เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 217

จูจูค้นหาบัตรประจำตัวของตนภายในสนามบินแล้วหนึ่งรอบก็ไม่เจอเสียที เธอกระส่ายกระสับเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

เวลาต่อมาเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศปิดประตูเครื่องบินดังเข้ามา เธอร้อนรนใจจนน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา ในที่สุดเธอก็ล้มเลิกการค้นหา เนื่องจากหาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ทั้งที่สามารถหนีออกจากเมืองซีได้แล้วแท้ ๆ ครั้นกลับเกิดความผิดพลาดขึ้นในด่านสุดท้าย อีกทั้งยังเป็นความผิดพลาดระดับต่ำมากอีกด้วย เธอโมโหจนอยากจะตบหน้าตัวเองสองครั้ง ครั้นสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เธอยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลรินอยู่บนหน้า จากนั้นก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

ขณะที่เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ในสนามบินราวครึ่งชั่วโมงแล้ว ทันใดนั้นเองทางประตูใหญ่ก็มีเงาคนสองคนที่คุ้นเคยวิ่งอย่างรวดเร็วเข้ามา เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลหนานกง

เหตุใดพวกเขาจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ ? หรือพวกเขาทราบแล้วว่าเธอกำลังหลบหนีไป ?

จูจูยืนขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็กลับหลังหันเตรียมเดินหนี

ครั้นยังไม่ทันได้หนีได้ เบื้องหลังของเธอก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา : “นายหญิงน้อยโปรดรอสักครู่”

บอดี้การ์ดทั้งสองคนสาวเท้าเข้ามายืนขวางหน้าเธอเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม : “คุณชายใหญ่บอกให้คุณกลับบ้านเดี๋ยวนี้ครับ”

“คุณชายใหญ่เหรอ ?” จูจูถามด้วยความตะลึง

“ใช่ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าให้คุณกลับบ้านภายใน 30 นาที”

จูจูอ้าปากขึ้นจากนั้นก็กล่าวว่า : “ฉัน……ฉันก็แค่มารับเพื่อนเท่านั้นแหละ รับเพื่อนเสร็จก็จะกลับไปทันที”

บอดี้การ์ดพยักหน้า : “เดี๋ยวผมโทรถามคุณชายใหญ่ก่อน” เมื่อพูดจบก็หันหลังไปโทรศัพท์

อีกไม่นานบอดี้การ์ดก็เดินกลับมา พร้อมพูดขึ้นว่า : “นายหญิงน้อย คุณชายใหญ่บอกว่าให้คุณคิดเอาเอง”

“ฉันรู้แล้ว” จูจูพูดตอบรับด้วยความเหม่อลอย จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังประตูใหญ่ของสนามบิน

สุดท้ายจูจูยังคงตามบอดี้การ์ดกลับคฤหาสน์หลังเก่าไป เมื่อเธอเดินเข้าในตัวบ้านก็เจอกับฝ่ามือของคุณผู้หญิงที่ตบเข้ามาทันที

เธองุนงนไปสักครู่ จากนั้นก็จ้องหน้าคุณผู้หญิงที่ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยบันดาลโทสะ

“เธอคิดว่าบ้านตระกูลหนานกงของฉันจะมาก็มา จะไปก็ไปงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงมองหน้าเธอด้วยความเกรี้ยวกราด : “เธอคิดจะทำอะไร ? พูดมา !”

“คุณย่าคะ หนูก็แค่จะไปรับเพื่อนที่สนามบินค่ะ หนูผิดอะไรคะ ?” จูจูเอามือขึ้นอังใบหน้าที่ถูกคุณผู้หญิงตบเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็จ้องหน้าเธอด้วยนัยน์ตาที่เอ่อด้วยน้ำตา

เธอไม่สามารถให้คุณผู้หญิงทราบได้ว่าเธอทราบความจริงเรื่องคู่ครองฟ้าลิขิตแล้ว ไม่อย่างนั้นหากครั้งหน้าเธออยากหนีไปก็คงเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม

“เธอยังกล้าโกหกอีกงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงพูดพลางตบเข้าไปที่แก้มของเธออีกครั้ง พี่เหอรีบเข้ามาจับคุณผู้หญิงไว้แล้วพูดปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงคะใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหจนทำให้ร่างกายย่ำแย่เลยค่ะ”

พี่เหอพูดจบก็หันหน้าไปหาจูจู : “นายหญิงน้อย คุณอย่าโกหกคุณผู้หญิงเลยค่ะ ที่คุณไปก็เพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินไม่ใช่ไปรับเพื่อน”

“ฉัน……” จูจูพูดไม่ออก เธอกระพริบตา จากนั้นน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็ไหลรินลงมา : “ถ้าฉันไม่ไปแล้วจะอยู่ที่นี่ทำไม ? คุณชายใหญ่ทำอย่างนั้นกับฉัน ทำร้ายฉันจนระบมไปหมดทั้งตัวเพื่อผู้หญิงคนเดียว ฉันไปเยี่ยมคุณหนูอีที่โรงพยาบาลด้วยความหวังดี เขายังด่าฉันหยิกฉันต่อหน้าคนนอก คุณย่าคะฉันเหนื่อยแล้วนะคะ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่ต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้อีกแล้ว ฉันขอถอนตัวยังไม่ได้เหรอคะ ?”

“ถอนตัว ? เธอมีสิทธิ์อะไรมาคุยเรื่องถอนตัว ?” คุณผู้หญิงชายตามองเธอ : “สองปีกว่าก่อนหน้านี้เธอเป็นคนมาหาฉันเอง บอกว่าต้องการแต่งงานกับเฉิน แต่ตอนนี้ดันมาบอกว่าอยากถอยออกมา ? เธอเห็นคุณชายใหญ่บ้านนี้เป็นอะไร ? เป็นคนที่เธออยากได้ก็ได้ ไม่อยากได้ก็ไม่เอาอย่างนั้นเหรอ ?”

“คุณชายใหญ่ต่างหากที่ไม่ต้องการฉัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการเขา”

“เฉินได้คุยเรื่องหย่ากับเธอไหม ?”

“แต่ว่าในใจของเขาเอาแต่อาลัยอาวรณ์ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกคนนั้นนี่คะ”

“ตอนที่เธอแต่งงานกับเขาในปีนั้นเธอไม่รู้เหรอว่าในใจของเขายังมีคนอื่นอยู่ ? เธอยังบอกฉันด้วยความมั่นใจอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าเธอมีความสามารถทำให้เฉินตกหลุมรักเธออีกครั้ง ? ที่เธอมาพูดแบบนี้ตอนนี้มันสายเกินไปหรือเปล่า ?” คุณผู้หญิงสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็กัดฟันพูดข่มขู่ : “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธออยู่บ้านอย่างว่านอนสอนง่ายซะดี ๆ ห้ามไปไหนทั้งนั้น !”

จูจูมองเธอด้วยความตกตะลึง คุณผู้หญิงจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์หลังเก่าหรือ ? จะเป็นไปได้อย่างไร ? เช่นนั้นจากนี้ไปเธอมีเพียงตายสถานเดียวไม่ใช่หรือ ?

คุณผู้หญิงไม่ได้สนใจเธอ ครั้นกลับหลังหันเดินกลับเข้าตัวบ้านไป

จูจูยืนเหม่อลอยอยู่ภายนอกเป็นเวลานาน จากนั้นค่อยเดินมุ่งขึ้นไปชั้นบน

เมื่อเธอกลับถึงห้องนอน เสี่ยวหยวนก็เคาะประตูแล้วเข้ามายื่นซองจดหมายหนึ่งฉบับให้เธอ : “นายหญิงน้อย นี่คือของที่ห้องรักษาความปลอดภัยวานฉันเอามาให้คุณค่ะ”

จูจูรับจดหมายซองนั้นมาจากนั้นก็เปิดออก เมื่อเธอมองเห็นด้านในมีบัตรประจำตัวที่เธอฉีกขาดไป ก็ต้องตกตะลึงทันที จากนั้นเธอก็เทเศษกระดาษที่อยู่ด้านในออกมาจนหมด

เกิดอันใดขึ้น ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?เหตุใดบัตรประจำตัวของเธอจึงกลายเป็นสภาพนี้ ?

“ใครส่งมา ?” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าเสี่ยวหยวน

“บอดี้การ์ดบอกว่ามีคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักวานให้เขารับมาค่ะ” เสี่ยวหยวนกล่าว

“ใครกันที่มันทำอย่างนี้ !” เธอกรีดร้องขึ้น จากนั้นก็โยนเศษกระดาษที่อยู่ในมือทิ้งบนพื้น โมโหจนเนื้อตัวสั่นเทา

เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าบัตรประจำตัวของเธอที่หายไปอย่างลึกลับจะถูกผู้อื่นคืนกลับมาด้วยวิธีเช่นนี้ อีกทั้งยังถูกฉีกเป็นเสี่ยง ๆ อีกด้วย

เรื่องนี้จะต้องไม่ใช่คุณผู้หญิงหรือหนานกงเฉินทำแน่ พวกเขาไม่ทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้แน่นอน สิ่งที่พวกเขาจะทำคือจะใช้บัตรประจำตัวที่อยู่ในมือเธอโยนใส่หน้าเธอหลังจากที่จับตัวเธอกลับมาจากสนามบินได้

ทันใดนั้นเองเธอก็นึกถึงคนแปลกหน้าที่เจอกันที่สนามบิน เขานั่นเอง ! จะต้องเป็นเขาที่ขโมยบัตรประจำตัวของเธอไปเป็นแน่

ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังจงใจสร้างความวุ่นวาย จงใจไม่ให้เธอหลบหนีจากกรงเล็บปีศาจของบ้านตระกูลหนานกงได้สำเร็จ ครั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นี้เป็นใคร !

ภายใต้สถานการณ์อันอับจนหนทาง จูจูจึงจำยอมมาข้อความช่วยเหลือจากผู่เหลียนเหยา

เพียงแค่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ผู่เหลียนเหยาก็พูดขึ้นก่อนแล้วว่า : “พี่สะใภ้ ฉันเคยแนะนำพี่แล้วว่าอย่าทำการขัดขืนที่มันเกินเลยแบบนี้พี่ก็ยังจะทำอีก ตอนนี้คุณผู้หญิงจะต้องจับตามองพี่ไม่ละสายตาขึ้นมากกว่าเดิมแน่นอน พี่อย่ามีแผนการอย่างอื่นแล้วโอเคไหม ?”

“เหลียนเหยา……” จูจูมองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน : “ฉันไม่อยากตายนี่นา เธอจะไม่สนใจฉันแล้วจริง ๆ เหรอ ?”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจกับพี่ แต่เพราะตัวพี่มันรับประกันยาก” ผู่เหลียนเหยาดึงขากางเกงขึ้นอย่างเอือมละอา : “พี่ดูขาฉันสิ พี่คิดว่ายัยเสี่ยวลวี่สารเลวนั่นมันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เหรอ ?”

จูจูมองขาของเธอจากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย : “ทำไมเขาต้องทำน้ำร้อนลวกเธอด้วย ? เพื่อลองดูว่าขาเธอพิการจริงหรือเปล่างั้นเหรอ ?”

“รู้ก็ดีแล้วค่ะ” ผู่เหลียนเหยาดึงขากางเกงลงกลับคืน จูจูครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็สอบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยเช่นเดิม : “แล้วขาเธอพิการจริง ๆ หรือว่าพิการปลอม ๆ เหรอ……?”

“จริง ๆ น่ะสิ”

“อ้อ งั้นหนานกงเฉินทำเกินไปจริง ๆ” จูจูกล่าวด้วยความโมโหจบแล้วก็หันหน้ามากล่าวว่า : “คนชั่วแบบนี้จะต้องกรรมตามสนอง สมน้ำหน้าที่เขาอยู่ต่อไปไม่ได้”

ผู่เหลียนเหยาหัวเราะเยาะขึ้นมา : “ฉันคิดว่ากรรมตามสนองของเขาก็คือการแต่งงานกับพี่นะคะ”

จูจูมองหน้าเธอด้วยความงงงวย จากนั้นผู่เหลียนเหยาก็หัวเราะ : “หรือว่าไม่ใช่เหรอคะ แยกจากคนที่ตนรัก จากนั้นก็มาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างพี่น่ะ”

“ชู่ !” ทันใดนั้นเองผู่เหลียนเหยาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อปากไว้ : “จากนี้ไปคำพูดแบบนี้อย่ามาพูดที่ห้องฉัน และก็ห้ามมาอยู่ใกล้ฉันเกินไปคนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”

“เหลียนเหยา ได้โปรดช่วยฉันครั้งสุดท้ายด้วยเถอะนะ” จูจูพนมมือขึ้น พลางพูดอ้อนวอนกับเธอ

“วิธีน่ะมีอยู่ แต่สำหรับสมองหมูอย่างพี่คงยากที่จะทำสำเร็จ” ผู่เหลียนเหยายิ้มหัวเราะเยาะเธอ : “แค่มองจากเรื่องที่พี่ลักพาตัวไป๋มู่ชิงไป ฉันก็คิดว่าพี่เป็นคนชนิดที่โง่เง่าไม่มีที่สิ้นสุดเลยแหละ”

“เธอบอกวิธีฉันมา ถ้ามีเธอชี้แนะผลลัพธ์จะต้องเหมือนอย่างสองปีก่อนหน้าที่จัดการได้สมบูรณ์แบบแน่นอน” จูจูอ้อนวอนต่อไป : “ขอร้องละ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอจริง ๆ”

ผู่เหลียนเหยาชายตามองเธอ จากนั้นก็โน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหูของเธอ

เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ สีหน้าของจูจูกลับกลายเป็นซีดเซียวขึ้นมาทันควัน

เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของเธอ ผู่เหลียนเหยาจึงยักไหล่แล้วกล่าวว่า : “เอาเถอะ ฉันบอกวิธีพี่แล้วนะ จะทำหรือไม่ทำมันเรื่องของพี่ ถึงยังไงก็ไม่กระทบฉัน”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผู่เหลียนเหยาก็พูดเร่งรัดขึ้นอีก : “เอาเถอะค่ะ พี่รีบออกไปจากห้องนอนฉันเถอะ เพื่อพวกเราทั้งสองคนจากนี้ไปพยายามอยู่ห่าง ๆ ฉันไว้”

จูจูมองหน้าผู่เหลียนเหยา ผ่านมาชั่วขณะก็สงบจิตสงบใจลงพร้อมทั้งออกไปจากห้องนอนของเธอ

หลังจากที่เธอกลับห้องนอนมาแล้ว เสี่ยวหยวนที่กำลังเก็บกวาดห้องอยู่สังเกตเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก จึงเดินเข้ามาพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง : “นายหญิงน้อย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?”

“ฉันไม่เป็นไร……” เธอกัดฟันแน่น

“นายหญิงน้อยอย่าโกรธคุณผู้หญิงเลยนะคะ” เสี่ยวหยวนไม่ทราบว่าควรจะปลอบใจเธอเช่นไรดี จึงทำได้เพียงกล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง

จูจูหลับตาลง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้ง เวลาต่อมาก็ลืมตาแล้วมองจ้องหน้าเสี่ยวหยวน : “เสี่ยวหยวน ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรหน่อย”

“ช่วยอะไรคะ ?” เสี่ยวหยวนกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นกังวล : “นายหญิงน้อย ตอนนี้คุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ อย่าเล่นกับไฟ ไฟเผาตัวเลยนะคะ คุณผู้หญิงกับคุณชายใหญ่ไม่ปล่อยคุณไปแน่”

“พวกเขาไม่ได้อยากจะปล่อยฉันไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” จูจูกล่าวน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็กล่าวปลอบประโยนเธอ : “เธอไม่ต้องห่วงนะ ก็แค่เป็นการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ทำให้เธอติดร่างแหด้วยหรอก”

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยวนยังคงลังเลอยู่ จูจูจึงหยิบสร้อยข้อมือทองฝังเพชรออกจากกระเป๋าเงินมายื่นให้เธอ : “อันนี้ฉันให้ ไม่ต้องขอบใจ”

เมื่อเห็นสร้อยข้อมือทองราคาสูงเส้นนี้ ดวงตาสองข้างของเสี่ยวหยวนก็แวววาวขึ้นมาทันควัน

วันนี้เป็นวันที่ครูฟางมาเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนภาคฤดูร้อน ไป๋มู่ชิงเดินไปต้อนรับครูฟางเข้ามาภายในบ้านอย่างเป็นมิตร หลังจากที่ครูฟางนั่งลงแล้วนั้นก็ยิ้มพลางถามเธอไปว่า : “คุณผู้หญิงเฉียวทำไมถึงไม่เห็นหว่านชิงล่ะคะ ?”

ไป๋มู๋ชิงยิ้มพลางรินน้ำชาให้ครูทั้งสองท่าน พร้อมพูดขึ้นว่า : “วันนี้ไม่บังเอิญเสียเลยนะคะ หว่านชิงไปบ้านญาติกับคุณพ่อเขาแล้วค่ะ”

“ญาติของหว่านชิงพักอยู่ที่ไหนเหรอคะ ? จะกลับมาตอนไหนเอ่ย ?” ผู้ช่วยครูประจำชั้นอีกท่านกล่าวถาม เมื่อถามจบก็รู้สึกว่าไป๋มู่ชิงกำลังจ้องหน้าเธออยู่ จึงพูดขึ้นมาอีกว่า : “อ้อ ครูก็แค่อยากยืนยันสักหน่อยว่าหว่านชิงจะไม่เข้าเรียนชั้นเรียนภาคฤดูร้อนจริง ๆ เหรอคะ ?”

“ไม่เรียนหรอกค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ฉันไม่ได้ไปทำงาน เลยอยู่เป็นเพื่อนเธออยู่ที่บ้านได้”

“อืม ก็จริงนะคะ ถ้าคุณแม่มีเวลาก็ให้เด็กอยู่บ้านช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนก็จะดีหน่อย”ผุู้ช่วยครูประจำชั้นพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้นอีก : “หว่านชิงจะกลับมาประมาณกี่โมงคะ ?”

ไป๋มู่ชิงลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “น่าจะกลับมาอีกในไม่กี่วันค่ะ”

“อ้อ วันพุธหน้าที่โรงเรียนมีกิจกรรมวันหยุดภาคฤดูร้อน ถึงตอนนั้นคุณผู้หญิงเฉียวอย่าลืมพาเสียวหว่านชิงไปเข้าร่วมเล่นสนุกด้วยกันนะคะ” คุณครูท่านนั้นกล่าว

ครูฟางก็กล่าวเสริมเข้าไปอีก : “ถูกค่ะ ยินดีต้อนรับหว่านชิงกลับโรงเรียนไปเข้าร่วมกิจกรรมหมู่กับเพื่อน ๆ นะคะ”

“ค่ะ ฉันจะไปนะคะ” ไป๋มู่ชิงตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง

เมื่อผู่เหลียนเหยาได้ยินว่าวันพุธหน้าเสียวหว่านชิงมีกิจกรรมวันหยุดภาคฤดูร้อนที่โรงเรียน จึงขมวดคิ้วพร้อมถามกลับไปว่า : “นายมั่นใจเหรอว่าเฉียวหว่านชิงจะเข้าร่วม ?”

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผู่เหลียนเหยาส่ายหน้า : “ครูหลิวที่อยู่โรงเรียนอนุบาลก็แค่บอกว่าผู้ปกครองของเฉียวหว่านชิงตอบตกลงว่าจะเข้าร่วม แต่จะไปจริง ๆ หรือเปล่าต้องคอยดูวันจริงครับ”

ผู่เหลียนเหยาสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็กัดฟันกรอบพร้อมกล่าวขึ้น : “ถึงวันนั้นนายช่วยฉันสอดส่องด้วยละกัน ถ้าเธอเข้าร่วมก็รีบถือโอกาสตอนคนชุลมุนจัดการมันซะ”

“พี่ครับ ก็แค่เด็กตัวกระเปี๊ยกเอง ต้องให้พวกเราจัดการเองทำไม ?” ผู่จี๋จ้องหน้าเธอด้วยความฉงนใจ : “การฆ่าคนถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าเราไม่จำเป็นต้องทำก็อย่าไปทำเลย”

ใบหน้าของผู่เหลียนเหยาเผยความโกรธเคืองขึ้นมา : “ฉันรู้อยู่แล้วว่าการฆ่าคนมันผิดกฎหมาย ตอนแรกหวังว่าจูจูจะช่วยกำจัดไป๋มู่ชิงและลูกของมันตาย สุดท้ายตอนนี้นังโง่นั่นปกป้องตัวเองยังยากเลย”

“ถ้างั้น……ทำไมจะต้องฆ่าเด็กคนนี้ด้วยล่ะ ?” ผู่จี๋ถาม : “ถึงยังไงก็ต้องฆ่าคนอยู่ดี เราฆ่าหนานกงเฉินเลยก็สิ้นเรื่อง สะอาดหมดจดเรียบง่าย สำหรับคุณผู้หญิงนั่น เมื่อหนานกงเฉินตายไปแล้วเธอก็น่าจะโมโหจนขาดใจตายตามไปด้วย ถึงตอนนั้นทั้งบ้านตระกูลหนานกงก็เป็นของพี่หมดแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ไม่ ฉันไม่เอาบ้านตระกูลหนานกงเลยก็ย่อมได้ แต่ฉันต้องการให้หนานกงเฉินสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานกับโรคภัยจนตายไปเอง”

“พี่……ทำไมล่ะ ?” ผู่จี๋พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง : “ผมคิดว่าหนานกงเฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ในเมื่อเขาสงสัยพี่ เพราะงั้นจะต้องมีการป้องกันตัวรอบด้านแน่นอน อีกอย่างมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะแว้งมาจัดการพี่กลับ”

“เขาสงสัยฉันได้ แต่เขาจะต้องทายไม่ออกแน่ว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไร” ผู่เหลียนเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพร้อมพูดกำชับว่า : “ตอนนายทำภารกิจจะต้องระวังให้มาก ๆ นะ ห้ามโผล่หน้าออกมาเอง ห้ามทำมีดหล่นไปยังมือของทางตำรวจ”

“ไม่ต้องห่วงนะพี่ ผมจะระวัง” ผู่จี๋พยักหน้า

“อืม คืนนี้ก็กลับเมืองเยว่ซะ อย่าโผล่หน้ามาเมืองซีอีก ”

“ครับ” ผู่จี๋พยักหน้า : “อีกเดี๋ยวผมก็จะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านแล้ว”

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า จากนั้นก็กลับหลังออกไปจากห้องผู้ป่วยของผู่จี๋

ภายในช่วงระยะเวลาที่วิกฤตนี้ เมื่อเธอและผู่จี๋เจอหน้ากันก็ต้องใช้ข้ออ้างว่ามาเข้าโรงพบาลเพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่น

เมื่อเธอกลับมายังห้องทำงาน เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานก็กำลังหัวเราะเฮฮานัดแนะกันว่าตอนค่ำนี้จะไปร้องคาราโอเกะทานข้าวกัน

เมื่อทุกคนเห็นว่าเธอเข้ามาแล้ว เพื่อนร่วมงานผู้หนึ่งจึงยิ้มพร้อมถามขึ้นมา : “คุณหมอผู่วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวหลิวเลยจะเลีิ้ยงคาราโอเกะพวกเราที่พระราชวัง ไปด้วยกันไหม ?”

เวลาต่อมาเพื่อนร่วมงานผู้หนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาน้ำเสียงหยอกล้อ : “คุณหมอผู่ยุ่งอยู่กับการเดตกับคุณชายเซิ่งน่ะสิ คงไม่ไปร้องเพลงกับเราหรอก”

“ใครบอกว่าฉันจะไม่ไปล่ะ ?” ผู่เหลียนเหยาแสร้งทำสีหน้าไม่ชอบใจ : “ฉันว่านะพวกเธอรังเกียจขาพิการของฉันเลยไม่อยากให้ฉันไปด้วยมากกว่า”

“จะเป็นไปได้ยังไง ? ถ้าคุณหมอผู่ไปได้มันเป็นเกียรติของฉันเลยนะ” เสี่ยวหลิวยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ : “ดีจังเลย คืนนี้คุณหมอผู่จะไปร้องเพลงกับพวกเราด้วย”

ตกเย็นมาผู่เหลียนเหยาไปร้องเพลงที่พระราชวังกับเพื่อนร่วมงานตามที่รับปากไว้ อันที่จริงเธอไม่ชอบออกมาสังสรรค์มั่วซั่วกับเหล่าเพื่อนร่วมงานเท่าไร ทว่าเพื่อเป็นการทำให้ชีวิตของตนเองดูปกติขึ้นมาหน่อย เธอจึงทำได้เพียงไปกับพวกเขา

พวกเขาสังสรรค์อยู่ภายในพระราชวังจนถึงสี่ทุ่มกว่า จากนั้นโทรศัพท์ของผู่เหลียนเหยาก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูและเมื่อพบว่าเป็นเซิ่งเคอโทรเข้ามา จึงส่งสัญญาณบอกเพื่อน ๆ แล้วเดินออกไปจากห้องคาราโอเกะ

เซิ่งเคอถามเธอว่าเมื่อไรจะกลับบ้าน เขาจะมารับ

เธอมองดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วกล่าวว่า : “ยังไม่รู้เลย ตอนใกล้จะแยกย้ายฉันจะโทรหานะ”

“โอเค งั้นก็อย่าอยู่ดึกนักล่ะ”

“รู้แล้วน่า คุณอยู่บ้านก็ว่านอนสอนง่ายนะ” หลังจากที่เธอส่งจูบให้เซิ่งเคอแล้วก็วางสายไป

ขณะที่เธอกลับหลังหันเพื่อเดินกลับห้องร้องคาราโอเกะ จึงพบเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง และพบว่าเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นหน้าคร่าตากันเท่าไรนัก

“เหลียนเหยา ? เป็นเธอจริง ๆ ด้วย !” ไป๋มู่ชิงร้องเรียกเสียงเบาด้วยความตกตะลึง

“คุณคือ……?” เธอแสร้งทำสีหน้างงงวย พลางมองสำรวจไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

ไป๋มู่ชิงคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มพร้อมพูดกับเธอว่า : “เหลียนเหยา พี่คือมู่ชิงไง เธอน่าจะรู้เรื่องที่พี่กลับมาแล้วใช่ไหม ?”

ผู่เหลียนเหยาตะลึงงันไปในทันที : “พี่คือมู่ชิง?”

“ถูกต้อง จริงแท้แน่นอน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด