เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 207

หนานกงเฉินเงียบลงสักพัก แล้วพูดว่า:“แค่คุณส่งเธอคืนมาให้ผม ผมจะใช้ทั้งชีวิตของผมปกป้องเธอ”

“ทั้งชีวิตของคุณ? ตัวคุณเองจะอยู่ได้อีกกี่ปียังไม่รู้เลย คุณจะปกป้องเธอได้นานแค่ไหนกัน? คุณอยู่กับเธอมาตั้งนาน คุณเคยปกป้องเธอไหม? ตอนเธอคลอดลูกคุณไปอยู่ที่ไหน? ถ้าตอนนั้นคุณอยู่ข้างๆเธอ จะเกิดเรื่องขึ้นกับลูกไหม? ไป๋ยิ่งอันจะมีโอกาสลงมือไหม? ถ้าในตอนนั้นคุณไม่ได้ยังมีเยื่อใยรักเก่ากับคุณหนูจู แล้วให้เขามาอยู่ข้างๆ แถมเปิดโอกาสให้เขาลงมืออีก มู่ชิงจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ไหม? คุณเชื่อจริงๆเหรอว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นแค่อุบัติเหตุทั่วๆไป?”

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดขึ้นมาแล้วได้ไหม? ผมคิดแค่อนาคตอยากอยู่กับเธอ”

“ถ้าคุณหนูจูกับคนที่อยู่เบื้องหลังนั่นยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้คงไม่ผ่านไปง่ายๆ”

“คนที่อยู่เบื้องหลังอะไร?”

“ขนาดตัวคุณเองยังไม่รู้เลย คนอื่นเขาจะรู้ได้ยังไง?”

หนานกงเฉินพยักหน้า:“โอเค แค่คุณส่งเธอคืนมาให้ผม ผมจะรีบไปหย่ากับจูจู”

“ผมส่งมู่ชิงคืนให้คุณได้ แต่คุณหนูจูต้องตายก่อน”

หนานกงเฉินจ้องเขาอย่างตะลึง:“คุณว่าอะไรนะ?”

“ขอแค่คุณหนูจูตาย มู่ชิงถึงจะปลอดภัย” เฉียวเฟิงฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า:“จากที่ผมเห็นคุณ ตระกูลหนานกงของคุณสภาพแวดล้อมซับซ้อนขนาดนั้น ถึงคุณหนูจูตายแล้ว ก็ไม่แน่ว่ามู่ชิงจะปลอดภัยอยู่ดี”

“นี่ไม่ใช่ว่าคุณตั้งใจแกล้งผมหรอกเหรอ?” หนานกงเฉินตะโกนไปทางเขาด้วยความโกรธ:“ผมฆ่าคุณหนูจู หลังจากนั้นคุณค่อยไปรายงานผมต่อศาล ชีวิตนี้ของคุณกับมู่ชิงก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรอีกแล้วใช่ไหม? นี่คือความตั้งใจของคุณล่ะสิ?”

“คุณหนูจูสามารถฆ่ามู่ชิงได้ขนาดที่ว่าไม่เจอร่องรอยอะไรเลย คุณมีฐานะขนาดนี้ มีคอนเนคชั่นขนาดนี้ หรือว่ายังสู้ผู้หญิงอย่างเขาไม่ได้?”

“ผมก็เคยสงสัยจูจู แต่ในตอนนั้นฝั่งตำรวจตรวจสอบอุบัติเหตุนั้นได้ผลชัดแล้ว คือการขับรถเร็วเกินไป ถ้าพวกคุณมีเบาะแสอะไรช่วยบอกผม ขอแค่จูจูเป็นคนทำ ผมไม่ปล่อยเขาไว้แน่นอน” หนานกงเฉินพูด

“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” จู่ๆเฉียวซือเหิงก็ลุกขึ้นจากพื้นหญ้า เดินไปตรงหน้าหนานกงเฉิน:“ตอนแรกฉันรู้แค่หลังจากที่มู่ชิงเกิดอุบัติเหตุแล้วงมเธอขึ้นมาจากน้ำได้ อย่างอื่นก็ไม่รู้อะไรเลย อีกอย่าง เฉียวเฟิงก็พูดชัดเจนแล้ว ขอแค่คุณหนูจูตายเขาจะก็คืนมู่ชิงให้นายทันที นายลองพิจารณาเองละกัน”

เขาพูดจบ ก็หันไปพูดกับเฉียวเฟิงต่อ:“คุณก็กลับไปพักที่ห้องก่อนเถอะ รีบพักผ่อนซะ”

เฉียวเฟิงมองหน้าความพ่ายแพ้ของหนานกงเฉิน แล้วหมุนรถเข็นที่เขานั่งกลับห้องไป

หนานกงเฉินใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าของตัวเองที่ทั้งเขียวทั้งแดง หลังจากที่กะพริบตาทั้งสองก็จ้องเฉียวซือเหิงแล้วถาม:“ฉันอยากรู้ ความแค้นที่นายมีต่อฉันมันมาจากไหนกันแน่ ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉัน? ไม่ใช่แค่เพราะเฉียวเฟิงอย่างเดียวถูกไหม?”

เฉียวซือเหิงชำเลืองมองเขา ไม่ได้พูดอะไร

หนานกงเฉินก็เลยตะโกนใส่เขา:“นายพูดสิ!”

เฉียวซือเหิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับขมวดคิ้วไปทางเขา:“ทำไม? ยังอยากจะต่อยกันอีกเหรอ? แต่โทษที ฉันไม่อยู่ด้วยหรอกนะ” พูดจบ เขาก็หมุนร่างเดินไปทางประตูบ้าน

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆเขาก็หันกลับมาพูดประโยคหยอกล้อ:“รอแผลพวกเราทั้งสองคนหายดีแล้ว ฉันจะเลี้ยงเหล้านาย” พูดจบก็ไม่ได้สนใจสีหน้าน่าเกลียดของหนานกงเฉิน เดินมาถึงข้างๆรถดึงประตูแล้วเข้าไปนั่ง

มองรถของเขาที่ค่อยๆไกลออกไป ทั้งสองมือของหนานกงเฉินบีบเข้าหากันทีละนิด เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้โมโหจนจะบ้าแล้ว

พี่หลิงยกโจ๊กเนื้อวัวที่พึ่งจะต้มเสร็จเดินเข้าไปในห้องนอนของไป๋มู่ชิง พูดอย่างสุภาพ:“คุณหนูอี พี่ทำมื้อค่ำมาให้ คุณทานหน่อยเถอะ”

ไป๋มู่ชิงยังคงนอนพิงอยู่บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อน

“คุณหนูอี คุณไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรมากกับคุณชายเฉิน คุณแอบทานสักนิดพี่สัญญาว่าจะไม่บอกเขาดีไหม?” พี่หลิงโน้มน้าวด้วยความหวังดี:“คุณไม่ทานอะไร จะหิวตายจริงๆนะ”

พี่หลิงโน้มน้าวเธอแล้วโน้มน้าวเธออีก ไป๋มู่ชิงก็ยังคงนอนบนเตียงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เธอจนปัญญาก็เลยเอาโจ๊กวางไว้ที่หัวเตียงแล้วพูดว่า:“คุณหนูอี เดี๋ยวถ้าอยากทานก็ทานได้เลยนะ พี่ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนแล้ว”

หลังจากที่พี่หลิงเดินถึงประตู พอเปิดประตูก็เห็นว่าหนานกงเฉินยืนอยู่หน้าประตู เธอพูดเสียงเบา:“คุณชายเฉิน คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

เธอสังเกตรอยแผลบนใบหน้าของคุณชายเฉิน:“คุณไปมีเรื่องมาเหรอ? หรือไปล้มที่ไหนมา? ทำไมคุณไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสักหน่อย......”

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจคำถามที่เธอถามมา แต่เดินผ่านเธอเข้าไปด้านในห้องนอน

ได้ยินคำพูดของพี่หลิง ตาทั้งสองของไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆเปิดขึ้น สายตาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหนานกงเฉิน บาดแผลบนใบหน้าของเขาดูแล้วทั้งเขียวทั้งม่วง แต่ทว่าสายตาเธอก็ไม่ได้หยุดอยู่บนหน้าเขานานนัก ไม่นานก็หลับตาลงอีกครั้ง

สายตาเย็นชาของเธอเสียดแทงหัวใจของหนานกงเฉินเบาๆ หลังจากที่ผ่านเวลาช่วงนี้ไป ใจเขาถูกเธอทำร้ายจนเป็นแผลเป็นไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น

เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้าไป๋มู่ชิง สายตาจ้องไปที่ใบหน้าเล็กๆโทรมๆของเธอ:“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าเมื่อกี้ผมไปมีเรื่องกับใครมา?”

ถูกเขาถามแบบนี้ ไป๋มู่ชิงก็ตกใจ ลืมตาขึ้นมองเขา:“คุณไปมีเรื่องกับเฉียวเฟิงมาเหรอ? คุณได้ทำอะไรเขาหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินฝืนยิ้มออกมา:“ดูแล้วในใจคุณคงมีแต่เขาจริงๆ เห็นแผลบนใบหน้าของผมขนาดหนังตาคุณยังไม่กระดิกเลย แต่กลับเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นขนาดนั้น”

ไป๋มู่ชิงรีบถามต่อ:“สรุปแล้วเฉียวเฟิงเขาเป็นยังไงบ้าง?”

“วางใจเถอะ เขาโอเคกว่าผม”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆวางใจลง แล้วรีบถามต่อ:“หว่านชิงล่ะ? เขาเห็นพวกคุณตอนมีเรื่องกันหรือเปล่า? เขาตกใจมากหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินส่ายหน้าอย่างไม่เต็มใจ

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เข้าใจ สุดท้ายก็กวาดสายตามองเขา ริมฝีปากกำลังจะขยับแต่ก็ไม่ได้คำพูดอะไรที่สื่อว่าเป็นห่วงออกมา

เธอเกลียดเขาขนาดนั้น จะเป็นห่วงบาดแผลเขาได้ไงล่ะ?

“คุณชายเฉิน ฉันหายามาให้คุณ คุณต้องเช็ดแผลก่อนนะคะ” พี่หลิงหายามาจากข้างนอกแล้วเดินเข้ามา

หนานกงเฉินกวาดสายตามองยาในมือของเธอ:“ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก”

“'งั้นก็เช็ดสักหน่อย คุณดูหน้าของคุณสิบวมหมดแล้ว ถ้าไม่เช็ดด้วยยาพรุ่งนี้คง......”

“ผมบอกว่าไม่ต้องไง!” หนานกงเฉินตะโกนไปทางเธอด้วยความโมโห

เสียงตะโกนนี้ทำให้พี่หลิงตกใจสะดุ้ง รวมถึงไป๋มู่ชิงก็สะดุ้งด้วย เธอขดตัวตามสัญชาตญาณ จ้องเขาอย่างหวาดผวา

หนานกงเฉินถอนหายใจเบาๆ จ้องไปที่เธอ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง:“คุณกลับไปได้แล้ว”

บนหน้าของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

หนานกงเฉินปล่อยเธอกลับไป? เป็นไปได้ยังไง?

“ไม่ใช่ว่าทุกวินาทีคุณเอาแต่คิดว่าจะกลับไปอยู่ข้างๆผู้ชายคนนั้นหรอกเหรอ? ทำไมยังไม่ไปอีก?” หนานกงเฉินชำเลืองมองเธอ:“แต่คุณฟังไว้นะ ที่ผมปล่อยคุณไปไม่ใช่เพราะผมชกต่อยไม่ชนะเฉียวเฟิง แต่เพราะทนไม่ได้ที่เห็นคุณอ่อนแอลงไปทุกวันๆแบบนี้ ทนไม่ได้ที่เห็นคุณกำลังเดินไปหาความตายที่จริงๆ”

เขารู้จักนิสัยของไป๋มู่ชิงดี เวลาที่ดื้อรั้นทำยังไงก็ไม่มีทางยอมหรอก คิดไม่ถึงว่าสูญเสียความทรงจำไปแล้วแต่นิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงดื้อรั้นทำให้คนเขาสงสารได้ง่ายๆ

เห็นเธอที่อดอาหารประท้วงแบบนี้ทุกวัน เขาจะไม่สงสารได้ยังไง? ไม่กลัวได้ยังไง?

“คุณ......ให้ฉันกลับไปได้จริงๆเหรอ?” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วถามอย่างระมัดระวัง

“อย่ารอฉันเปลี่ยนความคิด”

ไป๋มู่ชิงได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็รีบพลิกตัวลงจากเตียง แต่เพราะนานมากที่ไม่ได้ทานอะไรเลย แม้แต่ยืนเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยืนให้มั่นคงได้ ร่างกายเกือบล้มลงที่พื้น

หนานกงเฉินยื่นมือเข้าไปโอบร่างกายเธอไว้ ไป๋มู่ชิงกลับรีบดีดตัวออกจากเขาตามสัญชาตญาณอย่างกับโดนน้ำร้อนลวก เธอออกห่างแค่ร่างกายเขา แต่มือที่เขาจับที่เอวเธอนั้นกลับสลัดไม่ออก

เธอจ้องเขาอย่างหวาดผวา ในใจคิดเขาคงไม่เปลี่ยนความคิดเร็วขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?

“ทานโจ๊กบนโต๊ะให้หมดก่อนค่อยไป” หนานกงเฉินพูดออกมาเบาๆ

เอวของเธอเดิมทีก็ผอมอยู่แล้ว ไม่กี่วันมานี้ข้าวไม่ตกถึงท้องก็ยิ่งผอมเข้าไปใหญ่ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาสามารถจับได้ครึ่งหนึ่งเลย ใจของเขาเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเธอจะใช้สายตาเย็นชามองเขาเวลานี้ เขาก็ยังคงสงสารเธอ

พี่หลิงรีบเดินไปตรงหน้าโต๊ะหัวเตียง ยกถ้วยโจ๊กนั้นไปตรงหน้าเธอส่งสายตาบอกให้เธอรีบกิน

ไป๋มู่ชิงมองโจ๊กในถ้วย แล้วมองหนานกงเฉิน ในใจยังคิดว่าหรือนี่จะเป็นแผนการที่หนานกงเฉินบังคับให้เธอทานอาหาร หนานกงเฉินเหมือนว่าจะมองออกว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ มองเธอแล้วพูด:“ถึงแม้ว่าฉันในใจเธอจะน่ารังเกียจขนาดไหน แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่มีความเชื่อใจหลงเหลืออยู่เลยถูกไหม?”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ไม่ลังเล รับถ้วยในมือของพี่หลิงมาแล้วทานอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าเขาจะวางแผนไว้หรือไม่ ลองดูก็ไม่เสียหาย บางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปจริงๆก็ได้

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงใช้ความเร็วสูงสุดที่การกวาดโจ๊กให้หมด วางถ้วยลงแล้วรีบร้อนออกไปทางประตู จังหวะที่เธอก้าวเท้าออกจากประตู มือทั้งสองข้างพยุงที่ประตูแล้วหันกลับมาจ้องเขา:“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันก็คงต้องขอบคุณคุณที่ยอมปล่อยฉันไป”

พูดจบ เธอก็ออกไปจากห้องนอน รีบเดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของเธอยังถือว่าอ่อนแรงอยู่ ขาทั้งสองข้างก็ไม่มีแรง แต่เธอไม่อยากจะหยุดสักวินาที เธอกลัวว่าถ้าตัวเองหยุดแล้วจะถูกหนานกงเฉินจับกลับไปอีกรอบ

เสี่ยวหลินรออยู่ที่ชั้นล่างนานแล้ว พอเห็นเธออกมาก็รีบพูด:“คุณหนูอี ผมจะไปส่งคุณกลับเองครับ”

ไป๋มู่ชิงมองเขาแล้วส่ายหน้า:“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้”

จู่ๆหนานกงเฉินก็ปล่อยเธอไป เธอรู้สึกว่าเกินความคาดหมายแล้ว ไม่อยากจะเชื่อแล้ว แล้วจะกล้านั่งรถของเขาออกจากที่นี่อีกเหรอ?

“คุณหนูอี นี่เป็นคำสั่งของคุณชายเฉินโดยเฉพาะ กรุณาขึ้นรถเถอะครับ ไม่งั้นผมก็ไม่รู้จะไปรายงานกับคุณชายเฉินว่าอะไร” เสี่ยวหลินดึงประตูรถออกอย่างเร่งรีบ:“อีกอย่าง ดึกขนาดนี้แล้ว ด้านนอกก็คงไม่มีรถกลับไปเขตตัวเมืองแล้ว หรือว่าคุณอยากจะกลับด้วยสองขาของคุณครับ?”

ไป๋มู่ชิงมองท่าทางจริงใจบนใบหน้าเขา สุดท้ายก็ตัดสินใจขึ้นรถของเขา

ไป๋มู่ชิงออกไปได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว หนานกงเฉินเหมือนกับว่าถูกของอะไรสักอย่างทำให้ชะงัก ยังคงนั่งบนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

ในมือพี่หลิงยกโจ๊กมาอีกถ้วย พูดอย่างระมัดระวัง:“คุณชายใหญ่ คุณก็ทานหน่อยเถอะค่ะ ทานเสร็จก็รีบพักผ่อน”

ในที่สุดหนานกงเฉินก็ขยับ แล้วพูดว่า:“ผมไม่อยากทาน”

“คุณหนูอีเธอไปแล้ว หรือว่าคุณจะประท้วงไม่ทานอาหารเพื่อเธอเหรอคะ?”

“เธอไปแล้ว......” หนานกงเฉินฝืนยิ้ม

ใช่สินะ เธอไปแล้ว ไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ไปอย่างอดใจรอไม่ไหว!

เขานึกว่าเขาสามารถขังเธอไว้ที่นี่ได้ บังคับให้เธอทานยาทุกวัน ช่วยให้เธอฟื้นความจำกลับมา

แต่ทว่าก็เหมือนที่เลขาเหยียนพูดไว้ เขาไม่สามารถขังเธอ บังคับเธออย่างตอนนั้นได้อีก เพราะว่าในใจเธอไม่ได้มีเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะเต็มใจทนพฤติกรรมป่าเถื่อนทั้งหมดของเขาได้

เขาขังตัวเธอไว้ได้ แต่ขังใจเธอไว้ไม่ได้

--

เสี่ยวหลินจอดรถที่หน้าลานบ้านของบ้านเฉียวเฟิง ไป๋มู่ชิงเกือบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอกลับมาแล้วจริงๆ!

เธอลองเปิดประตูรถ เสียงปลดล็อคประตูรถดังขึ้น

ขนาดคำขอบคุณเธอยังลืมพูด เธอลงจากรถอย่างรวดเร็วผลักประตูเหล็กบานใหญ่ออกแล้วเดินเข้าไป

ในลานบ้านยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เป็นร่องรอยที่พวกเขาสามคนชกต่อยหลงเหลือกันไว้ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก รีบเดินตรงเข้าไปในห้อง

เธอไม่แน่ใจว่าเฉียวเฟิงกับหว่านชิงกลับมาถึงที่นี่หรือยัง แต่ด้านในห้องรับแขกเปิดไฟอยู่ เธอก็มีความหวัง เธอยื่นมือไปเคาะที่ประตู หลังจากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป

ขณะที่เธอเดินเข้าไป เฉียวเฟิงกำลังนั่งใจลอยอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พอเห็นเธอ เฉียวเฟิงนึกว่าตัวเองมองผิดไป นึกว่าตัวเองสร้างภาพหลอนขึ้นมา

หนานกงเฉินพึ่งจะพูดไปว่าไม่มีทางปล่อยเธอ ตอนนี้ทำไมถึงปล่อยเธอกลับมา?

ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงข้างๆเขา จ้องไปที่รอยยิ้มบางๆของเขาอย่างไม่ละสายตา:“ฉันกลับมาแล้ว คุณไม่ดีใจเหรอ?”

“ไม่ใช่ไม่ดีใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อ” เฉียวเฟิงยื่นมือสัมผัสไปที่ใบหน้าเล็กๆของเธอ:“เป็นคุณจริงๆเหรอ? ผมไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม?”

“คุณไม่ได้นอนหลับสักหน่อย จะฝันได้ยังไงคะ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มบางๆแล้วจับมือของเขาที่อยู่บนหน้าตัวเองพร้อมสัมผัสกลับไป:“รู้สึกได้หรือยัง? เหมือนความจริงมากใช่ไหม?”

เป็นความจริงจริงๆด้วย!

ในใจเฉียวเฟิงสั่นไหว ยื่นมือดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกอดเธอแน่น จูบที่ข้างหูของเธอแล้วพูด:“ผมนึกว่าคุณจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว ผมนึกว่าคุณไม่ต้องการผมกับหว่านชิงแล้ว”

“คนโง่ จะเป็นอย่างนั้นได้ไงคะ?” ไป๋มู่ชิงโอบร่างกายเขาให้แน่นขึ้น แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น:“จำที่ฉันเคยพูดได้ไหม แม้ว่าจะไม่ต้องการคนทั้งโลก ฉันก็ไม่มีทางไปจากคุณกับหว่านชิง สำหรับฉัน คุณกับหว่านชิงคือคนที่ฉันรักที่สุดในโลก”

“ผมนึกว่าคุณจะถูกหนานกงเฉินทำให้เปลี่ยนใจ แล้วอยู่ต่อข้างๆเขาซะอีก” เฉียวเฟิงพูดอย่างลำบากใจ

“ไม่หรอกค่ะ คุณดูสิตอนนี้ฉันก็กลับมาแล้วไง”ไป๋มู่ชิงถอยออกมาจากอ้อมกอดเขา เอียงตัวไปจูบบนริมฝีปากเขาแล้วยิ้ม:“หว่านชิงล่ะ? เวลานี้เขาคงนอนหลับอยู่ในห้องนอนแล้วใช่ไหม? เขาสบายดีใช่ไหม?”

เฉียวเฟิงยิ้มบางๆแล้วพยักหน้า:“คุณว่าไงล่ะ?”

“ฉันว่าเขาคงอยู่ในห้องนอนแน่ๆ ฉันคิดถึงเขามากเลย ฉันจะเข้าไปดูเขาสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงเก็บมือทั้งสองข้างกลับมาจากต้นคอของเขา ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องนอน

เฉียวเฟิงมองด้านหลังเธอที่เดินไปทางห้องนอน ท่าทางเธอสบายใจขนาดนั้นอ่อนช้อยขนาดนั้น เขาเหมือนจะมองเห็นภาพเมื่อก่อนที่พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน เก็บความเสียใจมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที

ถึงแม้ว่า อนาคตจะเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่เวลานี้ เขาปลื้มใจมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด