สรุปเนื้อหา บทที่ 210 บทที่สำคัญ 1 – เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี
บท บทที่ 210 บทที่สำคัญ 1 ของ เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เยว่กวางจู่อวี อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ปีนั้นลูกของไป๋มู่ชิงถูกสลับตัวไปอย่างปริศนา ตอนนั้นเธอคาดเดาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคือหลินอันหนาน ครั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นพี่น้องของตระกูลเฉียว ก็จริง เนื่องจากตอนนั้นไป๋มู่ชิงคลอดลูก ณ โรงพยาบาลเฉียว นอกจากเฉียวซือเหิงแล้วใครจะมีความสามารถมากเพียงพอที่จะสลับลูกของเธออย่างแยบยลเช่นนี้ได้ ? เพียงแค่จุดประสงค์ที่เฉียวซือเหิงกระทำเช่นนั้นคืออันใดกัน ? จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังเดาไม่ออก
ผู่เหลียนเหยายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้าฉันเป็นพี่นะจะรีบเผารายงานการสืบพยานทิ้งซะ หรือว่าพี่อยากให้คนบ้านตระกูลหนานกงเห็นงั้นเหรอ ?”
จูจูรีบชักรายงานการสืบพยานกลับคืนมาอย่างเร็วไว จากนั้นก็ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะ จากนั้นก็มองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“คิดไม่ถึงว่าดวงชะตาของไป๋มู่ชิงจะแข็งแบบนี้ รถถูกชนจนกลายเป็นสภาพนั้นไปแล้วยังมีชีวิตรอดมาได้อีก” ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจออกมาอย่างเอือมละอา : “เรื่องแบบนี้มันจัดการยากจริง ๆ ฉันไม่รู้เหมือนกัน”
“เหลียนเหยา เธอจะต้องช่วยฉันนะ” จูจูกุมมือของเธอเอาไว้พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าที่อ้อนวอน : “ไม่อย่างนั้นถ้าความทรงจำของไป๋มู่ชิงมันกลับมา ฉันซวยแน่”
“พี่สะใภ้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยพี่นะ……แต่ว่าตอนนี้พี่หนานกงเขาเริ่มสงสัยตัวพี่แล้วน่ะสิ ถ้าตอนนี้พี่ทำอะไรอีกละก็ พี่เขาต้องบีบคอพี่ตายแน่นอนเลย” ผู่เหลียนเหยาพูดจบ จึงรีบกลับคำพูดทันที : “แน่นอนว่าเขาคงไม่บีบคอพี่ตายจริง ๆ หรอก เพราะคุณย่าไม่อนุญาต มีคุณย่าหนุนหลังพี่อยู่เขาก็คงไม่หย่ากับพี่หรอกค่ะ แต่เขาจะเกลียดพี่มากและคงไม่มองหน้าพี่ไปทั้งชาติ”
ผลลัพธ์เช่นนี้จูจูเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ทว่าคราวนี้หนานกงเฉินเกลียดเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้งเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?
ตราบใดที่เธอยังถือครองสถานะคู่ครองฟ้าลิขิตอยู่ คุณผู้หญิงจะปกป้องสิทธิการเป็นคู่แต่งงานและความปลอดภัยของเธอแน่นอน ทว่าหากวันดีคืนดีความทรงจำของไป๋มู่ชิงฟื้นกลับมาและพูดความจริงทุกประการออกมา วันนั้นคงเป็นวันตายของเธอสินะ !
เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่สามารถยอมให้ไป๋มู่ชิงมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ยอมเด็ดขาด……
--
เมื่อเช้าตรู่ หนานกงเฉินมาที่บริษัท เลขาหลินได้บอกกับทุกคนว่าให้มารอเขาในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว
เขายังไม่ทันได้เปิดคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ ก็รีบบึ่งมาเข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมทันที
ขณะที่งานประชุมดำเนินมาครึ่งทางแล้วนั้น อยู่ ๆ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ผอ.ฟู่ก็เป็นลมล้มลงภายในห้องประชุม ทุกคนต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เร่งรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาลทันที
สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ส่งผลให้การประชุมต้องหยุดลงกลางคัน เวลาต่อมาไม่นานทางโรงพยาบาลก็ส่งข่าวสารกลับมาบอกว่าผอ.ฟู่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันจนทำให้หน้ามืดเป็นลมไป อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
ขณะที่การประชุมภาคบ่ายสิ้นสุดลงแล้วนั้น หนานกงเฉินกวาดสายตามองผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ภายในห้องประชุมทุกท่าน สุดท้ายก็เคลื่อนสายตามาอยู่ที่เซิ่งเคอพลางกล่าวขึ้นว่า : “เซิ่งเคองานของผอ.ฟู่นายรับช่วงต่อไปก่อนชั่วคราว ฉันจะให้คนทางฝ่ายการเงินให้ความร่วมมือนายอย่างเต็มที่ ”
“ครับ” เซิ่งเคอพยักหน้า
“แยกย้ายกันได้” หนานกงเฉินกล่าว
เวลาต่อมาทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องประชุมไปตาม ๆ กัน หนานกงเฉินยังคงนั่งพลิกดูเอกสารบนที่นั่งประธานอยู่เหมือนเดิม เลขาหลินเดินเข้ามาแล้วรายงานเขาว่า : “คุณชายใหญ่ คุณผู้หญิงมาค่ะ”
“คุณย่ามาทำอะไร ?”
“ไม่ทราบค่ะคุณผู้หญิงไม่ได้บอกไว้”
หนานกงเฉินปิดเอกสารในมือจากนั้นก็เงยหน้ามองเลขาหลินพลางพูดขึ้นว่า : “เธอไปดูผอ.ฟู่ที่โรงพยาบาลนะ บอกให้เขานอนพักผ่อนที่โรงพยาบาลอีกวันสองวัน ค่าใช้จ่ายฉันจ่ายเอง”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณชายเฉิน” เลขาหลินพยักหน้า
หนานกงเฉินเดินกลับห้องทำงาน เมื่อคุณผู้หญิงเห็นเขาเดินเข้ามาแล้ว จึงถามขึ้นทันควัน : “ย่าได้ยินข่าวว่าเหล่าฟู่เป็นลมและเป็นโรคหลอดเลือดสมองงั้นเหรอ ?”
“ครับคุณย่า ผมให้เซิ่งเคอรับงานต่อจากเขาแล้วครับ” หนานกงเฉินนำเอกสารวางกลับบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าเธอแล้วถามว่า : “คุณย่าทำไมออกมาคนเดียวครับ ?”
ที่ผ่านมาข้างกายของเธอมักจะมีจูจูเดินตามด้วย ครั้นวันนี้กลับไม่เห็นเงาของจูจู
“ย่าออกมาเดินเล่นด้านนอกและถือโอกาสมาพาแกกลับบ้านด้วย”
“คุณย่า……”
“อย่าบอกว่าแกจะต้องทำโอทีนะ และอย่าบอกว่าไม่อยากกลับด้วย วันนี้ย่ามาหาแกถึงที่ แกลองพูดว่า ‘ไม่’ ดูสิ”
หนานกงเฉินเอือมละอา ทำได้เพียงหันหลังไปมอบหมายงานที่เหลือให้กับเลขาหลิน
--
ตั้งแต่ที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ไปทำงาน เธอก็จะไปรับหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลคนเดียวจากนั้นก็จะพาหว่านชิงไปรับเฉียวเฟิงที่ร้านอาหาร โดยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เรื่อยมา
วันนี้ก็เป็นดั่งทุกวัน เธออยู่เป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงฝึกซ้อมเป็นพิธีกรตัวน้อยในห้องเรียนเป็นเวลา 20 นาทีก่อนแล้วค่อยออกจากโรงเรียนอนุบาล
ตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้อยู่บริเวณริมขอบของพื้นที่แห่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนและเด็ก ๆ กลับบ้านจนเกลี้ยงแล้ว บริเวณรอบ ๆ ก็จะเริ่มเงียบสงัดลง ไป๋มู่ชิงจูงมือเสียวหว่านชิงพร้อมท่องบทพิธีกรที่คุณครูเพิ่งสอนเมื่อสักครู่ไปด้วย และเดินไปทางประตูทางเข้าไปด้วย
ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางถามขึ้นว่า : “หว่านชิงชอบเป็นพิธีกรไหมคะ ?”
“ชอบสิคะ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า : “ครูฟางบอกว่าหนูพูดเก่งมากเลยค่ะ”
“แม่ก็คิดว่าหนูพูดเก่งมากเหมือนกันจ้ะ !”
รถจอดอยู่ ณ มุมทางเลี้ยวประตูข้างของโรงเรียนอนุบาล สองแม่ลูกเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ตัวรถ ไป๋มู่ชิงควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดประตูรถ ทันใดนั้นเองด้านข้างก็มีเสียงกรีดร้องของเสียวหว่านชิงดังขึ้นมา : “คุณแม่ขา--!”
เธอหันควับไปโดยสันชาตญาณทันที และเห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังอุ้มเสียวหว่านชิงยัดเข้าไปในรถตู้คันหนึ่ง เธอตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ต่อมาก็เรียกสติกลับคืนเร็วไวแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปทันที : “พวกแกจะทำอะไรน่ะ ? หว่านชิง ! รีบคืนหว่านชิงมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ……!”
เธอพุ่งเข้าไปหมายจะแย่งลูกสาวคืนมา ครั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มอย่างโหดเหี้ยมว่า : “คุณชื่อคุณหนูอีใช่ไหม ? รบกวนขึ้นรถมาอย่างว่าง่ายหน่อยนะ” ระหว่างที่พูดอยู่นั้น สองแขนของเธอถูกชายผู้นั้นจับไว้แน่น จากนั้นก็ถูกผลักเข้ารถไปพร้อมกับเสียวหว่านชิง
ผู้ชายสองคนตามขึ้นรถไป จากนั้นรถก็สตาร์ทแล้วออกตัวอย่างรวดเร็ว
ไป๋มู่ชิงเสียขวัญเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์นี้ เธอดิ้นขัดขืนไปพร้อมกรีดร้องไป : “พวกแกจะทำอะไร ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ !”
“ทำอะไรน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าจะเอาชีวิตคุณยังไงล่ะ !” ชายผู้นั้นหัวเราะหึหึ พร้อมกล่าวว่า : “คุณหนูอี ถ้าคุณไม่เชื่อฟังฉันจะฆ่าลูกสาวของคุณเดี๋ยวนี้”
“แกลองดูสิ……!” ไป๋มู่ชิงตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าพวกเขาอาจเป็นคนที่หนานกงเฉินส่งมา ทว่าเมื่อมองดูจากตอนนี้แล้วไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เนื่องจากหนานกงเฉินไม่มีทางที่จะรุนแรงกับเธอเช่นนี้ และไม่มีทางทำร้ายเธอกับหว่านชิงด้วย !
ชายผู้นั้นไม่สนใจการดิ้นรนขัดขืนของเธอ เขาใช้เชือกมัดสองขาของเธอเอาไว้ด้วยความเร็ว
“คุณแม่……” หว่านชิงตื่นตระหนกตกใจจนปล่อยโฮออกมา จากนั้นชายผู้นั้นก็รีบใช้เทปปิดปากเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ทันที
ไป๋มู่ชิงตบมือของชายผู้นั้นออก จากนั้นก็โผเข้ากอดเสียวหว่านชิงที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ พลางลูบเส้นผมของเธอแล้วกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า : “ลูกรักไม่ต้องกลัวนะ ยังจำที่คุณครูสอนได้ไหมคะ ? ถ้าเจอคนร้ายจะต้องใจเย็น ๆ ต้องคิดว่าวิธีหนีออกมาถูกต้องไหมคะ ?”
ความจริงแล้วเธอก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถที่จะใจเย็นได้เลย เธอบังคับให้ตนเองสงบจิตสงบใจ จากนั้นก็กดเสียงเบาพูดว่า : “อีกสักครู่แม่จะผลักหนูลงรถไป หนูจะต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลยนะคะ ไม่ต้องสนใจแม่ จากนั้นก็ไปหาคุณลุงตำรวจให้มาช่วยคุณแม่ โอเคไหมคะ”
“หยุดพูดนะ !” ชายผู้นั้นใช้เทปอีกอันปิดปากของไป๋มู่ชิงเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด : “ยื่นมือออกมาเดี๋ยวนี้ !”
ไป๋มู่ชิงฉวยโอกาศตอนที่เขาไม่ทันระวังควักสเปรย์พริกไทยออกมาจากกระเป๋าโดยเร็ว จากนั้นก็ฉีดพ่อใส่ตาของชายสองคนนั้นรัว ๆ
“อ๊าก --!” เสียงครวญครางอันเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในรถ
“นังตัวดี ! กล้าเอาคืนพวกเรางั้นเหรอ ?” ชายผู้หนึ่งกระชากผมของไป๋มู่ชิงแน่นจากนั้นก็เขกเข้ากับประตู
ไป๋มู่ชิงเจ็บจนร้องครวญครางออกมา ครั้นในเวลานี้เธอไม่มีเวลามาสนใจบาดแผลของตนแล้ว เธอรวบรวมสติแล้วลากประตูเปิดออก จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่รถชะลอความเร็วผลักเสียวหว่านชิงลงไปทันทีอย่างรวดเร็ว
เสียวหว่านชิงล้มเกลือกกลิ้งอยู่ข้างถนน
เมื่อชายสองคนนั้นเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังจะหนีไป จึงกระชากแขนของเธอกลับคืนมาทันที : “อย่าหนีนะ……!” จากนั้นก็ปิดประตูรถอย่างเร็วไว
“ฮือ……ฮือ……!” ไป๋มู่ชิงมองเสียวหว่านชิงที่ล้มคะมำอยู่ข้างทางผ่านหน้าต่าง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นไฟแดงจึงทำให้รถขับไม่เร็วนัก ทว่าเด็กยังคงตกใจกับการกระทำของตนเองอยู่ดี เธอไม่รู้ว่าเสียวหว่านชิงเป็นอย่างไรบ้าง เธอเป็นห่วงว่าเธอจะล้มจนได้รับบาดเจ็บ น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ
“นั่งตัวดี ถ้ายังกล้าคิดหนีอีกฉันเอาแกตายแน่ !” ชายผู้นั้นพูดขู่เธอไปพร้อมใช้เชือกมัดสองขาของไป๋มู่ชิงเอาไว้
ไป๋มู่ชิงขัดขืนไปพร้อมร้องไห้โฮออกมา ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้ามารุมเร้าเธอ……
เธอไม่ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงจับตัวเธอมา แถมยังกระทำกับเธอและเสียวหว่านชิงอย่างรุนแรงเช่นนี้
“เอายังไง ? จะกลับไปจับเด็กนั่นกลับมาไหม ?” คนขับรถที่อยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้นด้วยความร้อนรนใจ
“ตรงนี้ย้อนศรไม่ได้ อีกอย่างถ้าเจอกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นขึ้นมาพวกเราไม่จบเห่กันพอดีเหรอ ? นายรีบโทรบอกให้เหล่าเจิ้นไปจับเด็กคนนั้นกลับมาเร็วเข้า” ชายผู้หนึ่งใช้น้ำแร่ชำระล้างดวงตาของตนเอง พร้อมทั้งพูดสบถด้วยความโมโหจัด : “บัดซบเอ๊ย แสบชะมัด”
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินว่าพวกเขาจะโทรบอกให้ผู้อื่นไปจับหว่านชิง จึงร้องสะอึกสะอื้นขึ้นมาอย่างร้อนรนใจ
“ร้องอะไร หุบปากเดี๋ยวนี้ !” ชายผู้ที่ถูกเธอพ่นสเปรย์พริกไทยใส่ตบไปยังใบหน้าของเธอด้วยความโมโห
--
คุณผู้หญิงกวาดสายตามองเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน จากนั้นก็ถามขึ้นมาทันที : “เฉินทำไมมาเส้นทางนี้ล่ะ ?”
อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนได้ขับรถอ้อมเป็นระยะทางไกลพอสมควร จึงได้ตอบว่า : “ชินแล้วครับ”
ถนนเส้นนี้มุ่งตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า จากโรงเรียนอนุบาลกลับบ้านตระกูลหนานกงจะต้องอ้อมเป็นระยะทางราว ๆ สี่ถึงห้ากิโลเมตร ทว่าเขายังคงขับรถอ้อมมาทางนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นกลับคฤหาสน์หลังเก่าหรือกลับคอนโด
เวลานี้โรงเรียนอนุบาลเลิกเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียวหว่านชิงก็น่าจะกลับบ้านไปตั้งนานแล้วเช่นกัน ทว่าเขายังคงขับรถมาเส้นทางนี้ด้วยสันชาตญาณตนเองเช่นเคย
“เอ๊ะ ด้านหน้าใช่มีคนลักพาตัวเด็กหรือเปล่านั่น ?” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็พูดขึ้นมา
“ดูเหมือนจะใช่เลยนะคะ” พี่เหอกล่าว
หนานกงเฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองเห็นชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเด็กผู้หญิงอยู่ อีกทั้งเงาหลังของเด็กผู้นั้นยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา
“หว่านชิง ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นมาเสียงเบา จากนั้นก็เหยียบคันเร่งบึ่งรถไปหยุดอยู่ข้างทางเบื้องหน้าที่เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งอยู่
“เฉิน จะทำอะไรน่ะ ?” คุณผู้หญิงรับรู้ได้ว่าหนานกงเฉินกำลังจะลงรถ จึงพูดขึ้นทันควัน : “ย่าพูดไปงั้นแหละ กลางวันแสก ๆ แบบนี้จะมีคนลักพาตัวเด็กได้ยังไงกัน ? พวกเขาอาจจะเป็นพ่อลูกกันก็ได้ ไม่ต้องสนใจหรอก……”
คุณผู้หญิงยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินก็ได้ผลักประตูรถแล้วพุ่งออกไปเสียแล้ว
“เฉิน ระวังตัวด้วยนะ……” เธอตะโกนตามหลังหนานกงเฉินไป จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับพี่เหอว่า : “เร็วเข้า รีบโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ” พี่เหอรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วโทรหาตำรวจด้วยความตื่นตระหนก
เสียวหว่านชิงวิ่งอยู่บนทางเดินพร้อมร้องไห้โฮไปด้วยตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย ชายแปลกหน้าผู้ที่อยู่ด้านหลังจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า : “นังหนู ! ถ้ายังวิ่งอีกกลับบ้านไปฉันจะตีขาให้ขาดเลยคอยดู หยุดเดี๋ยวนี้นะ……หยุดได้ยินหรือเปล่า ? !”
คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็คิดว่าคุณพ่อกำลังสั่งสอนลูกสาวอยู่ พวกเขาชายตามองครั้นไม่มีใครมาสนใจ
ถึงอย่างไรเสียวหว่านชิงก็ตัวเล็กกว่า วิ่งอย่างไรก็ไม่ทันเขา ไม่ทันได้วิ่งนานก็ถูกเขาจับได้เสียแล้ว จากนั้นก็มีรถตู้คันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนมาจอดข้าง ๆ ทั้งสองคน
“ปล่อยนะ ! พวกคนเลว --!” เสียวหว่านชิงดิ้นไปมาเพื่อขัดขืน พร้อมทั้งร้องไห้โฮ
“เด็กดี เลิกโวยวายได้แล้ว พรุ่งนี้พ่อจะพาหนูไปโอเชี่ยนปาร์ค” ชายผู้นั้นกำลังจะอุ้มเสียวหว่านชิงขึ้นรถ ทันใดนั้นก็ถูกชกเข้าหน้าอย่างจังด้วยความรุนแรง
เขาถูกชกหน้าจนมึนหัวไปชั่วขณะ เมื่อกระพริบตาดู จึงมองเห็นหนานกงเฉินและเห็นมืออันว่างเปล่าของตนเอง จึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า : “แกเป็นใครฮะ ? ฉันสั่งสอนลูกสาวแกจะมายุ่งทำไม ? เฮ้ --!”
หนานกงเฉินชกหน้าเขาไปอีกหนึ่งหมัดอย่างแรง
“แก……”
“เธอยังเป็นลูกสาวแกอยู่ไหม ?” หนานกงเฉินชกเข้าไปอีกหมัด คราวนี้ฝ่ายนั้นมีการเตรียมตัว จึงหลบทัน
“ลุงเฉิน……” เมื่อเสียวหว่านชิงมองเห็นหนานกงเฉิน จึงร้องไห้ขึ้นเสียงดังกว่าเดิม
ชายแปลกหน้าผู้นั้นเมื่อได้ยินว่าเสียวหว่านชิงรู้จักกับหนานกงเฉิน จึงทราบว่าตนเกิดปัญหาใหญ่แล้วดังนั้นเขาจึงหันหลังพุ่งไปยังรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ
เดิมทีหนานกงเฉินอยากอยู่ปลอบใจเสียวหว่านชิงเสียก่อน ครั้นเมื่อเห็นเขากำลังจะหนีไป จึงคว้าขอเสื้อด้านหลังของเขาไว้แล้วเตะขาเขาล้มลงบนพื้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “แกลองขยับอีกสิ !”
“ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมจำคนผิดไป ขอโทษครับ……ผมผิดไปแล้ว……” ชายแปลกหน้ากล่าวขอโทษกับเขาไป พลางขยับถอยไปข้างหลังทีละนิด หมายจะวิ่งหนีขึ้นรถตู้เอาตัวรอด
หนานกงเฉินไม่มีทางเชื่อว่าเขาจำคนผิด จึงเตะขาเขาล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
จากนั้นก็มีเสียงไซเรนของรถตำรวจดังเข้ามาจากไกล ๆ เมื่อคนขับรถตู้ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจแล้ว จึงเหยียบคันเร่งอย่างแรงเพื่อหนีเอาตัวรอด
และเมื่อผู้ชายที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงไซเรนตำรวจจึงตกใจหน้าตื่นทันที เขากล่าวขอโทษยอมรับผิดกับหนานกงเฉินไม่หยุด หนานกงเฉินไม่มีอารมณ์ไปสนใจเขา ครั้นได้นั่งยองยองลงเบื้องหน้าเสียวหว่านชิงจากนั้นก็มองสำรวจร่างกายเธอ เขามองไปยังรอยแผลที่อยู่บนหน้าผากของเธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความสงสารว่า : “หว่านชิง เป็นอะไรเหรอคะ ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว ?”
“คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปแล้วค่ะ……ลุงเฉินคะ……ขอร้องคุณลุงรีบไปช่วยแม่หนูด้วยเถอะนะคะ……” เสียวหว่านชิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าตนเองไป พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
เมื่อได้ยินว่าไป๋มู่ชิงถูกคนร้ายจับตัวไป หนานกงเฉินจึงถามด้วยความตกตะลึงทันที : “หนูว่าอะไรนะ ? คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปงั้นเหรอ ?”
เสียวหว่านชิงร้องไห้พลางพยักหน้าไป : “พวกมันบอกว่าจะฆ่าหนูกับคุณแม่ คุณแม่ผลักหนูลงรถ……แต่ว่าคุณแม่ถูกคนร้ายจับไปแล้วค่ะ”
หนานกงเฉินสมองว่างเปล่าในทันที
ไป๋มู่ชิงถูกจับตัวไปงั้นหรือ ? ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันแน่ ?
“เกิดอะไรขึ้นครับ ?” ตำรวจสองสามนายลงจากรถและเดินเข้ามา พร้อมกวาดสายตามองทุกคน
“คุณลุงตำรวจคะ เขาคือคนเลวค่ะ……” เสียวหว่านชิงร้องไห้ไปพูดไป : “พวกมันจับแม่หนูไป……พวกลุงรีบจับเขาเร็วค่ะ……”
“ผม……ผมเปล่านะครับ คุณตำรวจพวกคุณอย่าฟังคำพูดซี้ซั้วของเธอนะครับ” ชายคนแปลกหน้ารีบกล่าวด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อตำรวจเห็นเขาครั้งแรกก็ทราบทันทีว่าเขาดูเหมือนไม่ใช่คนดี จึงเดินหน้าไปล็อกแขนของเขาเอาไว้
หนานกงเฉินโทรหาเสี่ยวหลิน พลางอุ้มเสียวหว่านชิงกลับขึ้นรถตัวเองไป จากนั้นก็ยกเธอให้คุณผู้หญิงพร้อมพูดว่า : “คุณย่าครับ นี่คือลูกของเพื่อนผม รบกวนคุณย่าช่วยผมพาเธอกลับบ้านไปดูแลสักครู่ทีนะครับ ผมยังมีธุระต้องไปจัดการอีก”
หลังจากที่เขาพูดจบจึงได้กล่าวกับเสียวหว่านชิง : “หว่านชิง หนูกลับไปจัดการแผลกับคุณย่าท่านนี้ก่อนนะครับ ลุงเฉินจะช่วยตามหาแม่ของหนูกลับคืนมาเอง เชื่อฟังเข้าใจไหมครับ ?”
“ลุงเฉินจะช่วยแม่หนูกลับคืนมาจริง ๆ เหรอคะ ?”
“แน่นอนครับ” หนานกงเฉินกล่าวจบก็ปิดประตูรถทันที
“นี่ !” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็เรียกหยุดเขาไว้จากนั้นก็ก้มหน้ามองเสียวหว่านชิง : “เฉินแกโยนเด็กดื้อนี่มาให้ฉันนี่มันอะไรกันเนี่ย ? ฉัน……”
“คุณย่า หว่านชิงไม่ดื้อเลยครับ ขอร้องด้วยนะครับ” หนานกงเฉินพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสียวหว่านชิง จากนั้นก็ปิดประตูรถแล้วเดินจากไป
หนานกงเฉินขึ้นรถตำรวจไปโรงพักพร้อมกัน เขาไม่มีความอดทนอย่างเช่นตำรวจที่สอบสวนชายผู้นั้นอย่างอดทน เมื่อขึ้นรถแล้วเขาได้พุ่งเข้าไปกระชากเสื้อของชายผู้นั้นเอาไว้แล้วพูดด้วยความเกรี้ยวกราด : “บอกมา ! ใครมันเป็นคนส่งแกมากันแน่ ? แกพาคุณหนูอีไปไหนแล้ว ?”
“ผม……ผมไม่รู้……” ชายแปลกหน้าผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ : “ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“แกจะไม่รู้ได้ยังไง ?” หนานกงเฉินง้างมือขึ้นหมายจะชกเขาอีก ครั้นถูกคุณตำรวจห้ามปรามไว้
“คุณชายเฉินอย่าเพิ่งใจร้อนไป” คุณตำรวจดึงหนานกงเฉินเอาไว้ จากนั้นก็หันหน้าไปหาชายแปลกหน้าผู้นั้น : “ถ้างั้นตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ที่ไหน ? ทะเบียนรถ เบอร์โทร รีบบอกมาซะ คุณน่าจะเข้าใจดีว่าแค่สารภาพความจริงมาถึงจะสามารถผ่อนผันกันได้”
ชายแปลกหน้าผู้นั้นบอกหมายเลขโทรศัพท์กับตำรวจด้วยตัวอันสั่นเทา คุณตำรวจจึงทดลองจับตำแหน่งที่ตั้งดูแต่กลับไม่มีสัญญาณ น่าจะเนื่องจากปิดเครื่องไปแล้ว
เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าคนที่จับได้ผู้นี้ไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงขอร้องให้คุณตำรวจอย่าเพิ่งประกาศไปทั่ว ถึงอย่างไรความปลอดภัยของไป๋มู่ชิงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาจูจู
ในเวลานี้จูจูที่อยู่คฤหาสน์หลังเก่ากำลังกระวนกระวายอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์บนโซฟาขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหนานกงเฉิน จึงรู้สึกกังวลใจ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วกดปุ่มรับสาย
“ถ้างั้นตอนนี้หนูบอกย่าทวดมาได้หรือยังว่าแม่หนูชื่ออะไร ?” คุณผู้หญิงพูดปลอบประโยน
เสียวหว่านชิงครุ่นคิดชั่วครู่ สุดท้ายก็ตอบไปว่า : “แม่หนูชื่ออีหลิน พ่อชื่อเฉียวเฟิงค่ะ”
“พ่อแม่แท้ ๆ เลยเหรอ ?”
เมื่อมองเห็นใบหน้าอันสับสนงุนงงของเสียวหว่านชิง พี่เหอจึงกล่าวว่า : “คุณผู้หญิง หรือว่าคุณสงสัยว่าเธอจะเป็นลูกของนายหญิงน้อยเหรอคะ ?”
“ใครจะไปรู้ ตามนิสัยของผู้หญิงคนนั้น การแอบมีลูกข้างนอกไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักหน่อย”
“ไม่จริงมั้งคะ เวลามันไม่ค่อยประจวบเหมาะเท่าไหร่เลยนี่คะ”
“คุณย่าทวดเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูคือลูกแท้ ๆ ของคุณแม่ หนูกับคุณแม่หน้าเหมือนกันมาก ๆ เลยนะคะ” เห็นได้ชัดว่าเสียวหว่านชิงไม่ชอบให้ผู้อื่นมาถกเถียงกันเรื่องประวัติความเป็นมาของตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวโต้แย้งไป
ปากเล็ก ๆ ที่กำลังบูดเบี้ยวอยู่นั้นแลดูน่ารักเป็นอย่างมาก คุณผู้หญิงจึงอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะกับท่าทางของเธอ คุณผู้หญิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของเธอ : “ดูสิหนูโวยวายใหญ่เลย คุณย่าทวดก็แค่พูดเล่นเฉย ๆ จ้ะ”
ในที่สุดเสียวหว่านชิงก็ไม่พูดแล้ว
“เจ้าหนูนี่ไม่ยอมใครเหมือนกันนะเนี่ย” คุณผู้หญิงหันไปส่งยิ้มให้กับพี่เหอ อยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกชอบเสียวหว่านชิงขึ้นมา
“เด็กสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหมดแหละค่ะ” พี่เหอยิ้มกลับ
รถยนต์เข้าจอดอยู่หน้าประตูเข้าบ้าน เสียวหว่านชิงถูกพี่เหออุ้มลงรถ เธอกวาดสายตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แปลกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ในใจมีความรู้สึกไม่กล้าที่จะก้าวไปด้านหน้าขึ้นมา
“ที่นี่คือบ้านของลุงเฉินของหนูไง มีอะไรเหรอ ?” คุณผู้หญิงยื่นมือมาจูงมือน้อย ๆ ของเธอจากนั้นก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ มีย่าทวดอยู่ด้วย คนที่นี่ไม่กล้ามีใครรังแกหนูหรอก”
“ที่นี่คือบ้านของลุงเฉินจริง ๆ เหรอคะ ?” เสียวหว่านชิงสอบถามเพื่อเป็นการยืนยัน
“ใช่น่ะสิจ๊ะ” คุณผู้หญิงพยักหน้า : “ไม่เคยมาใช่ไหม ?”
“ไม่เคยค่ะ” เสียวหว่านชิงเดินตามเธอเข้าไปบริเวณด้านใน
คุณผู้หญิงจูงมือเธอเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นพี่เหอก็ไปหาของทานเล่นมาให้เสียวหว่านชิง จากนั้นก็จัดแจงให้ทางห้องครัวเตรียมอาหาร
เมื่อได้ยินเสียงรถกลับมาแล้ว จูจูที่กำลังกระส่ายกระสับอยู่ภายในห้องนอนมาเป็นเวลานานก็พยายามปรับสภาพจิตใจให้สงบลง จากนั้นก็สาวเท้าเดินลงไปชั้นล่าง ขณะที่เดินจนถึงหน้าบันได เธอมองเห็นคุณผู้หญิงกำลังนั่งรับประทานองุ่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบนโซฟาอยู่ไกล ๆ เธอหยุดชะงักฝีเท้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจทันที เนื่องจากเสียวหว่านชิงนั่งหันหลังให้เธอ ครั้งแรกเธอมองไม่ออกว่าเป็นใคร
เมื่อเธอเดินลงมาจนถึงห้องรับแขก และมองเห็นใบหน้าของเสียวหว่านชิง ทันใดนั้นเองบนใบหน้าของเธอก็ผุดเป็นความรู้สึกที่ตกตะลึงไปทันที
เมื่อเห็นความตกตะลึงบนใบหน้าของเธอ คุณผู้หญิงจึงยิ้มขึ้นพร้อมถามว่า : “เป็นไง ? เธอก็คิดเหมือนกันใช่ไหมว่าเด็กคนนี้หน้าเหมือนเธอตอนเด็ก ?”
“เอ่อ……” จูจูอ้าปาก อ้ำอึ้ง สุดท้ายกลับพูดไม่ออก
เสียวหว่านชิงมองเห็นเธอแล้วเช่นกัน ขณะที่ทั้งคู่สบสายตากันนั้น จูจูรีบเดินเข้าไปลูบหัวของเธอพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า : “หว่านชิงเหรอจ๊ะ ? ไม่เจอกันนานเลยนะ ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? โธ่เอ๊ย……แผลบนหัวนี่มันคืออะไรคะเนี่ย ? เจ็บไหมคะ ? เดี๋ยวคุณน้าเป่าให้นะ”
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ เธอก็เป่ารอยแผลให้เธออย่างเป็นห่วงเป็นใยไปด้วย
แม้ว่าเสียวหว่านชิงจะไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับเธอ ทว่าตัวเองก็ได้ให้อภัยลุงเฉินแล้ว จึงไม่สามารถที่จะเคียดแค้นคุณน้าคนเลวท่านนี้ต่อไปได้ อีกทั้งความเป็นมิตรของจูจูคนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา นิสัยโดยธรรมชาติของเด็กเล็กนั้นคือในใจจะไม่มีความเคียดแค้นใด ๆ
“ขอบคุณค่ะคุณน้า” เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน
“ขอบใจอะไรกันจ๊ะ ไปได้แผลนี้มาได้ยังไงเหรอ จากนี้ไปอย่าไม่ระวังตัวแบบนั้นอีกรู้ไหมจ๊ะ ?” จูจูพูดประจบประแจงเพื่อเอาชนะใจเธอต่อไปด้วยเวลาที่รวดเร็วที่สุด
“รู้จักกันเหรอ ?” คุณผู้หญิงคิดไม่ถึงว่าจูจูจะรู้จักเสียวหว่านชิง จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“เคยเจอหนึ่งถึงสองครั้งค่ะ แม่ของหว่านชิงเขาเป็นพนักงานบริษัทคู่ค้าของเฉินน่ะค่ะ” จูจูเปลี่ยนมาถาม : “จริงสิคะ คุณย่าทำไมคุณย่าถึงพาหว่านชิงกลับมาด้วยล่ะคะ ?”
“เมื่อกี้เด็กคนนี้ถูกคนร้ายวิ่งจับตัวบนถนน คุณชายใหญ่ลงไปช่วยเธอไว้ และขอร้องให้ฉันกับคุณผู้หญิงช่วยดูแลสักครู่น่ะค่ะ” พี่เหอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าว
จูจูใจเต้นตุบตับ จากนั้นก็พยักหน้าโดยความกระส่ายกระสับ
หนานกงเฉินขอร้องให้คุณผู้หญิงดูแลเสียวหว่านชิง ? ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ตัวเขาล่ะ ? ไปตามหาไป๋มู่ชิงแล้วหรือ ? เขาไม่กลัวอันตรายเลยหรืออย่างไร ?
เสียงของโทรศัพท์บนโต๊ะน้ำชาดังขึ้นมา พี่เหอเดินเข้าไปรับโทรศัพท์ หลังจากที่ฟังปลายสายกล่าวเสร็จเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงตอบรับกลับไป : “คุณชายใหญ่ไม่ต้องห่วงนะคะ ตอนนี้เสียวหว่านชิงสบายดีค่ะ ฉันจะดูแลเธอให้ดี ๆ เดี๋ยวพ่อของเธอจะส่งคนมารับใช่ไหมคะ……ค่ะ……จริงสิคุณชายใหญ่ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ……?”
เธอยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายก็กดวางไปแล้ว
“เฉินบอกว่าอะไร ? เขายังไม่กลับมาอีกเหรอ ?” คุณผู้หญิงถาม
“เขาไม่ได้บอกค่ะ แค่กำชับให้พวกเราดูแลเสียวหว่านชิงให้ดี ๆ เท่านั้น และก็ห้ามให้นายหญิงน้อยเข้าใกล้เธอ……” พี่เหอมองหน้านายหญิงน้อยแวบหนึ่ง จากนั้นจูจูก็อึ้งไป เธอหุบยิ้มพร้อมถามขึ้น : “คุณชายใหญ่นี่ตลกจริง ๆ เลยนะคะ ต่อให้อารมณ์ของฉันสองวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีทางที่ฉันจะไประบายใส่เด็กน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรอกนะ อีกทั้งยังเป็นเด็กที่น่ารักอย่างหว่านชิงอีกด้วย” เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสียวหว่านชิงพร้อมยิ้มไปด้วย : “จริงไหมจ๊ะ หนูน้อยที่รัก”
เสียวหว่านชิงจ้องหน้าเธอครั้นไม่ได้กล่าวอันใด
พี่เหอพูดปลอบประโยนเธอว่า : “จริงสิ หนูน้อยเดี๋ยวอีกประเดี๋ยวพ่อหนูจะส่งคนมารับหนูกลับบ้านนะ ทานข้าวอยู่ที่นี่ก่อนดีไหมคะ ?”
เสียวหว่านชิงพยักหน้า พลางสอบถามว่า : “พ่อนูจะมาตอนไหนเหรอคะ ?”
“น่าจะใกล้แล้วนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก หรือไม่กินข้าวเสร็จแล้วน้าส่งหนูกลับบ้านดีไหมคะ ?” จูจูพูดด้วยรอยยิ้ม
เสียวหว่านชิงส่ายหน้าทันควัน เธอไม่ต้องการ !
เมื่อจูจูถูกเธอปฏิเสธมาเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างเสียหน้า จากนั้นก็จูงมือน้อย ๆ ของเธอ : “ถ้างั้นก็รอให้คุณพ่อมารับหนูก็แล้วกันเนอะ ไปกันเถอะ พวกเราไปกินข้าวกันค่ะ”
“อืม ไปกินข้าวก่อนเถอะ” คุณผู้หญิงก็ลุกขึ้นยืนจากโซฟาตามไปด้วย ทั้งสี่คนเดินมุ่งเข้าไปในห้องอาหารพร้อมกัน
จูจูคีบของกินให้เสียวหว่านชิงไม่หยุด และขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นก็เธอพลั้งปากถามขึ้นมาโดยไม่เจตนาอีกว่า : “คุณย่าดูสิคะ เด็กน้อยสมัยนี้น่ารักจังเลยนะคะ คุณย่าอยากได้สักคนไหมคะ ?”
คุณผู้หญิงรู้ความหมายที่อยู่ภายในคำพูดของเธอดี เวลาต่อมาจึงกล่าวขึ้นว่า : “เธอจะมีลูกที่ทั้งแข็งแรงและฉลาดแบบนี้ได้หรือเปล่าล่ะ ?”
จูจูจุกกับคำพูดนี้ของคุณผู้หญิงจนทำให้พูดไม่ออก ทว่าเธอก็ยังคงยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า : “ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าไม่ได้ เมื่อดูจากยีนที่มีคุณภาพดีของคุณชายใหญ่แล้ว ไม่แน่เด็กที่คลอดออกมาอาจน่ารักกว่าหว่านชิงก็ได้นะคะ”
“การเดิมพันนี้มันใหญ่โตเกินไป ช่างเถอะ” คุณผู้หญิงกล่าว
คำถามนี้เธอไม่กล้าถามคุณผู้หญิงมาเป็นเวลานานมากแล้ว เดิมคิดว่าถือโอกาสหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด บางทีคุณผู้หญิงอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็เป็นได้ เนื่องจากดูแล้วคุณผู้หญิงน่าจะชอบเสียวหว่านชิงมากเลยทีเดียว ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกห้ามปรามไว้อีกครั้ง สายตาที่เธอมองเสียวหว่านชิงเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ น่ารักหรือ ? ทำไมเธอถึงไม่คิดแบบนั้นเลยสักนิดล่ะ ?
ภายในใจของเธอมีบันดาลโทสะอัดอั้นอยู่ จึงรับประทานไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดจากนั้นก็ขึ้นไปชั้นบน
เธอนั่งอยู่บนโซฟา จากนั้นก็คิดถึงท่าทางอันใจดีที่คุณผู้หญิงมีต่อเสียวหว่านชิง คุณผู้หญิงที่นิสัยเคร่งขรึมเช่นนี้ก็ยังมีช่วงเวลาที่อบอุ่นด้วย หรือว่านี่จะเป็นผลสืบเนื่องจากความผูกพันทางสายเลือด ?
ถ้าหากคุณผู้หญิงทราบว่าเสียวหว่านชิงเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของเธอ จะต้องไม่ทำเพียงเท่าที่เห็นตอนนี้แน่นอน
เสียวหว่านชิงอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว โอกาสที่ดีเช่นนี้หากเธอไม่คว้ามันไว้ให้ดี เช่นนั้นในอนาคตก็คงไม่มีโอกาสยิ่งกว่านี้
ถึงอย่างไรตอนนี้หนานกงเฉินก็มั่นใจแล้วว่าเธอเป็นผู้บงการให้คนไปจัดการไป๋มู่ชิง ไม่รู้ว่าเมื่อเขากลับมาแล้วจะจัดการเธอเช่นไร
เมื่อนึกถึงฉากที่ตนทำร้ายเสียวหว่านชิงด้วยมือตนเอง ลำตัวก็สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าตนใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน เป็นเพราะสองแม่ลูกนั่นแท้ ๆ ที่ทำให้เธอจะบ้าตายเช่นนี้ !
ถ้าหากพวกเขาไม่กลับมา ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าหนานกงเฉินอยู่บ่อยครั้ง หนานกงเฉินจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอยังไม่ตาย ?
เธอลุกขึ้นจากโซฟาช้า ๆ และเดินออกจากห้องนอนแล้วไปยืนบนหน้าประตูชั้นสอง สายตาจับจ้องไปที่คุณผู้หญิงและเสียวหว่านชิงที่อยู่ชั้นล่าง เธอจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ อันน่ารักของเสียวหว่านชิงพร้อมกัดฟันกรอบ ในใจพลางคิดว่า : “เจ้าตัวกระเปี๊ยก ยังเด็กยังเล็กอยู่เลยก็รู้จักประจบสอพลอคนอื่นแล้วเหรอ ถ้างั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”
หลังจากที่พูดคำพูดนี้จบในใจ เธอก็กลับหลังหันแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ กลับห้องนอนไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...