เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 211

คุณตำรวจกลัวว่าเมื่อผู้ร้ายตื่นตระหนกแล้วจะขุ่นเคืองจนโมโหขึ้นมาจากนั้นก็ทำร้ายตัวประกันจนถึงแก่ชีวิต ภายใต้คำขอร้องของหนานกงเฉินจึงเปลี่ยนชุดเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ

สถานที่ที่เฉียวเฟิงส่งให้เขาคือภายในหมู่บ้านชานเมืองทางตะวันตกของเมืองซี อีกทั้งพวกเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มาตลอด

ทางนั้นจะต้องเป็นโรงงานเป็นแน่ หมู่บ้านชานเมืองส่วนมากจะเป็นบ้านพักส่วนตัวที่มีความสูงสามสี่ชั้น ผู้ที่พักอาศัยอยู่ล้วนเป็นผู้ใช้แรงงานที่ทำงานอยู่ภายในโรงงาน

และเวลานี้ ไป๋มู่ชิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการสลบ เธอขยับร่างกายและรู้สึกว่าตัวเองยังคงถูกมัดเอาไว้เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าหากต้องการหลบหนีคงเป็นเรื่องที่ยากมาก

เธอจำได้ว่าขณะที่เธอกำลังโวยวายอยู่ภายในรถตู้นั้น ฝ่ายคนร้ายได้วางยาสลบให้เธอเป็นลมไป เวลานี้บริเวณรอบ ๆ มืดมิดไปหมด ดูเหมือนว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว ทันใดนั้นเองเธอก็คิดถึงหว่านชิงขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้ลูกเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกพวกพ้องของพวกมันจับตัวไปหรือไม่

“ฟื้นแล้วเหรอ ?” อยู่ ๆ ข้างลำตัวเธอก็มีเสียงคนแปลกหน้าดังขึ้นมา

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าเรียวเล็กของตนขึ้นมา เมื่อมองเห็นผู้ชายแปลกหน้าที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำเบื้องหน้า จึงรีบสอบถามทันทีอย่างกระวนกระวายใจ : “ลูกสาวฉันล่ะ ? พวกแกทำอะไรกับเธอ ?”

“แกยังมีหน้ามาถามเรื่องลูกสาวอีกเหรอ ?” ชายผู้นั้นง้างมือขึ้นมาตบลงใบหน้าของเธอ : “ถ้าไม่เป็นเพราะแก ตอนนี้พวกเราจะถูกตำรวจประกาศจับเหรอ ? และตาของฉัน เกือบจะบอดไปแล้ว !”

ไป๋มูชิ่งถูกเขาตบหน้าจนร้องตกใจขึ้นมา บริเวณแก้มของเธอได้บวมแดงขึ้นตั้งนานแล้ว

ทว่าเธอยังคงกล่าวขอร้องขึ้นมาโดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย : “พวกนายจะตีหรือฆ่าฉันก็ได้ แต่ลูกสาวของฉันยังเด็กอยู่ เธอไม่รู้อะไรเลย ขอร้องพวกนายอย่าทำร้ายเธอเลยนะ ขอร้องละ……”

“แกมาขอร้องฉันมันจะไปมีประโยชน์อะไร ? ฉันเป็นแค่คนที่รับเงินมาแล้วทำตามเท่านั้น !”

“นายรับเงินใครมาทำร้ายฉันกันแน่ ? ฉันไม่เคยไปมีเรื่องกับใครเลยนะ ? ทำไมต้องทำอย่างนี้กับฉันด้วย ?”

“ตอนที่เธอแย่งสามีคนอื่น ทำไมถึงไม่คิดผลที่จะตามมาบ้าง ?” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปกับคำพูดของเขา จากนั้นจึงส่ายหน้าทันควัน : “ฉันเปล่านะ ! ฉันไม่เคยแย่งสามีของใครเลย……ฉันมีสามีแล้วฉันจะไปแย่งสามีคนอื่นมาได้ยังไงกัน……”

และทันใดนั้นเองเธอก็นึกถึงคำเตือนที่จูจูพูดกับตนในตอนนั้นพร้อมทั้งใบหน้าที่เคร่งขรึมน่ากลัวอย่างยิ่งของเธอด้วย และในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนี้ตนถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ! ผู้หญิงคนนั้นชั่วร้ายจนน่ากลัว ชั่วร้ายจนไม่มีขอบเขต !

เธอรีบใช้มือดึงขากางเกงของชายผู้นั้นเอาไว้ทันที จากนั้นก็กล่าวขอร้อง : “เธอให้นายเท่าไหร่ ? ฉันจะให้นายสองเท่าเลย ขอแค่นายปล่อยพวกเราสองแม่ลูกไป……การที่พวกนายทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ กฎหมายไม่มีทางปล่อยพวกนายไปแน่……”

“ถึงยังไงเจ้าหนี้พวกนั้นก็ไม่ยอมปล่อยฉันไปหรอก ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี ฉันจะกลัวอะไร ?”

“ฉันจะช่วยนายคืนหนี้เอง……”

“หุบปาก คนเจ้าเล่ห์อย่างแกมีแค่ผีเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ !” ชายผู้นั้นสะบัดขาอย่างแรง ทำให้มือของเธอหลุดออกจากขาเขา

“พี่รอง เรารีบจัดการ รีบแยกย้ายกันดีกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าตำรวจตามมาจะยุ่งเอานะ” ชายอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พูดเร่ง

ชายหนุ่มหันหน้าไปหา : “นายโทรไปยืนยันหน่อยว่าให้จัดการยังไงกันแน่ บอกเขาว่าถ้าจะให้จัดการละก็ รีบโอนเงินเข้ามา”

“ครับ” ชายอีกคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง จากนั้นก็รีบโทรหาเบอร์หนึ่งทันที

หลังจากที่ปลายสายรับแล้วเขาก็พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทันทีว่า : “คุณหนูจู เอาเด็กกลับคืนมาไม่ได้ ตอนนี้คุณหนูอีอยู่ในมือของพวกเราแล้ว ขอถามหน่อยว่าจะต้องทำยังไงต่อ ?”

จูจูที่อยู่ปลายสายในเวลานี้กำลังเล่นที่สระว่ายน้ำภายในสวนดอกไม้เป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงอยู่ มือหนึ่งของเธอหยิบโทรศัพท์ อีกมือโอบเสียวหว่านชิงเอาไว้ นิ้วมือลูบไปบนแก้มเล็ก ๆ ของเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นเธอก็ก้มหน้ามองเสียวหว่านชิงที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า : “ฉันจะจัดการเด็กเอง อีกคน……จัดการให้ฉันเดี๋ยวนี้”

“จัดการตอนนี้เลยได้ แต่เงินครึ่งหนึ่งที่คุยกันไว้ล่ะ ?” ชายหนุ่มถาม

“ฉันจะโอนให้เดี๋ยวนี้แหละ” จูจูวางสายโทรศัพท์ จากนั้นก็กดไปมาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์

หลังจากที่เธอโอนเงินเสร็จสรรพ จึงพบว่าเสียวหว่านชิงกำลังเงยหน้ามองตนด้วยสายตาฉงนสงสัย เธอจึงฉีกยิ้มส่งไปให้พร้อมลูบเส้นผมของเธอ : “คุณพ่อบอกว่ารถติดนิดหน่อย อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว พวกเรารออีกหน่อยโอเคไหมคะ”

เสียวหว่านชิงพยักหน้า

--

ไป๋มู่ชิงสามารถได้ยินเสียงพูดของผู้หญิงที่อยู่ปลายสายได้เลือนราง เธอจึงรู้สึกกระส่ายกระสับขึ้นมากกว่าเดิม

ทำอย่างไรดี ? ดูท่าทางพวกเขาแล้วไม่เหมือนกำลังทำให้เธอหวาดกลัวเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการฆ่าแกงกัน ถ้าหากเธอยังไม่คิดหาวิธีหนีเอาตัวรอดออกมา เช่นนั้นวันนี้จะต้องตายแหงแก๋เป็นแน่

เธอถือโอกาสตอนที่พวกนั้นกำลังรอยอดเงินเข้าบัญชี รีบพูดขึ้นมาภายใต้จิตใจอันร้อนรน : “ฉันอยากไปเข้าห้องน้ำ”

เธอไม่มีวิธีอื่นแล้ว ทำได้เพียงถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด

“ห้ามไป” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน

“นี่คือคำขอร้องสุดท้ายก่อนที่ฉันจะตาย พวกแกยังไม่ยอมให้ฉันไปอีกงั้นเหรอ ? พวกแกไม่กลัวฉันตายเป็นผีแล้วตามรังควานเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงพูดขู่ด้วยความโมโหพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

“อย่าคิดเอาเรื่องนี้มาทำให้พี่ตกใจหน่อยเลย ทั้งชีวิตนี้พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเรื่องผีสาง เชื่อแต่ตัวเอง”

ครั้นชายอีกผู้หนึ่งกลับสะดุ้งโหยงพร้อมกล่าวว่า : “ให้เธอไปเถอะ ถึงยังไงเธอก็หนีไม่พ้นหรอก”

ชายหนุ่มทำได้เพียงแกะเชือกที่สองขาของไป๋มู่ชิงออก จากนั้นก็ผลักเธอเข้าห้องน้ำไป

หลังจากไป๋มู่ชิงเข้าห้องน้ำไปแล้วจึงรีบล็อกประตูโดยเร็ว จากนั้นก็พิงประตูแล้วเริ่มกวาดสายตามองทุกมุมในห้องน้ำ

จากนั้นก็มีเสียงกล่าวตักเตือนดังขึ้นมาจากหน้าประตู : “นังตัวดี ฉันขอเตือนเธอไว้นะอย่าเล่นแง่ นอกหน้าต่างคือกำแพงที่เต็มไปด้วยตะปูนะโว้ย ถ้าแกกล้ากระโดดลงไปจะต้องตายอย่างน่าเวทนาสุด ๆ เลยแหละ และก็ถ้าแกกล้าร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ฉันจะข่มขืนแกแล้วฆ่าทิ้งทันที……”

คำขู่อันน่ากลัวเข้ามากระทบใบหูเป็นชุด ๆ ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายจนขีดสุด ครั้นกลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

เธอใช้ฟันกัดเชือกที่มัดแขนเธอเอาไว้อย่างแรง จากนั้นก็ปีนขึ้นขอบหน้าต่างไป ด้านล่างเห็นกำแพงที่มีตะปูตั้งอยู่เต็มไปหมดอย่างที่เขาว่า ถ้าหากกระโดดลงจากตรงนี้ไม่เพียงแต่อาจถูกตะปูทิ่มแทงจนพรุนเป็นรังผึ้ง และอาจจะหล่นลงบนพื้นปูนซีเมนต์ตายก็เป็นได้

เธอปิดปากเอาไว้ กระวนกระวายใจจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

จากนั้นก็มีเสียงผู้ชายดังเข้ามาจากหน้าประตู : “พี่รอง เงินเข้าแล้วครับ พวกเรารีบจัดการรีบหนีเอาตัวรอดกันเถอะ”

“รอมันออกมาก็จัดการได้เลย” อีกเสียงหนึ่งกล่าว

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไป๋มู่ชิงจึงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม เธอคิดว่าตกลงไปตายยังดีเสียกว่าให้พวกมันฆ่าตาย คิดได้ดังนั้นเธอใช้สองมือเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก

หน้าต่างห้องน้ำเล็กมาก ลำตัวครึ่งท่อนของเธอสามารถฝืนยัดเข้าไปได้ ทันใดนั้นเองเธอมองเห็นด้านล่างมีเงาคนวิ่งกรูเข้ามาอยู่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือหนานกงเฉิน เมื่อเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยแล้วเธอจึงรู้สึกราวกับเห็นความหวัง น้ำตาจึงไหลรินลงมาทันที

หนานกงเฉินที่อยู่ด้านล่างมองเห็นเธอแล้วเช่นกัน และเมื่อเขาเห็นว่าเธออาจจะกระโดดลงมา จึงรีบโบกไม้โบกมือให้เธอด้วยความกระวนกระวาย : “มู่ชิงรีบกลับไป……อย่ากระโดดเด็ดขาด……”

ไป๋มู่ชิงใช้มือปิดปากไว้พร้อมร้องไห้โฮ เธอไม่กล้าทำเสียงดัง ทำได้เพียงร้องไห้โดยไม่มีเสียง และขอความช่วยเหลือโดยไม่มีเสียง

“อย่ากลัว ผมจะต้องช่วยคุณมาให้ได้……เชื่อผมนะ……” หนานกงเฉินพูดจบแล้วก็วิ่งพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่ของตึกเล็ก ๆ ด้วยความเร็ว จากนั้นเขาก็กระชากประตูใหญ่ออก พบว่าประตูถูกล็อกเอาไว้แน่น เขาซึ่งขณะนี้กำลังร้อนรนใจอยู่นั้นจึงออกมาข้างนอกใหม่ พร้อมกวาดสายตามองรอบ ๆ สุดท้ายก็เลือกที่จะปีนกำแพงของบ้านข้าง ๆ ขึ้นไป

“คุณชายเฉิน อันตราย……” ผู้ที่มาพร้อมกันพูดห้ามปรามเขา

หนานกงเฉินไม่สามารถสนใจเรื่องอื่นได้ เขาคิดเพียงว่าต้องปีนขึ้นด้านบนตึกให้เร็วที่สุด จากนั้นก็เข้าไปช่วยเหลือไป๋มู่ชิงกลับคืนมาในขณะที่คนร้ายยังไม่รู้ตัว ไม่อย่างนั้นถ้าพวกมันรู้ตัว ไป๋มู่ชิงต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

ผู้ชายที่รับผิดชอบเฝ้าทางเห็นด้านล่างมีคนอยู่มากมาย จึงรีบวิ่งกลับเข้าห้องพร้อมพูดกับชายทั้งสองคนว่า : “แย่แล้ว ด้านล่างมีคนมาเพียบเลย”

“นายว่าอะไรนะ ?” ชายทั้งสองคนวิ่งมายังระเบียงจากนั้นก็ก้มมองด้านล่าง และเห็นมีคนมากมายอยู่ด้านล่างจริง ๆ

พวกเขาอึ้งไป จากนั้นหนึ่งในนั้นก็รีบสาวเท้ามุ่งมายังห้องน้ำพร้อมพูดว่า : “รีบฆ่ามันซะแล้ววิ่งหนีไปจากชั้นบน”

เขาถีบประตูไม้ของห้องน้ำออกด้วยเท้าเดียว จากนั้นก็กระชากไป๋มู่ชิงลงมาจากขอบหน้าต่าง ในมือถือมีดหั่นผลไม้ที่เอาออกมาจากกระเป๋ากางเกงไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นมีดที่อยู่ในมือเขาจึงตกใจจนขวัญเสียทันที เธอกรีดร้องจากนั้นก็เดินถอยหลังไป

“พี่รอง ถ้าฆ่าเธอแล้วพวกเรายังหนีไปได้อยู่อีกไหม ? พวกเราพาเธอไปเป็นตัวประกันที่ด้านบนก่อน” ชายอีกผู้หนึ่งกล่าว

ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายลงคอจากนั้นก็รีบพูดขึ้นมา : “พวกนายอย่าทำนะ……ฆ่าคนต้องถูกประหารชีวิตนะ……ถ้าตอนนี้พวกนายล้มเลิกอย่างมากก็แค่เข้าคุก……”

“หุบปากเดี๋ยวนี้……!” ชายหนุ่มง้างมือขึ้นหมายจะตบเธอ

ไป๋มู่ชิงจึงใช้สองมือกุมใบหน้าของตนเอาไว้ทันที

ชายหนุ่มไม่ได้ตบเธอ ครั้นคว้าเธอพร้อมกระชากเธอออกจากห้องน้ำมา จากนั้นก็เดินมุ่งไปชั้นบน พร้อมพูดกำชับพวกพ้องว่า : “รีบไปเร็ว ขึ้นไปชั้นบนสุด”

อาณาบริเวณนี้ไม่มีผู้ใดคุ้นเคยมากกว่าพวกเขาอีกแล้ว จากชั้นบนนั้นเป็นเส้นทางดีในการหนีเอาตัวรอดโดยแท้จริง พวกเขาพาไป๋มู่ชิงมายังชั้นบนสุดของตึก ขณะที่กำลังจะกระโดดลงไปจากตึกเพื่อนบ้านนั้น อยู่ ๆ เบื้องหน้าก็มีเงาร่างคนปรากฏขึ้นมา

เท้าของพวกเขาหยุดชะงักลง พร้อมทั้งมองหนานกงเฉินที่กระโดดข้ามมาจากบนตึกที่อยู่ข้าง ๆ อย่างระมัดระวัง

“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงตะโกนออกมาเสียงเบา จากนั้นน้ำตาก็ไหลรินลงด้วยความอัดอั้นตันใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด