เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 210

ปีนั้นลูกของไป๋มู่ชิงถูกสลับตัวไปอย่างปริศนา ตอนนั้นเธอคาดเดาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคือหลินอันหนาน ครั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นพี่น้องของตระกูลเฉียว ก็จริง เนื่องจากตอนนั้นไป๋มู่ชิงคลอดลูก ณ โรงพยาบาลเฉียว นอกจากเฉียวซือเหิงแล้วใครจะมีความสามารถมากเพียงพอที่จะสลับลูกของเธออย่างแยบยลเช่นนี้ได้ ? เพียงแค่จุดประสงค์ที่เฉียวซือเหิงกระทำเช่นนั้นคืออันใดกัน ? จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังเดาไม่ออก

ผู่เหลียนเหยายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้าฉันเป็นพี่นะจะรีบเผารายงานการสืบพยานทิ้งซะ หรือว่าพี่อยากให้คนบ้านตระกูลหนานกงเห็นงั้นเหรอ ?”

จูจูรีบชักรายงานการสืบพยานกลับคืนมาอย่างเร็วไว จากนั้นก็ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะ จากนั้นก็มองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

“คิดไม่ถึงว่าดวงชะตาของไป๋มู่ชิงจะแข็งแบบนี้ รถถูกชนจนกลายเป็นสภาพนั้นไปแล้วยังมีชีวิตรอดมาได้อีก” ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจออกมาอย่างเอือมละอา : “เรื่องแบบนี้มันจัดการยากจริง ๆ ฉันไม่รู้เหมือนกัน”

“เหลียนเหยา เธอจะต้องช่วยฉันนะ” จูจูกุมมือของเธอเอาไว้พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าที่อ้อนวอน : “ไม่อย่างนั้นถ้าความทรงจำของไป๋มู่ชิงมันกลับมา ฉันซวยแน่”

“พี่สะใภ้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยพี่นะ……แต่ว่าตอนนี้พี่หนานกงเขาเริ่มสงสัยตัวพี่แล้วน่ะสิ ถ้าตอนนี้พี่ทำอะไรอีกละก็ พี่เขาต้องบีบคอพี่ตายแน่นอนเลย” ผู่เหลียนเหยาพูดจบ จึงรีบกลับคำพูดทันที : “แน่นอนว่าเขาคงไม่บีบคอพี่ตายจริง ๆ หรอก เพราะคุณย่าไม่อนุญาต มีคุณย่าหนุนหลังพี่อยู่เขาก็คงไม่หย่ากับพี่หรอกค่ะ แต่เขาจะเกลียดพี่มากและคงไม่มองหน้าพี่ไปทั้งชาติ”

ผลลัพธ์เช่นนี้จูจูเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ทว่าคราวนี้หนานกงเฉินเกลียดเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้งเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?

ตราบใดที่เธอยังถือครองสถานะคู่ครองฟ้าลิขิตอยู่ คุณผู้หญิงจะปกป้องสิทธิการเป็นคู่แต่งงานและความปลอดภัยของเธอแน่นอน ทว่าหากวันดีคืนดีความทรงจำของไป๋มู่ชิงฟื้นกลับมาและพูดความจริงทุกประการออกมา วันนั้นคงเป็นวันตายของเธอสินะ !

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่สามารถยอมให้ไป๋มู่ชิงมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ยอมเด็ดขาด……

--

เมื่อเช้าตรู่ หนานกงเฉินมาที่บริษัท เลขาหลินได้บอกกับทุกคนว่าให้มารอเขาในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว

เขายังไม่ทันได้เปิดคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ ก็รีบบึ่งมาเข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมทันที

ขณะที่งานประชุมดำเนินมาครึ่งทางแล้วนั้น อยู่ ๆ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ผอ.ฟู่ก็เป็นลมล้มลงภายในห้องประชุม ทุกคนต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เร่งรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาลทันที

สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ส่งผลให้การประชุมต้องหยุดลงกลางคัน เวลาต่อมาไม่นานทางโรงพยาบาลก็ส่งข่าวสารกลับมาบอกว่าผอ.ฟู่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันจนทำให้หน้ามืดเป็นลมไป อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

ขณะที่การประชุมภาคบ่ายสิ้นสุดลงแล้วนั้น หนานกงเฉินกวาดสายตามองผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ภายในห้องประชุมทุกท่าน สุดท้ายก็เคลื่อนสายตามาอยู่ที่เซิ่งเคอพลางกล่าวขึ้นว่า : “เซิ่งเคองานของผอ.ฟู่นายรับช่วงต่อไปก่อนชั่วคราว ฉันจะให้คนทางฝ่ายการเงินให้ความร่วมมือนายอย่างเต็มที่ ”

“ครับ” เซิ่งเคอพยักหน้า

“แยกย้ายกันได้” หนานกงเฉินกล่าว

เวลาต่อมาทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องประชุมไปตาม ๆ กัน หนานกงเฉินยังคงนั่งพลิกดูเอกสารบนที่นั่งประธานอยู่เหมือนเดิม เลขาหลินเดินเข้ามาแล้วรายงานเขาว่า : “คุณชายใหญ่ คุณผู้หญิงมาค่ะ”

“คุณย่ามาทำอะไร ?”

“ไม่ทราบค่ะคุณผู้หญิงไม่ได้บอกไว้”

หนานกงเฉินปิดเอกสารในมือจากนั้นก็เงยหน้ามองเลขาหลินพลางพูดขึ้นว่า : “เธอไปดูผอ.ฟู่ที่โรงพยาบาลนะ บอกให้เขานอนพักผ่อนที่โรงพยาบาลอีกวันสองวัน ค่าใช้จ่ายฉันจ่ายเอง”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณชายเฉิน” เลขาหลินพยักหน้า

หนานกงเฉินเดินกลับห้องทำงาน เมื่อคุณผู้หญิงเห็นเขาเดินเข้ามาแล้ว จึงถามขึ้นทันควัน : “ย่าได้ยินข่าวว่าเหล่าฟู่เป็นลมและเป็นโรคหลอดเลือดสมองงั้นเหรอ ?”

“ครับคุณย่า ผมให้เซิ่งเคอรับงานต่อจากเขาแล้วครับ” หนานกงเฉินนำเอกสารวางกลับบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าเธอแล้วถามว่า : “คุณย่าทำไมออกมาคนเดียวครับ ?”

ที่ผ่านมาข้างกายของเธอมักจะมีจูจูเดินตามด้วย ครั้นวันนี้กลับไม่เห็นเงาของจูจู

“ย่าออกมาเดินเล่นด้านนอกและถือโอกาสมาพาแกกลับบ้านด้วย”

“คุณย่า……”

“อย่าบอกว่าแกจะต้องทำโอทีนะ และอย่าบอกว่าไม่อยากกลับด้วย วันนี้ย่ามาหาแกถึงที่ แกลองพูดว่า ‘ไม่’ ดูสิ”

หนานกงเฉินเอือมละอา ทำได้เพียงหันหลังไปมอบหมายงานที่เหลือให้กับเลขาหลิน

--

ตั้งแต่ที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ไปทำงาน เธอก็จะไปรับหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลคนเดียวจากนั้นก็จะพาหว่านชิงไปรับเฉียวเฟิงที่ร้านอาหาร โดยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เรื่อยมา

วันนี้ก็เป็นดั่งทุกวัน เธออยู่เป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงฝึกซ้อมเป็นพิธีกรตัวน้อยในห้องเรียนเป็นเวลา 20 นาทีก่อนแล้วค่อยออกจากโรงเรียนอนุบาล

ตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้อยู่บริเวณริมขอบของพื้นที่แห่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนและเด็ก ๆ กลับบ้านจนเกลี้ยงแล้ว บริเวณรอบ ๆ ก็จะเริ่มเงียบสงัดลง ไป๋มู่ชิงจูงมือเสียวหว่านชิงพร้อมท่องบทพิธีกรที่คุณครูเพิ่งสอนเมื่อสักครู่ไปด้วย และเดินไปทางประตูทางเข้าไปด้วย

ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางถามขึ้นว่า : “หว่านชิงชอบเป็นพิธีกรไหมคะ ?”

“ชอบสิคะ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า : “ครูฟางบอกว่าหนูพูดเก่งมากเลยค่ะ”

“แม่ก็คิดว่าหนูพูดเก่งมากเหมือนกันจ้ะ !”

รถจอดอยู่ ณ มุมทางเลี้ยวประตูข้างของโรงเรียนอนุบาล สองแม่ลูกเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ตัวรถ ไป๋มู่ชิงควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดประตูรถ ทันใดนั้นเองด้านข้างก็มีเสียงกรีดร้องของเสียวหว่านชิงดังขึ้นมา : “คุณแม่ขา--!”

เธอหันควับไปโดยสันชาตญาณทันที และเห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังอุ้มเสียวหว่านชิงยัดเข้าไปในรถตู้คันหนึ่ง เธอตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ต่อมาก็เรียกสติกลับคืนเร็วไวแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปทันที : “พวกแกจะทำอะไรน่ะ ? หว่านชิง ! รีบคืนหว่านชิงมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ……!”

เธอพุ่งเข้าไปหมายจะแย่งลูกสาวคืนมา ครั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มอย่างโหดเหี้ยมว่า : “คุณชื่อคุณหนูอีใช่ไหม ? รบกวนขึ้นรถมาอย่างว่าง่ายหน่อยนะ” ระหว่างที่พูดอยู่นั้น สองแขนของเธอถูกชายผู้นั้นจับไว้แน่น จากนั้นก็ถูกผลักเข้ารถไปพร้อมกับเสียวหว่านชิง

ผู้ชายสองคนตามขึ้นรถไป จากนั้นรถก็สตาร์ทแล้วออกตัวอย่างรวดเร็ว

ไป๋มู่ชิงเสียขวัญเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์นี้ เธอดิ้นขัดขืนไปพร้อมกรีดร้องไป : “พวกแกจะทำอะไร ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ !”

“ทำอะไรน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าจะเอาชีวิตคุณยังไงล่ะ !” ชายผู้นั้นหัวเราะหึหึ พร้อมกล่าวว่า : “คุณหนูอี ถ้าคุณไม่เชื่อฟังฉันจะฆ่าลูกสาวของคุณเดี๋ยวนี้”

“แกลองดูสิ……!” ไป๋มู่ชิงตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าพวกเขาอาจเป็นคนที่หนานกงเฉินส่งมา ทว่าเมื่อมองดูจากตอนนี้แล้วไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เนื่องจากหนานกงเฉินไม่มีทางที่จะรุนแรงกับเธอเช่นนี้ และไม่มีทางทำร้ายเธอกับหว่านชิงด้วย !

ชายผู้นั้นไม่สนใจการดิ้นรนขัดขืนของเธอ เขาใช้เชือกมัดสองขาของเธอเอาไว้ด้วยความเร็ว

“คุณแม่……” หว่านชิงตื่นตระหนกตกใจจนปล่อยโฮออกมา จากนั้นชายผู้นั้นก็รีบใช้เทปปิดปากเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ทันที

ไป๋มู่ชิงตบมือของชายผู้นั้นออก จากนั้นก็โผเข้ากอดเสียวหว่านชิงที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ พลางลูบเส้นผมของเธอแล้วกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า : “ลูกรักไม่ต้องกลัวนะ ยังจำที่คุณครูสอนได้ไหมคะ ? ถ้าเจอคนร้ายจะต้องใจเย็น ๆ ต้องคิดว่าวิธีหนีออกมาถูกต้องไหมคะ ?”

ความจริงแล้วเธอก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถที่จะใจเย็นได้เลย เธอบังคับให้ตนเองสงบจิตสงบใจ จากนั้นก็กดเสียงเบาพูดว่า : “อีกสักครู่แม่จะผลักหนูลงรถไป หนูจะต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลยนะคะ ไม่ต้องสนใจแม่ จากนั้นก็ไปหาคุณลุงตำรวจให้มาช่วยคุณแม่ โอเคไหมคะ”

“หยุดพูดนะ !” ชายผู้นั้นใช้เทปอีกอันปิดปากของไป๋มู่ชิงเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด : “ยื่นมือออกมาเดี๋ยวนี้ !”

ไป๋มู่ชิงฉวยโอกาศตอนที่เขาไม่ทันระวังควักสเปรย์พริกไทยออกมาจากกระเป๋าโดยเร็ว จากนั้นก็ฉีดพ่อใส่ตาของชายสองคนนั้นรัว ๆ

“อ๊าก --!” เสียงครวญครางอันเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในรถ

“นังตัวดี ! กล้าเอาคืนพวกเรางั้นเหรอ ?” ชายผู้หนึ่งกระชากผมของไป๋มู่ชิงแน่นจากนั้นก็เขกเข้ากับประตู

ไป๋มู่ชิงเจ็บจนร้องครวญครางออกมา ครั้นในเวลานี้เธอไม่มีเวลามาสนใจบาดแผลของตนแล้ว เธอรวบรวมสติแล้วลากประตูเปิดออก จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่รถชะลอความเร็วผลักเสียวหว่านชิงลงไปทันทีอย่างรวดเร็ว

เสียวหว่านชิงล้มเกลือกกลิ้งอยู่ข้างถนน

เมื่อชายสองคนนั้นเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังจะหนีไป จึงกระชากแขนของเธอกลับคืนมาทันที : “อย่าหนีนะ……!” จากนั้นก็ปิดประตูรถอย่างเร็วไว

“ฮือ……ฮือ……!” ไป๋มู่ชิงมองเสียวหว่านชิงที่ล้มคะมำอยู่ข้างทางผ่านหน้าต่าง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นไฟแดงจึงทำให้รถขับไม่เร็วนัก ทว่าเด็กยังคงตกใจกับการกระทำของตนเองอยู่ดี เธอไม่รู้ว่าเสียวหว่านชิงเป็นอย่างไรบ้าง เธอเป็นห่วงว่าเธอจะล้มจนได้รับบาดเจ็บ น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ

“นั่งตัวดี ถ้ายังกล้าคิดหนีอีกฉันเอาแกตายแน่ !” ชายผู้นั้นพูดขู่เธอไปพร้อมใช้เชือกมัดสองขาของไป๋มู่ชิงเอาไว้

ไป๋มู่ชิงขัดขืนไปพร้อมร้องไห้โฮออกมา ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้ามารุมเร้าเธอ……

เธอไม่ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงจับตัวเธอมา แถมยังกระทำกับเธอและเสียวหว่านชิงอย่างรุนแรงเช่นนี้

“เอายังไง ? จะกลับไปจับเด็กนั่นกลับมาไหม ?” คนขับรถที่อยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้นด้วยความร้อนรนใจ

“ตรงนี้ย้อนศรไม่ได้ อีกอย่างถ้าเจอกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นขึ้นมาพวกเราไม่จบเห่กันพอดีเหรอ ? นายรีบโทรบอกให้เหล่าเจิ้นไปจับเด็กคนนั้นกลับมาเร็วเข้า” ชายผู้หนึ่งใช้น้ำแร่ชำระล้างดวงตาของตนเอง พร้อมทั้งพูดสบถด้วยความโมโหจัด : “บัดซบเอ๊ย แสบชะมัด”

เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินว่าพวกเขาจะโทรบอกให้ผู้อื่นไปจับหว่านชิง จึงร้องสะอึกสะอื้นขึ้นมาอย่างร้อนรนใจ

“ร้องอะไร หุบปากเดี๋ยวนี้ !” ชายผู้ที่ถูกเธอพ่นสเปรย์พริกไทยใส่ตบไปยังใบหน้าของเธอด้วยความโมโห

--

คุณผู้หญิงกวาดสายตามองเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน จากนั้นก็ถามขึ้นมาทันที : “เฉินทำไมมาเส้นทางนี้ล่ะ ?”

อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนได้ขับรถอ้อมเป็นระยะทางไกลพอสมควร จึงได้ตอบว่า : “ชินแล้วครับ”

ถนนเส้นนี้มุ่งตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า จากโรงเรียนอนุบาลกลับบ้านตระกูลหนานกงจะต้องอ้อมเป็นระยะทางราว ๆ สี่ถึงห้ากิโลเมตร ทว่าเขายังคงขับรถอ้อมมาทางนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นกลับคฤหาสน์หลังเก่าหรือกลับคอนโด

เวลานี้โรงเรียนอนุบาลเลิกเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียวหว่านชิงก็น่าจะกลับบ้านไปตั้งนานแล้วเช่นกัน ทว่าเขายังคงขับรถมาเส้นทางนี้ด้วยสันชาตญาณตนเองเช่นเคย

“เอ๊ะ ด้านหน้าใช่มีคนลักพาตัวเด็กหรือเปล่านั่น ?” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็พูดขึ้นมา

“ดูเหมือนจะใช่เลยนะคะ” พี่เหอกล่าว

หนานกงเฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองเห็นชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเด็กผู้หญิงอยู่ อีกทั้งเงาหลังของเด็กผู้นั้นยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา

“หว่านชิง ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นมาเสียงเบา จากนั้นก็เหยียบคันเร่งบึ่งรถไปหยุดอยู่ข้างทางเบื้องหน้าที่เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งอยู่

“เฉิน จะทำอะไรน่ะ ?” คุณผู้หญิงรับรู้ได้ว่าหนานกงเฉินกำลังจะลงรถ จึงพูดขึ้นทันควัน : “ย่าพูดไปงั้นแหละ กลางวันแสก ๆ แบบนี้จะมีคนลักพาตัวเด็กได้ยังไงกัน ? พวกเขาอาจจะเป็นพ่อลูกกันก็ได้ ไม่ต้องสนใจหรอก……”

คุณผู้หญิงยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินก็ได้ผลักประตูรถแล้วพุ่งออกไปเสียแล้ว

“เฉิน ระวังตัวด้วยนะ……” เธอตะโกนตามหลังหนานกงเฉินไป จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับพี่เหอว่า : “เร็วเข้า รีบโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”

“ค่ะ ได้เลยค่ะ” พี่เหอรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วโทรหาตำรวจด้วยความตื่นตระหนก

เสียวหว่านชิงวิ่งอยู่บนทางเดินพร้อมร้องไห้โฮไปด้วยตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย ชายแปลกหน้าผู้ที่อยู่ด้านหลังจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า : “นังหนู ! ถ้ายังวิ่งอีกกลับบ้านไปฉันจะตีขาให้ขาดเลยคอยดู หยุดเดี๋ยวนี้นะ……หยุดได้ยินหรือเปล่า ? !”

คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็คิดว่าคุณพ่อกำลังสั่งสอนลูกสาวอยู่ พวกเขาชายตามองครั้นไม่มีใครมาสนใจ

ถึงอย่างไรเสียวหว่านชิงก็ตัวเล็กกว่า วิ่งอย่างไรก็ไม่ทันเขา ไม่ทันได้วิ่งนานก็ถูกเขาจับได้เสียแล้ว จากนั้นก็มีรถตู้คันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนมาจอดข้าง ๆ ทั้งสองคน

“ปล่อยนะ ! พวกคนเลว --!” เสียวหว่านชิงดิ้นไปมาเพื่อขัดขืน พร้อมทั้งร้องไห้โฮ

“เด็กดี เลิกโวยวายได้แล้ว พรุ่งนี้พ่อจะพาหนูไปโอเชี่ยนปาร์ค” ชายผู้นั้นกำลังจะอุ้มเสียวหว่านชิงขึ้นรถ ทันใดนั้นก็ถูกชกเข้าหน้าอย่างจังด้วยความรุนแรง

เขาถูกชกหน้าจนมึนหัวไปชั่วขณะ เมื่อกระพริบตาดู จึงมองเห็นหนานกงเฉินและเห็นมืออันว่างเปล่าของตนเอง จึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า : “แกเป็นใครฮะ ? ฉันสั่งสอนลูกสาวแกจะมายุ่งทำไม ? เฮ้ --!”

หนานกงเฉินชกหน้าเขาไปอีกหนึ่งหมัดอย่างแรง

“แก……”

“เธอยังเป็นลูกสาวแกอยู่ไหม ?” หนานกงเฉินชกเข้าไปอีกหมัด คราวนี้ฝ่ายนั้นมีการเตรียมตัว จึงหลบทัน

“ลุงเฉิน……” เมื่อเสียวหว่านชิงมองเห็นหนานกงเฉิน จึงร้องไห้ขึ้นเสียงดังกว่าเดิม

ชายแปลกหน้าผู้นั้นเมื่อได้ยินว่าเสียวหว่านชิงรู้จักกับหนานกงเฉิน จึงทราบว่าตนเกิดปัญหาใหญ่แล้วดังนั้นเขาจึงหันหลังพุ่งไปยังรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ

เดิมทีหนานกงเฉินอยากอยู่ปลอบใจเสียวหว่านชิงเสียก่อน ครั้นเมื่อเห็นเขากำลังจะหนีไป จึงคว้าขอเสื้อด้านหลังของเขาไว้แล้วเตะขาเขาล้มลงบนพื้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “แกลองขยับอีกสิ !”

“ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมจำคนผิดไป ขอโทษครับ……ผมผิดไปแล้ว……” ชายแปลกหน้ากล่าวขอโทษกับเขาไป พลางขยับถอยไปข้างหลังทีละนิด หมายจะวิ่งหนีขึ้นรถตู้เอาตัวรอด

หนานกงเฉินไม่มีทางเชื่อว่าเขาจำคนผิด จึงเตะขาเขาล้มลงบนพื้นอีกครั้ง

จากนั้นก็มีเสียงไซเรนของรถตำรวจดังเข้ามาจากไกล ๆ เมื่อคนขับรถตู้ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจแล้ว จึงเหยียบคันเร่งอย่างแรงเพื่อหนีเอาตัวรอด

และเมื่อผู้ชายที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงไซเรนตำรวจจึงตกใจหน้าตื่นทันที เขากล่าวขอโทษยอมรับผิดกับหนานกงเฉินไม่หยุด หนานกงเฉินไม่มีอารมณ์ไปสนใจเขา ครั้นได้นั่งยองยองลงเบื้องหน้าเสียวหว่านชิงจากนั้นก็มองสำรวจร่างกายเธอ เขามองไปยังรอยแผลที่อยู่บนหน้าผากของเธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความสงสารว่า : “หว่านชิง เป็นอะไรเหรอคะ ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว ?”

“คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปแล้วค่ะ……ลุงเฉินคะ……ขอร้องคุณลุงรีบไปช่วยแม่หนูด้วยเถอะนะคะ……” เสียวหว่านชิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าตนเองไป พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

เมื่อได้ยินว่าไป๋มู่ชิงถูกคนร้ายจับตัวไป หนานกงเฉินจึงถามด้วยความตกตะลึงทันที : “หนูว่าอะไรนะ ? คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปงั้นเหรอ ?”

เสียวหว่านชิงร้องไห้พลางพยักหน้าไป : “พวกมันบอกว่าจะฆ่าหนูกับคุณแม่ คุณแม่ผลักหนูลงรถ……แต่ว่าคุณแม่ถูกคนร้ายจับไปแล้วค่ะ”

หนานกงเฉินสมองว่างเปล่าในทันที

ไป๋มู่ชิงถูกจับตัวไปงั้นหรือ ? ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันแน่ ?

“เกิดอะไรขึ้นครับ ?” ตำรวจสองสามนายลงจากรถและเดินเข้ามา พร้อมกวาดสายตามองทุกคน

“คุณลุงตำรวจคะ เขาคือคนเลวค่ะ……” เสียวหว่านชิงร้องไห้ไปพูดไป : “พวกมันจับแม่หนูไป……พวกลุงรีบจับเขาเร็วค่ะ……”

“ผม……ผมเปล่านะครับ คุณตำรวจพวกคุณอย่าฟังคำพูดซี้ซั้วของเธอนะครับ” ชายคนแปลกหน้ารีบกล่าวด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อตำรวจเห็นเขาครั้งแรกก็ทราบทันทีว่าเขาดูเหมือนไม่ใช่คนดี จึงเดินหน้าไปล็อกแขนของเขาเอาไว้

หนานกงเฉินโทรหาเสี่ยวหลิน พลางอุ้มเสียวหว่านชิงกลับขึ้นรถตัวเองไป จากนั้นก็ยกเธอให้คุณผู้หญิงพร้อมพูดว่า : “คุณย่าครับ นี่คือลูกของเพื่อนผม รบกวนคุณย่าช่วยผมพาเธอกลับบ้านไปดูแลสักครู่ทีนะครับ ผมยังมีธุระต้องไปจัดการอีก”

หลังจากที่เขาพูดจบจึงได้กล่าวกับเสียวหว่านชิง : “หว่านชิง หนูกลับไปจัดการแผลกับคุณย่าท่านนี้ก่อนนะครับ ลุงเฉินจะช่วยตามหาแม่ของหนูกลับคืนมาเอง เชื่อฟังเข้าใจไหมครับ ?”

“ลุงเฉินจะช่วยแม่หนูกลับคืนมาจริง ๆ เหรอคะ ?”

“แน่นอนครับ” หนานกงเฉินกล่าวจบก็ปิดประตูรถทันที

“นี่ !” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็เรียกหยุดเขาไว้จากนั้นก็ก้มหน้ามองเสียวหว่านชิง : “เฉินแกโยนเด็กดื้อนี่มาให้ฉันนี่มันอะไรกันเนี่ย ? ฉัน……”

“คุณย่า หว่านชิงไม่ดื้อเลยครับ ขอร้องด้วยนะครับ” หนานกงเฉินพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสียวหว่านชิง จากนั้นก็ปิดประตูรถแล้วเดินจากไป

หนานกงเฉินขึ้นรถตำรวจไปโรงพักพร้อมกัน เขาไม่มีความอดทนอย่างเช่นตำรวจที่สอบสวนชายผู้นั้นอย่างอดทน เมื่อขึ้นรถแล้วเขาได้พุ่งเข้าไปกระชากเสื้อของชายผู้นั้นเอาไว้แล้วพูดด้วยความเกรี้ยวกราด : “บอกมา ! ใครมันเป็นคนส่งแกมากันแน่ ? แกพาคุณหนูอีไปไหนแล้ว ?”

“ผม……ผมไม่รู้……” ชายแปลกหน้าผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ : “ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“แกจะไม่รู้ได้ยังไง ?” หนานกงเฉินง้างมือขึ้นหมายจะชกเขาอีก ครั้นถูกคุณตำรวจห้ามปรามไว้

“คุณชายเฉินอย่าเพิ่งใจร้อนไป” คุณตำรวจดึงหนานกงเฉินเอาไว้ จากนั้นก็หันหน้าไปหาชายแปลกหน้าผู้นั้น : “ถ้างั้นตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ที่ไหน ? ทะเบียนรถ เบอร์โทร รีบบอกมาซะ คุณน่าจะเข้าใจดีว่าแค่สารภาพความจริงมาถึงจะสามารถผ่อนผันกันได้”

ชายแปลกหน้าผู้นั้นบอกหมายเลขโทรศัพท์กับตำรวจด้วยตัวอันสั่นเทา คุณตำรวจจึงทดลองจับตำแหน่งที่ตั้งดูแต่กลับไม่มีสัญญาณ น่าจะเนื่องจากปิดเครื่องไปแล้ว

เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าคนที่จับได้ผู้นี้ไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงขอร้องให้คุณตำรวจอย่าเพิ่งประกาศไปทั่ว ถึงอย่างไรความปลอดภัยของไป๋มู่ชิงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาจูจู

ในเวลานี้จูจูที่อยู่คฤหาสน์หลังเก่ากำลังกระวนกระวายอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์บนโซฟาขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหนานกงเฉิน จึงรู้สึกกังวลใจ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วกดปุ่มรับสาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด