้เขาจะโหดร้ายก็ตามแต่คุณผู้หญิงต้องไม่อนุญาตแน่ๆ ท้ายที่สุดแล้วในสายตาตระกูลหนานกง จูจูสำคัญต่อชีวิตหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้ว่าควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรดี จึงทำได้แค่เงียบ

เงียบไปสักพักหนึ่ง เฉียวเฟิงมองสังเกตเธอแล้วถามความสงสัยที่อยู่ในใจมาตลอด “หลิน ทำไมเธอไม่ถามฉันเลยว่า……ในอดีตเธอกับหนานกงเฉินมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า?”

ไป๋มู่ชิงหันไปมองเขา พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “จริงๆ ฉันเคยบอกหนานกงเฉินไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าอดีตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ประสบอะไรมาบ้าง ความทรงจำพวกนั้นมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ฉันไม่อยากหามันกลับมาอีก และไม่จำเป็นต้องตามหามันกลับมาด้วย”

“เธอคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ?”

“อืม ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันมีความสุขมาก ไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตที่มีความสุขนี้อีก และถึงแม้ว่าฉันกับหนานกงเฉินจะมีอะไรด้วยกันมา ระหว่างเราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

เฉียวเฟิงพยักหน้า “เธอคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว แบบนี้ฉันจะได้สบายใจ”

--

ตอนบ่าย เสียวหว่านชิงเพิ่งตื่นนอนก็ถูกครูฟางเรียกไปที่ประตูห้องเรียน

ขณะที่เขาเห็นหนานกงเฉินที่ยืนด้านหลังครูฟาง ก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “คุณลุงขี้โกหก ทำไมมาอยู่ที่นี่คะ?”

สีหน้าหนานกงเฉินขมวด แสร้งทำเป็นพูดไม่พอใจ “คราวที่แล้วเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ให้เรียกฉันว่าคุณลุงขี้โกหก”

“โอ๊ะ ขอโทษค่ะ ฉันควรเรียกคุณว่าลุงเฉิน” เสียวหว่านชิงพูด

“ที่แท้พวกคุณก็รู้จักกันจริงๆ ด้วย” ครูฟางเหลือบมองหนานกงเฉิน พบว่าเขาดูไม่เหมือนคนนอกเลยสักนิด และความสัมพันธ์กับเสียวหว่านชิงก็ดูเหมือนสนิทกันมาก จึงพูดขึ้น “ลุงเฉินของหนูบอกว่าอยากพาหนูออกไปเล่นสักหน่อย ได้ไหม?”

เสียวหว่านชิงมองหนานกงเฉินแล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ลุงเฉิน คุณจะหนูไปเล่นที่ไหน?”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หนูอยากไปไหน? พาหนูไปกินของหวานดีไหม?”

เขาจำได้ว่าเสียวหว่านชิงชอบทานขนมหวาน คราวก่อนครอบครัวพวกเขาสามคนเพิ่งไปมา

“แต่แม่บอกว่าห้ามออกจากโรงเรียนไปกับคนอื่นตามใจชอบ หนูกลัวแม่ว่าหนู”

“ไม่เป็นไร ก่อนเลิกเรียนช่วงบ่ายฉันจะพาหนูมาส่งก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ลุงเฉินก็ไม่ใช่คนเลวใช่ไหม?”

“ลุงเฉินจะมาส่งหนูกลับก่อนเลิกเรียนช่วงบ่ายจริงๆ ใช่ไหม? ห้ามหลอกหนูนะ”

“แน่นอน ลุงเฉินเคยหลอกหนูตอนไหน?” หนานกงเฉินพูดจบก็กระแอมไอเบาๆ โดยไม่สนใจความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้ถูกเธอเรียกว่าคุณลุง ‘ขี้โกหก’

“งั้นก็ได้ค่ะ” เสียวหว่านชิงหันตัวไปพูดกับครูฟาง “ครูฟาง หนูอยากออกไปเที่ยวกับลุงเฉิน ครูห้ามบอกแม่หนูนะคะ”

ครูฟางมองหนานกงเฉิน แล้วมองเสียวหว่านชิงอีกครั้ง ลังเลอย่างลำบากใจเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ไม่ให้แม่รู้……แบบนี้ไม่ค่อยดีไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลุงเฉินบอกว่าจะพาหนูมาส่งก่อนเลิกเรียนช่วงบ่าย” เสียวหว่านชิงพูด “ครูฟาง ลุงเฉินไม่ใช่คนเลว คราวก่อนเขาช่วยชีวิตหนูที่บันไดเลื่อนด้วยล่ะ”

ครูฟางมองหนานกงเฉิน สุดท้ายก็ตกลง

หนานกงเฉินพาเสียวหว่านชิงเดินออกมาจากโรงเรียนอนุบาล เดินไปยังเขตตัวเมือง

เขาพาเสียวหว่านชิงมาที่ร้านขนมสุดหรูแห่งหนึ่ง ให้เสียวหว่านชิงเลือกขนมที่ตัวเองโปรดปราน จากนั้นก็นั่งข้างๆ หน้าต่างดูเธอทาน

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องพาเสียวหว่านชิงออกมาจากโรงเรียนอนุบาล ตอนบ่ายเขาไปทำธุระบางอย่างที่สถานีตำรวจมา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกว่างเปล่า ต้องการหาเหตุผลที่จะไปเจอไป๋มู่ชิง คิดมาค่อนวันก็หาเหตุผลไม่ได้

ขณะที่ผ่านโรงเรียนอนุบาล ในใจก็เกิดความคิดที่จะรับเสียวหว่านชิงออกมา

มองเสียวหว่านชิงฝั่งตรงข้ามที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย หนานกงเฉินนึกถึงความรักของไป๋มู่ชิงที่มีต่อเธอในตอนปกติ ไป๋มู่ชิงชอบเด็กมากๆ มาตลอด นิ่งนี้ไม่เคยเปลี่ยนจนถึงวันนี้!

“ลุงเฉิน ทำไมคุณไม่กินล่ะคะ?” เสียวหว่านชิงเงยหน้ามองเขาแล้วถาม

หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย พูดขึ้น “ฉันตั้งใจพาหว่านชิงมากิน”

“แต่ทำไมลุงเฉินดีกับหว่านชิงแบบนี้ล่ะ?” เสียวหว่านชิงเอียงศีรษะแล้วถาม

“เพราะเสียวหว่านชิงน่ารักมาก แล้วก็ทำตัวให้ชอบมากด้วย ลุงเฉินชอบหนูมากเลย”

“ขอบคุณค่ะลุงเฉิน ลุงเฉินก็ทำตัวให้ชอบเหมือนกันค่ะ”

“จริงเหรอ?” หนานกงเฉินถามอย่างดีใจ “หนูพูดบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอว่าลุงเฉินเป็นคนคนขี้โกหก?”

เสียวห่านชิงส่ายหน้า “ไม่ใช่นะคะ ในใจหว่านชิง ลุงเฉินเป็นคนดีตั้งนานแล้ว”

ได้ยินเสียวหว่านชิงพูดแบบนี้ หนานกงเฉินก็รู้สึกอบอุ่นในใจนิดหน่อยจริงๆ เขาไม่เคยใส่ใจภาพลักษณ์ตัวเองต่อหน้าคนอื่นขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะต่อหน้าเด็กคนหนึ่ง

สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ เขาทำลายความคิดในอดีตไปแล้ว เมื่อก่อนเขามักรู้สึกว่าเด็กทั้งโวยวายทั้งเสียงดังน่ารำคาญมากเป็นพิเศษ จนเมื่อได้เจอกับเสียวหว่านชิง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางครั้งเมื่อเด็กน่ารักขึ้นมาก็จะเป็นนางฟ้า เขาไม่เพียงแต่ทุกครั้งที่เจอเธอก็จะรู้สึกดีอย่างแปลกประหลาด แต่ยังอยากกินขนมหวานกับเธอที่นี่ด้วย

ถ้าเป็นหนานกงเฉินในอดีต เรื่องพวกนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ทำหรอก!

หว่านชิง หว่านชิง……แม้แต่ชื่อของเธอ เขาก็รู้สึกว่ามันไพเราะสุดๆ

“หว่านชิง……ชื่อของหนูใครช่วยตั้งให้?” จู่ๆ หนานกงเฉินก็ถามอย่างสงสัย

เสียวหว่านชิงเงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อตั้งให้ค่ะ พ่อบอกว่าชื่อนี้มีความหมายมาก มันเพราะมากเลยใช่ไหมคะ?”

“อะไรคือมีความหมายมาก?” หนานกงเฉินสงสัย

เสียวหว่านชิงส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ พ่อบอกเป็นความลับ”

ความลับ……

หว่านชิง……

ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็ยิ้มขมขื่น พูดขึ้น “ต่อไปรอฉันมีลูกสาว ฉันก็จะตั้งชื่อว่าหว่านชิงเหมือนกัน”

“ไม่ได้นะคะ!” เสียวหว่านชิงรีบทักท้วงทันที “หว่านชิงคือชื่อที่พ่อตั้งให้หนู คุณห้ามตั้งชื่อลูกคุณเหมือนหนู”

เมื่อหนานกงเฉินเห็นใบหน้ากังวลของเธอ ยิ้มและยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กของเธอ “แค่ยืมใช้ชื่อหนูเท่านั้นเอง อย่าขี้เหนียวสิ”

เสียวหว่านชิงทำหน้าทะเล้นใส่เขา “พ่อแม่บอกว่าหนูไม่เหมือนใคร ชื่อก็เหมือนกัน”

“เหรอ? ปกติพ่อแม่ของหนูมีความสัมพันธ์ที่ดีมากใช่ไหม?”

“อะไรคือความสัมพันธ์อ่า?” เสียวหว่านชิงถามขึ้นด้วยตาโตสงสัย

“ความสัมพันธ์ก็คือ……” หนานกงเฉินไม่รู้ควรอธิบายคำศัพท์นี้ให้เธอฟังอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นยิ้มและพูดขึ้น “ก็คือปกติพวกเขาใช้ชีวิตกันมีความสุขไหม? ทะเลาะกันไหม? มีปากเสียงกัน?”

“ไม่มีน้า” เสียวหว่านชิงพูดโดยไม่คิด “พ่อบอกหนูเป็นเด็กตัวน้อยของเขา แม่เป็นเด็กตัวโตของเขา เขาอยากทำให้พวกเรามีความสุขในทุกๆ วัน”

เสียวหว่านชิงพูดจบก็ก้มหน้าทานของหวานในจานต่อ

หนานกงเฉินที่กว่าจะอารมณ์ดีนิดหน่อยก็ตกอยู่ในความเศร้าอีกครั้ง จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ในการที่เขาแอบสังเกตการณ์อยู่หลายครั้งก็เข้าใจในจุดนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามหว่านชิง ด้วยความสำนึกตื้นๆ เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของไป๋มู่ชิงกับเฉียวเฟิงดีเท่าไรนัก เขาอยากได้ยินคำตอบที่แตกต่างจากปากของเสียวหว่านชิง แต่น่าเสียดาย……

“ลุงเฉิน คุณเป็นอะไร? คุณไม่มีความสุขเหรอ?” เสียวหว่านชิงสังเกตเขาอย่างเป็นห่วงแล้วถามขึ้น

หนานกงเฉินได้สติกลับมา จากนั้นก็ส่ายหน้า “เปล่านะ ฉันแค่กำลังคิดบางเรื่องอยู่”

เสียวหว่านชิงพยักหน้า หยิบช็อกโกแลตชิ้นหนึ่งในจานแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา “ลุงเฉิน ช็อกโกแลตที่นี่อร่อยมาก คุณลองสิ”

“จริงเหรอ? ขอบคุณนะหว่านชิงที่รัก” หนานกงเฉินโน้มตัว อ้าปากรับช็อกโกแลตที่เธอยื่นมาให้ จากนั้นก็พยักหน้า “อืม……อร่อยมากจริงๆ ถ้าหว่านชิงชอบต่อไปลุงเฉินพาหนูมาอีกดีไหม?”

“ขอบคุณค่ะลุงเฉิน”

จู่ๆ หนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีก “แม่ชอบกินช็อกโกแลตของร้านนี้มากที่สุด เดี๋ยวหว่านชิงเอากลับไปให้คุณแม่กินหนึ่งกล่องดีไหม?”

“ไม่ได้ค่ะ แม่จะรู้ว่าหนูแอบออกมาจากโรงเรียนอนุบาล” เสียวหว่านชิงส่ายหน้า

“หนูบอกเธอได้ว่าได้มันมาจากโรงเรียนอนุบาล”

“แม่บอกว่า เด็กดีไม่พูดโกหก”

“……” ชอบเด็กที่เอาจริงเอาจังจัดการยากที่สุดแล้ว

หนานกงเฉินคิด แล้วพูดปลอบ “มันคือคำโกหกที่หวังดี คำโกหกที่หวังดีนั้นพูดได้นะรู้ไหม”

“อะไรคือคำโกหกที่หวังดีคะ?”

“ก็คือไม่ได้เจตนาร้าย ก็คือคำโกหกที่ไม่เพียงแต่ไม่ทำร้ายคนอื่นแต่ยังมีผลดีต่อคนอื่นด้วยนะ เช่นหว่านชิงแอบเอาช็อกโกแลตให้คุณแม่” หนานกงเฉินพูด ในใจคิดว่าเหตุผลนี้น่าจะไม่เลวทีเดียว

--

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ไป๋มู่ชิงที่ไม่ได้ไปทำงานก็ไปรับเสียวมู่ชิงเลิกเรียนที่โรงเรียนอนุบาลด้วยตัวเอง แต่ในห้องเรียนไม่มีเงาของเสียวหว่านชิง

เห็นเด็กคนอื่นมีพ่อแม่มารับทีละคน แต่ไป๋มู่ชิงไม่รอให้เสียวหว่านชิงออกมาจากในห้องเรียน ในใจเธอคิดว่าอาจจะเพราะหว่านชิงถูกโรงเรียนให้อยู่ฝึกเป็นเจ้าภาพตัวน้อย เพราะก่อนหน้านี้ครูฟางเคยพูดเรื่องนี้กับเธอ

หลังจากครูฟางว่างเล็กน้อย เธอจึงเดินเข้าไปถาม “ครูฟาง หว่านชิงล่ะคะ?”

ครูฟางถามด้วยความประหลาดใจ “หว่านชิงยังไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ?”

“คุณพูดอะไรคะ? หว่านชิงกลับบ้านแล้ว?” ไป๋มู่ชิงเครียดในพริบตาเดียว

“อ๋อ คือแบบนี้นะคะ วันนี้ตอนบ่ายมีผู้ชายท่านหนึ่งบอกว่าอยากพาเธอไปกินขนมหวาน……”

“ว่าไงนะ……?!” ไป๋มู่ชิงอุทาน “หว่านชิงถูกคนเอาตัวไปแล้ว?”

“ค่ะ ผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อมาก เสียวหว่านชิงเรียกเขาว่าลุงเฉิน” ครูฟางเห็นไป๋มู่ชิงตกใจจนเป็นแบบนี้ ในใจก็ตื่นตระหนกขึ้นมา รีบถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นคะคุณผู้หญิงเฉียว? ฉันเห็นหว่านชิงสนิทกับผู้ชายคนนั้นมากเลย ผู้ชายคนนั้นยังสัญญาว่าจะมาส่งหว่านชิงที่โรงเรียนก่อนเลิกเรียน สุดท้ายก็ไม่ได้มาส่ง ฉันเลยคิดว่าเขาพาเธอกลับบ้านไป”

ลุงเฉิน……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด