เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 206

ขณะที่ทานอาหารเช้า จู่ๆ คุณผู้หญิงก็ถามขึ้น “เฉินไปทำงานนอกสถานที่หลายวันแล้ว จะกลับมาเมื่อไร? ”

คำพูดนี้เธอถามเซิ่งเคอ เพราะมีแค่เซิ่งเคอเท่านั้นที่อยู่บริษัททุกวัน

เซิ่งเคอเงยหน้าขึ้นมา มองคุณผู้หญิงแล้วพูดขึ้น “พี่ไม่ได้ไปทำงานนอกสถานที่นะครับ”

“ไม่ได้ไปเหรอ? แล้วช่วงไม่กี่วันนี้เขาไปไหน? ” คุณผู้หญิงวางตะเกียบลงบนโต๊ะ พูดอย่างไม่พอใจ “เขาจะทำอะไร? ยาก็ไม่กลับมากิน ครอบครัวก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม? ”

ขณะที่เธอพูดก็หันไปหาจูจู พบว่าหน้าจูจูน้ำตาไหลออกมาสองข้างอย่างน้อยใจตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ จึงมองสังเกตเธอแล้วถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? ทะเลาะกับเฉินเหรอ? ”

จูจูส่ายหน้า พูดสะอึกสะอื้น “คุณย่า ช่วงนี้เฉินอยู่กับเลขาเหยียน เดาว่ากลับไปอยู่บ้านเลขาเหยียน เฉินไม่รับโทรศัพท์ฉัน และไม่บอกที่อยู่เขากับฉัน ฉันก็ไม่ได้เจอเขามาสามวันแล้วค่ะ”

“เขากลับไปบ้านเลขาเหยียน? หมายความว่าไง? นี่ต้องการอยู่กับเลขาเหยียนเหรอ? ”

“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” จูจูรับทิชชูที่ผู่เหลียนเหยาส่งมาให้เช็ดน้ำตาบนใบหน้า “เมื่อคืนตอนฉันโทรหาเลขาเหยียน เธอวางสายฉันอย่างไม่เกรงใจ ถ้าเฉินไม่เอาใจเธอ เธอจะกล้าไม่สนใจฉันแบบนี้เหรอคะ? ”

คุณผู้หญิงคิดแล้วพูดขึ้น “เลขาเหยียนไม่ใช่คนไม่มีน้ำหนักแบบนั้นหรอก”

เท่าที่เธอรู้ เลขาเหยียนเป็นผู้หญิงที่ทุ่มเทกับงานมาตลอด สุภาพมีมารยาทกับผู้อื่น ไม่อย่างนั้นหนานกงเฉินคงไม่ใช้เธอเป็นเวลานานขนาดนั้น

ผู่เหลียนเหยากระแอมไอเบาๆ พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณย่า คุณย่าดูสิเลขาเหยียนหน้าตาสวยขนาดนั้น แถมยังเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่แต่งงานมีลูก คุณย่าว่าเป็นเพราะอะไรคะ ไม่ใช่เพื่อรอวันนี้เหรอ? ”

“ผู้หญิงแกร่งในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้หมดไม่ใช่เหรอ? คนฮ่องกงหลายคนก็ไม่แต่งงานตลอดชีวิตนะ” เซิ่งซินพูด

“แต่เลขาเหยียนไม่ใช่คนฮ่องกงนะ”

“งั้นก็ไม่รู้แล้ว” เซิ่งซินยิ้ม

“ฉันว่าพวกผู้หญิงอย่างพวกเธอเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้ทั้งวันทั้งคืนเลย เธอไม่แต่งงานเพราะคิดอะไรกับพี่เนี่ยนะ? จิตใจแย่มาก” เซิ่งเคอพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างไม่ใส่ใจ

“ต้องโทษนาย บอกให้ช่วยดูพี่ให้หน่อยก็ดูไว้ไม่ได้” ผู่เหลียนเหยายื่นมือมาจิ้มศีรษะเขาหนึ่งที

เซิ่งเคอไม่พอใจ “พวกคุณก็ไม่ใช่ไม่รู้นิสัยพี่ แม้แต่พี่สะใภ้ก็ดูเขาไม่ได้ ฉันจะไปดูได้ยังไงล่ะ ใช่ไหมครับคุณย่า” ขณะที่พูดเขาหันไปทางคุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงเหลือบมองทุกคน แล้วมองจูจูที่กำลังร้องไห้อีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร

จูจูเห็นเธอไม่แสดงความคิดเห็น จึงสะอึกสะอื้นอย่างเสียใจมากขึ้น “จะสามปีแล้ว เฉินไม่เพียงแต่ไม่ยกโทษให้ฉัน ถึงขนาดยอมยุ่งกับเลขาเหยียนกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมากกว่ามองฉันอีก ฉันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าเฉินทำแบบนี้กับฉันตลอดไป ฉันก็อาจจะตายได้เหมือนกัน”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตาย’ ในที่สุดคุณผู้หญิงก็ชะงักตะเกียบอีกครั้ง เบนสายตาขึ้นมองเธอ “เธอตายไม่ได้ ถ้าเธอตายแล้วเฉินจะทำยังไง? ”

“แต่คุณย่า……คุณไม่รู้สึกเหรอคะว่าช่วงนี้เฉินยิ่งทำเกินไปมากเลย? ”

“ไม่ใช่แค่เลขาเหยียนคนเดียวเหรอ? ก็แค่ไล่เธอออก ถึงขนาดสิ้นหวังเลยเหรอ? ”

“คุณย่าก็รู้ว่าฉันรักเฉินมากแค่ไหน ความรักคือความเห็นแก่ตัวไงคะ” จูจูทำหน้าน้อยใจและเพิ่มความไร้เดียงสา

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว รีบกินข้าวเถอะ” คุณผู้หญิงคิด “เดี๋ยวฉันโทรหาเฉิน ให้คืนนี้เขาต้องกลับบ้านมาอยู่กับเธอ”

“ช่างเถอะค่ะ……” จูจูหยุดน้ำตา สูดจมูกแล้วพูดขึ้น “ถ้าเฉินรู้ต้องคิดว่าฉันกำลังหึงมั่วซั่วแน่ๆ จากนั้นก็ยิ่งเข้าใจผิดไปอีก”

“พี่สะใภ้ นี่พี่ไม่ได้หึงมั่วซั่วนะ มันเป็นเรื่องสมควรที่จะหึงในฐานะภรรยา พี่คงเข้าใจ” ผู่เหลียนเหยาหันไปหาคุณผู้หญิงด้วยรอยยิ้ม “ใช่ไหมคะคุณย่า? ”

เพื่อบรรเทาอารมณ์จูจู คุณผู้หญิงจึงพูดอย่างสบายๆ “อืม เธออยู่บ้านอย่างสบายใจเถอะ เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง”

คุณผู้หญิงพูดจบ จากนั้นก็เสริมอีกประโยค “แต่เรื่องนี้เธออย่าไปเก็บมาใส่ใจนักเลย ผู้ชายน่ะ โดยเฉพาะผู้ชายที่รวยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรัก เกือบจะพอแล้วล่ะ”

จูจูตอบรับอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้พูดอะไรอีก

หลังจากพาไป๋มู่ชิงกลับมาที่คฤหาสน์หลังเล็ก หนานกงเฉินก็แทบไม่ได้ไปที่บริษัท หลังจากออกมาจากห้องไป๋มู่ชิงเขาก็เดินลงไปข้างล่าง แต่ยังคงไม่ได้ไปบริษัท

เมื่อครู่นี้การตอบสนองของไป๋มู่ชิงทำให้เขาปวดใจและผิดหวัง เขายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่มองตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจเรื่องที่ตัวเองทำกับไป๋มู่ชิง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอทนต่อตัวเองมาก ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้บังคับเธอ ไม่แปลกใจที่เธอยอมชนกำแพงตายมากกว่าจำนนต่อเขา

เขาสูดลมหายใจแผ่วเบา จัดการเสื้อผ้าบนร่างกายให้เรียบแล้ว แล้วหันตัวเดินออกจากห้องน้ำ

นอกประตูมีเสียงบทสนทนา จากนั้นเลขาเหยียนก็เดินลงมากับพี่หลิง

“คุณชายเฉิน คุณเหยียนมาแล้ว” พี่หลิงพูดกับหนานกงเฉิน จากนั้นก็หันไปเตรียมน้ำชา

เลขาเหยียนเดินมายืนนิ่งตรงหน้าหนานกงเฉิน มองสังเกตเขาที่ดูลำบากใจนิดหน่อยแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน คุณจะไม่ต้องการบริษัทแล้วเหรอ? ”

“บริษัทเป็นอะไร? ไม่ใช่ว่าดีมากเหรอ? ” หนานกงเฉินเดินไปนั่งโซฟา

เลขาเหยียนส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายใหญ่ คุณจ่ายเงินเดือนให้ฉันหนึ่งเดือนเพื่อช่วยเรื่องงาน ช่วยเรื่องส่วนตัว เรื่องข่าวอื้อฉาวฉันก็ช่วย คุณว่านี่มันเหมาะสมไหม? ”

“เงินเดือนน้อยไปเหรอ? เธอไปหาฝ่ายการเงินเพื่อเพิ่มเงินสิ” หนานกงเฉินเหลือบมองเธอ

เลขาเหยียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเงินเดือนฉันน้อยค่ะ แต่บางเรื่องฉันไม่สามารถช่วยคุณได้ตลอด”

“เรื่องอะไร? ”

“ช่วยคุณปกปิดเรื่องคุณหนูไป๋ ฉันว่านายหญิงน้อยเกลียดฉันเข้ากระดูกไปแล้ว”

“เธอเป็นคนที่ตัวตรงไม่หวั่นแม้เงาจะเฉเฉียงมาตลอดเหรอ? ” น้ำเสียงหนานกงเฉินยังคงขี้เกียจ

เลขาเหยียนพูดอย่างหมดหนทาง “แต่นายหญิงน้อยเอาจริงเอาจัง คุณชายเฉิน ฉันไม่ได้มาเพื่อบ่นอะไรคุณหรอก แค่อยากให้คุณสามารถจัดการเรื่องตรงหน้าอย่างเหมาะสม” เธอเหลือบมองขึ้นไปชั้นบน “คุณขังคุณหนูไป๋ไว้ที่นี่มันมีประโยชน์เหรอ? ฉันว่ามันไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรนะ แม้ว่าคุณจะกักขังเธอ แต่ก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันทั้งคืนนะ ทางด้านนายหญิงน้อยก็ต้องการการปลอบโยนเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินถึงจูจู หนานกงเฉินก็ขมวดคิ้ว เหลือบมองเธอ “จูจูให้เธอมาเหรอ? ”

“เปล่าค่ะ” เลขาเหยียนส่ายหน้า “ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากเจอเธอ แต่ยังไงเธอก็เป็นภรรยาคุณ โชคดีที่เธอเข้าใจผิดคิดว่าช่วงนี้คุณอยู่กับฉัน ถ้าให้เธอรู้ว่าคุณอยู่กับคุณหนูไป๋ เธอคงไม่นั่งเฉยๆ เหมือนตอนนี้แน่ๆ ดังนั้น ถึงแม้จะเพื่อคุณหนูไป๋ คุณก็ควรเดินออกไปจากที่นี่ กลับไปคฤหาสน์หลังเก่าให้บ่อยๆ ”

คำพูดเลขาเหยียนเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น โทรศัพท์ในห้องนอนคุณผู้หญิงโทรมา

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่มรับสาย ในโทรศัพท์มีเสียงตำหนิของคุณผู้หญิงดังขึ้นมาทันที ตำหนิที่เขาละเลยจูจูอย่างที่คิดไว้!

เขาเงยหน้ามองเลขาเหยียน คิดแล้วพูดขึ้น “คุณย่า ผมจะกลับไปตอนกลางคืน”

พูดจบ เขาก็วางสายไป

เลขาเหยียนมองเขา หนานกงเฉินยิ้มอย่างหมดหนทาง “ดูเหมือนไม่กลับไปคงจะไม่ได้สินะ”

“คุณชายเฉิน ฉันไม่เคยชอบการว่าคนหลับหลังหรอกนะคะ แต่คนอย่างคุณหนูจู……ฉันแค่อยากเตือนให้คุณระหวังหน่อย เธอในฐานะภรรยาของคุณ ถ้าคุณละเลยเธอมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อคุณกับคุณหนูไป อย่าประเมินเธอต่ำเกินไป ยังไงเธอก็เป็นคนรักที่ถูกลิขิตของคุณ อีกอย่าง……ไม่ใช่ว่าทุกอย่างฉันจะช่วยคุณจัดการได้อย่างเหมาะสม อย่าพึ่งพาฉันมากเกินไป ไม่งั้นเมื่อฉันจากไป คุณจะพบว่ามันยากมากที่จะปรับตัวเข้ากับผู้ช่วยคนใหม่”

“ไป? ” หนานกงเฉินเหลือบมองเธอ “ไปไหน? ”

“ฉันบอกว่าถ้า ยังไงฉันก็ไม่สามารถอยู่บริษัทหนานกงกรุ๊ปได้ตลอดเวลา”

หนานกงเฉินพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

เลขาเหยียนยืนขึ้นจากโซฟา “ฉันขึ้นไปดูคุณหนูไป๋นะคะ”

“ช่วยฉันปลอบเธอสักสองสามประโยคด้วย” หนานกงเฉินพูด

“แม้แต่คำคุณเธอยังไม่ฟัง เดาว่ายิ่งไม่อยากฟังฉันนะ” เลขาเหยียนพูด “แต่ฉันจะลองดูแล้วกัน”

เธอพูดจบ ก็หันตัวเดินขึ้นไปข้างบน

จริงๆ แล้วเลขาเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดอะไรกับไป๋มู่ชิง แค่รู้สึกว่าในเมื่อมาแล้ว ขึ้นไปดูเธอหน่อยก็ควรทำ

ขณะที่เธอเคาะประตูเดินเข้าไปในห้องนอนไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงยังนั่งอยู่หัวเตียง อาหารเช้าที่วางบนโต๊ะก็ยังไม่ถูกแตะต้อง

ได้ยินเสียงเปิดประตู ไป๋มู่ชิงก็ไม่แม้แต่จะยกเปลือกตาขึ้น

เลขาเหยียนสูดลมหายใจเบาๆ หลังจากเดินไปนั่งข้างเตียงก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “คุณหนูอี คุณยังโอเคไหม? ”

ได้ยินเสียงเธอ ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เงยใบหน้าเล็กขึ้นอย่างแผ่วเบา กวาดตามองเธอแล้วลุกขึ้นมาจากหัวเตียงทันที จับสองมือเธอแล้วพูดอย่างกังวล “เลขาเหยียน คุณช่วยฉันโน้มน้าวคุณชายเฉินได้ไหม? คุณก็รู้ ที่บ้านฉันมีสามีและลูก ฉันต้องกลับไปดูแลพวกเขาสองพ่อลูก ฉันอยากกลับบ้าน……”

เลขาเหยียนก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเองที่เธอจับไว้แน่น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วพูด “คุณน่าจะรู้นิสัยคุณชายเฉิน เขาถูกคุณผู้หญิงเอาใจตั้งแต่เล็กจนโต เป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจและทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรถ้าเขาต้องการ เขาจะไม่ยอมให้ใครแย่งไป สิ่งของก็เป็นแบบนี้ นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดล่ะ? คุณหนูอีคุณจะให้ฉันโน้มน้าวเขายังไง? ”

“ฉัน……ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อดีตภรรยาเขา”

“ถ้าคุณเชื่อจริงๆ ว่าตัวเองไม่ใช่อดีตภรรยาเขา แล้วทำไมคุณต้องต่อต้านการกินยา หรือคุณหนูอีไม่ได้จงใจหลบหนีใช่ไหม? ” เลขาเหยียนยิ้มอย่างหมดหนทาง “คุณหนูอีกลัวว่าตัวเองจะจำอดีตได้แล้ว ไม่สามารถเลือกได้ระหว่างคุณชายรองตระกูลเฉียวกับคุณชายเฉิน ไม่สามารถอธิบายให้คุณชายรองตระกูลเฉียวกับน้องเฉียวหว่านชิงใช่ไหม? ”

“เปล่าค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “ไม่ว่าฉันจะจำอดีตได้ไหม ฉันก็ทิ้งเฉียวเฟิงกับหว่านชิงไปไม่ได้”

“งั้นคุณก็ยอมทิ้งคุณชายเฉิน? คุณรู้ไหมสองปีที่คุณหายตัวไป คุณชายเฉินใช้ชีวิตยังไง? บางทีคุณชายรองตระกูลเฉียวอาจจะช่วยคุณไว้มาก จ่ายอะไรเพื่อคุณไปมากมาย แต่คนที่น่าสงสารจริงๆ คือคุณชายเฉิน เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้รักเพราะการจากไปของคุณ สองปีนี้เขาใช้ชีวิตเหมือนศพเดินได้ ไม่มีเพื่อน ไม่มีรอยยิ้ม ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้ความจำเสื่อม คุณต้องสงสารเขาจนน้ำตาไหลแน่ๆ ”

“ถึงฉันจะเป็นอดีตภรรยาเขา แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เขามีภรรยาแล้ว ฉันกับเขาก็มีชีวิตใหม่กัน ตั้งแต่ฉันจำความได้ เฉียวเฟิงอยู่เคียงข้างฉัน ให้ชีวิตที่สองแก่ฉัน เป็นคนที่ดึงฉันออกมาจากปีที่มืดมนนั้นทีละนิด ถึงเมื่อก่อนเขาจะเคยเป็นศัตรูกับฉันมาพันปี หลังจากหลายวันหลายเดือนฉันก็ตกหลุมรักเขา แต่หนานกงเฉินล่ะ? เขาอาจจะเสียใจและเจ็บปวดจริงๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นสามีของผู้หญิงอื่นก็เป็นความจริง ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าตอนนี้ฉันต้องการอะไร แต่กลับต้องการทำลายชีวิตของฉัน หรือเขาอยากให้ชีวิตฉันต่อจากนี้ไม่มีเพื่อนไม่มีรอยยิ้มถึงจะพอใจ? ” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอ “เพราะเขาเอาแต่ใจทำอะไรตามอำเภอใจ เลยขังฉันอยู่ที่นี่โดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาฉันเลยใช่ไหม? ”

สุดท้ายเลขาเหยียนก็พูดไม่ออก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ไม่แน่แปลกใจที่คุณหนูอีมีความคิดแบบนี้ แต่คุณอย่าไปเกลียดคุณชายเฉินมากเกินไป ยังไงเขาก็แค่รักคุณมากเกินไป ไม่ได้มุ่งร้ายอะไร”

ไป๋มู่ชิงคุกเข่าทีละนิด กระซิบทุ้มต่ำ “ถ้าเขาไม่ปล่อยฉันออกไปอีก ฉันอาจจะเกลียดเขาเข้ากระดูกก็ได้”

เลขาเหยียนมองใบหน้าเย็นชาของเธอ สุดท้ายก็ยืนขึ้นจากขอบเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร แล้วพูดขึ้น “คุณหนูอีพักผ่อนให้เต็มที่นะคะ ฉันไปก่อน”

ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเธอ เลขาเหยียนลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องนอน

ขณะที่เดินออกไปจากห้องนอน เธอเห็นหนานกงเฉินที่อยู่นอกประตู ยักไหล่ให้เขาอย่างหมดหนทาง

เดิมทีหนานกงเฉินก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ตอนนี้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น หันตัวเดินลงไปข้างล่าง

เลขาเหยียนเดินลงตามหลังเขาไป จ้องมองเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน คุณคิดว่าวิธีแบบนี้จะโอเคจริงๆ เหรอ? ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด