ขณะที่ทั้งสองคนกลับขึ้นรถนั้นก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
ไป๋มู่ชิงที่ดึงตัวเองออกจากความพิศวาสแห่งรักเริ่มตกอยู่ในห้วงความสำนึกผิดอีกครา เธอจับจ้องไปยังหนทางอันมืดมิดเบื้องหน้า ในใจสับสนวุ่นวายอย่างถึงที่สุด
ทั้งคู่ต่างก็นั่งเงียบ ไม่มีใครเอ่ยปากขึ้นเลย
ผ่านมาเนิ่นนาน หนานกงเฉินจึงโน้มตัวเข้ามาแล้วรัดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ จากนั้นก็สตาร์ทรถขับมุ่งไปยังบ้านของเธอ
เขาขับรถมาจอดไว้ที่ทางเลี้ยวหน้าบ้านของเธอ หนานกงเฉินหันหน้าไปสบตาเธอ : “มู่ชิง จูจูกับผู่เหลียนเหยาฉันจัดการเอง อย่าปนเปื้อนเข้ามาด้วย มันไม่ส่งผลดีกับเธอ”
“ถ้าคุณสามารถจัดการได้ก็คงจัดการไปนานแล้ว ไม่ต้องรอจนถึงตอนนี้หรอกไม่ใช่เหรอ ?”
“ฉันต้องการเวลา”
“คุณไม่เพียงแค่ต้องการเวลา ยังต้องดูแลความรู้สึกของใครอีกหลายคน ผู่เหลียนเหยาเป็นคู่หมั้นของเซิ่งเคอ คุณจะทำอะไรกับเธอได้ ? ส่วนจูจูก็เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตอนเด็กของคุณและเป็นรักแรกของคุณ คุณจะทำอะไรกับเธอได้ ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา : “ความเคียดแค้นระหว่างฉันกับพวกเธอ ฉันจัดการเองก็พอ สำหรับคุณ……เฉิน ดูแลตัวเองให้ดี ดูแลบริษัทให้ดี บนโลกใบนี้มีคนเลวเยอะเกินไป คนดีน้อยเกินไป”
“ฉันรู้ ฉันจะระวัง” หนานกงเฉินพูดกำชับเธอกลับบ้าง : “เธอเองก็ต้องระวังเหมือนกัน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อกี้คุณก็เห็นแล้วหนิว่าความจริงแล้วฉันไม่ได้เป็นคนดีเหมือนอย่างที่คุณคิดหรอก”
“ต่อให้เธอเลวจนกู้ไม่กลับ ถ้างั้นก็เป็นเพราะฉันที่เปลี่ยนเธอให้เลว ฉันจะเลวเป็นเพื่อนเธอเอง”
ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้นมา ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอันใดต่อดี
ภายในรถยนต์เข้าสู่ความเงียบอีกครา หนานกงเฉินถามขึ้นว่า : “กำลังคิดอะไรอยู่ ?”
“ฉันกำลังคิดว่าคืนนี้ฉันเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นด้วยความรู้สึกขมขื่น จากนั้นก็ปลดเข็มขัดนิรภัยบนตัวออก
“เป็นบ้าก็ถูกต้องแล้ว” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นมา พลางโน้มตัวเข้าไปโอบเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตน : “มู่ชิง เธอเองก็คิดถึงฉันมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ? ฉันรับรู้มันได้”
ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกไปอย่างแรง พร้อมกล่าวขึ้นอย่างเอือมละอา : “คุณชายเฉิน พวกเราทำอย่างนี้มันผิดศีลธรรมนะ จากนี้ไปอย่าทำอย่างนี้อีกแล้วได้ไหม ?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเขา เธอจึงกล่าวขึ้นต่อ : “เฉียวเฟิงจะกลับมาในอีกสองวันนี้แล้ว ฉันไม่สามารถให้เขารับรู้ได้ว่าเรามีการไปมาหาสู่กัน ถึงยังไงตอนนี้เขาก็คือสามีของฉัน อย่างนี้มันเกินไปสำหรับเขานะ”
“เธอแคร์ความรู้สึกเขาขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“ใช่” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอีกอย่างระมัดระวัง : “เรื่องคืนนี้เป็นเพียงเหตุการณ์ไม่คาดคิด ฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต หวังว่าคุณจะทำตาม”
หนานกงเฉินจ้องหน้าเธอ ผ่านมาเป็นเวลานานจึงพยักหน้า : “ฉันจะรอให้เธอพิจารณาให้ละเอียด……ว่าจะอยู่ข้างเฉียวเฟิงเพื่อทดแทนบุญคุณหรือกลับมาอยู่ข้างกายฉันกันแน่”
“คุณชายเฉิน ฉันพิจารณาละเอียดแล้วค่ะ หวังว่าคุณจะลืมอดีตไปซะ”
หนานกงเฉินไม่ได้กล่าวอันใดต่อ เพียงแค่ยกมือขึ้นกดตัวล็อกเปิดประตู
“ขับรถระวังด้วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงกล่าวกำชับ จากนั้นก็ผลักประตูเตรียมลงรถไป
“รอเดี๋ยว” อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็เรียกเธอไว้
ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับมามองหน้าเขาแล้วถามว่า : “ยังมีธุระอะไรอีกเหรอคะ ?”
หนานกงเฉินยื่นมือโอบไหล่เธอเอาไว้ แล้วดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปพรมจูบบนริมฝีปากของเธอ : “ดูแลตัวเองให้ดี ๆ นี่คือคำขอร้องหนึ่งเดียวในตอนนี้ของฉัน”
“แน่นอนค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
เธอจะต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้ไม่ทำเพื่อตนเองก็ต้องทำเพื่อเสียวหว่านชิง และเพื่อแม่และน้องชายที่เธอไม่สามารถพบหน้าได้
--
ยามเช้าตรู่ ภายในคฤหาสน์ตระกูลหนานกงเริ่มคึกคักขึ้นมาเรื่อย ๆ เฉกเช่นที่เคยเป็นมา
หลังจากผ่านการนอนไม่หลับกลางดึกมา วันนี้หนานกงเฉินตื่นนอนเช้ากว่าที่เคยเป็นมาเล็กน้อย เขายืนอยู่ที่เบื้องหน้ากระจกเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจจ้องมองตนเองอย่างลึกซึ้ง
คำถามของไป๋มู่ชิงเมื่อคืนนี้แทงเข้ามาในใจของเขาอย่างแรง สำหรับผู้ที่จิตใจคิดไม่ซื่อที่อยู่ข้างกายเขายังมีวิธีรับมือแบบใดได้ ? รวมถึงมีความมั่นใจอันใดในการให้เขาถอยออกจากสงครามครั้งนี้ ?
เขายังมีหน้าตาเหมือนเดิม เพียงแค่ไม่มีจิตใจที่ร้ายและความเย็นชาเหมือนดังเมื่อก่อนแล้วเท่านั้น เหตุใดต้องกลายเป็นเช่นนี้ ? อย่าบอกนะว่าเป็นผลกระทบที่มาจากไป๋มู่ชิง ?
เมื่อก่อนเขาเห็นเด็กเล็กก็จะรู้สึกเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันนี้ทุกคราที่เขาเห็นเด็กเล็กก็จะรู้สึกว่าน่ารักมากกันหมด จากการที่เข้มงวดกับพนักงานมาก่อน ปัจจุบันนี้ก็เริ่มประนีประนอมให้ จากความเกลียดชังเต็มกำลังที่มีต่อผู้ทรยศ ปัจจุบันนี้เขาพยายามทำให้สมบูรณ์แบบขึ้น……เรื่องเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงเขาอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาเองมองเห็นได้ เพียงแค่การกระทำเช่นนี้ไม่รู้ว่าถูกหรือว่าผิด
แม้แต่ไป๋มู่ชิงที่เป็นคนนิสัยอ่อนโยนมาตลอดก็ยังเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เขายังมีเหตุผลอันใดในการไม่ฟื้นคืนความแข็งแกร่งในเมื่อก่อนของตนกลับคืน ?
เขาสาวเท้าเดินไปยังประตูห้องนอน เปิดประตู จากนั้นก็มองเห็นจูจูยืนอยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นเขา จูจูก็สะดุ้งโหยงด้วยสันชาตญาณทันที จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างตะกุกตะกัก : “อรุณสวัสดิ์คุณชายใหญ่”
จูจูในช่วงนี้มีความสงบนิ่งและว่าง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นเพราะเธอไม่มีเรี่ยวแรงในการฝืนอีกต่อไปแล้ว
หนานกงเฉินชายตามองเธอ เมื่อเห็นท่าทางที่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของเธอ จึงกล่าวขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ : “มีธุระอะไร ?”
“ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับคุณค่ะ” จูจูพูดประโยคนี้ออกมาอย่างลังเล
หนานกงเฉินยักคิ้ว : “เธอแน่ใจเหรอ ?”
“ค่ะ……” จูจูทราบดีว่าเหตุใดเขาจึงถามเธอเช่นนี้ เนื่องจากเขาทราบว่าเรื่องราวที่เธอจะสารภาพนั้นจะต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาอาจจะเฆี่ยนตีเธอได้
แต่เพื่อการมีชีวิตรอดต่อไป เธอไม่สนอะไรทั้งสิ้นแล้ว
เวลานี้วันครบรอบที่เธอและหนานกงเฉินแต่งงานกันสามปีนั้นเหลือเพียงหนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น หากตอนนี้บอกเขาไปว่าตนเป็นจูจูตัวปลอม เธอยังสามารถรักษาลมหายใจไว้ได้อยู่ คุณผู้หญิงและหนานกงเฉินคงไม่ฆ่าเธอจริง ๆ แต่อย่างใด ต่อให้จะซ้อมเธออย่างรุนแรงหรือโยนเข้าห้องขัง นั่นมันก็ยังดีกว่าการตายอยู่ดี
อย่างน้อยวิธีที่ผู่เหลียนเหยาสอนเธอมา เธอลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดใจทำไม่ลงอยู่ดี เพราะว่านั่นถึงจะเป็นเส้นทางแห่งความตายสถานเดียว !
“เธอพูดมาเถอะ ฉันฟังอยู่” หนานกงเฉินจ้องหน้าเธอ
“ความจริงแล้วฉันอยากบอกคุณว่า ฉัน……” ไม่ง่ายเลยกว่าจูจูจะรวบรวมความกล้าปริปากออกมาได้ ครั้นอยู่ ๆ ก็มีเสียงของผู่เหลียนเหยาดังเข้ามาจากระเบียงทางเดิน : “พี่สะใภ้ ยังอยู่ที่นี่เหรอคะเนี่ย ฉันไปรอพี่ข้างล่างนานแล้วนะ”
จูจูชะงักไป เธอหันหลังมามองเห็นผู่เหลียนเหยากำลังเลื่อนวีลแชร์เข้ามาอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นหน้าเธอ จูจูก็ใจสั่นขึ้นมาทันที คำพูดที่อยู่ในปากจึงถูกเธอกลืนมันลงไปหมด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่” เวลาต่อมาผู่เหลียนเหยากล่าวคำทักทายหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินเองก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มบาง ๆ ให้กับผู่เหลียนเหยาที่กำลังเข้ามาอย่างช้า ๆ : “อรุณสวัสดิ์”
“พวกพี่กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ ? ให้ฉันลงไปก่อนไหม ?”
“เอ่อ……ไม่ใช่หรอก ก็แค่เจอหน้าคุณชายใหญ่เลยคุยอะไรกันเรื่อยเปื่อยน่ะ คุณชายใหญ่ไว้ค่อยคุยกันตอนเย็นดีกว่าค่ะ” จูจูยิ้มพลางเดินเข้าไปเข็นวีลแชร์ของผู่เหลียนเหยา : “ฉันลงไปพร้อมเธอดีกว่า”
หนานกงเฉินพูด ‘อืม’ ขึ้นมาน้ำเสียงราบเรียบ พลางมองเงาของทั้งสองคนนั้นหายไปจากมุมเลี้ยวของบันได เวลาต่อมาเขาจึงสาวเท้าเดินลงชั้นล่าง
--
หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าที่บ้านแล้ว หนานกงเฉินก็ออกไปทำงานข้างนอก
ผู่เหลียนเหยาไม่ต้องไปทำงาน เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็กลับห้องนอนไปทันที
จูจูถือโอกาสตอนที่เสี่ยวลวี่ไม่ทันระวัง รีบสาวเท้ามายังหน้าประตูห้องผู่เหลียนเหยาอย่างรวดเร็ว เธอสูดหายใจเบา ๆ ด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ผลักเปิดประตูเดินเข้าไป
ผู่เหลียนเหยาเห็นเธอเดินเข้ามา จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา : “มีอะไร ? พี่อยากบอกคุณชายใหญ่ว่าพี่เป็นจูจูตัวปลอมงั้นเหรอ ?”
จูจูพยักหน้าอย่างรู้สึกผิด : “เหลียนเหยาวิธีที่เธอสอนมันยากเกินไป ฉันคิดว่าฉันไปบอกเรื่องจริงกับเขาจะดีกว่า……โอ๊ย……!”
กล่องกระดาษทิชชูลอยเข้ามากระทบใบหน้าของจูจู เธอตกใจยกใหญ่ จากนั้นก็กุมแก้มเอาไว้พร้อมจ้องหน้าเธอ ผู่เหลียนเหยากำลังกัดฟันกรอบด้วยความโมโห : “พี่เคยคิดถึงฉันบ้างไหม ? ถ้าพี่บอกเรื่องจริงกับคุณชายใหญ่ไป เขาจะต้องตามสืบเรื่องเมื่อสองปีก่อนแน่นอน และจะต้องพบว่าฉันเป็นคนช่วยเหลือพี่เข้ามาในบ้านตระกูลหนานกงเป็นแน่ นี่พี่กำลังถีบหัวส่งเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วงั้นเหรอ ? หรือว่าพี่ลืมคำมั่นสัญญาที่มีไว้กับฉันไปแล้ว ?”
“ฉัน……” จูจูรู้สึกผิดกับคำถามของเธอเป็นอย่างมาก
“ตอนนั้นพี่มาหาฉัน ขอร้องให้ฉันช่วยเหลือให้พี่บรรลุความปรารถนา ฉันช่วยเหลือพี่โดยไม่มีข้อแม้ ตอนนี้พี่กลับแว้งมาผลักฉันลงน้ำ ? พี่เห็นฉันผู่เหลียนเหยาเป็นอะไร ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ……เหลียนเหยา ฉันจนปัญญานี่นา ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้นก็ต้องตายแทนไป๋มู่ชิงน่ะสิ เธอเองก็เกลียนเขามากไม่ใช่เหรอ ? เธอสบายใจที่จะให้ไป๋มู่ชิงอยู่เหนือปัญหาไม่เข้าไปสนใจอีกแล้วงั้นเหรอ ?” จูจูกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเอือมละอา
ผู่เหลียนเหยาหัวเราะอย่างเยือกเย็นอยู่ภายในใจ แน่นอนว่าเธอไม่มีทางให้ไป๋มู่ชิงอยู่เหนือปัญหาไปอย่างโชคดีเช่นนี้เป็นแน่ ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องบอกคุณผู้หญิง
เธอจ้องหน้าจูจูด้วยความคาดหวัง : “คุณหนูจู ฉันว่าพี่นี่โง่เหมือนเดิมเลยนะ พี่คิดว่าไป๋มู่ชิงมันความจำเสื่อมจริง ๆ งั้นเหรอ ? ลืมทุกอย่างไปแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ ? ไม่เลย ตอนนี้มันแค่กำลังรอเวลาเหมาะสมในการแก้แค้นเท่านั้น มันไม่บอกหนานกงเฉินว่าตนเองนั้นเป็นจูจูตัวจริง เพราะว่ามันรู้ความจริงเกี่ยวกับท่านผู้หญิงจิ้งแล้ว มันเองก็กลัวตายเหมือนกัน เพราะงั้นไม่ว่าจะตอนไหนมันไม่มีทางยอมรับว่าตนเองคือจูจูตัวจริงหรอก พี่คิดว่าหนานกงเฉินจะเชื่อพี่หรือว่ามันล่ะ ?”
“เธอว่าอะไรนะ……? มันรู้แล้ว ?” จูจูสอบถามอย่างตกตะลึง
“ถูกต้อง พี่เข้ามาก่อนหน้าแล้ว หนานกงเฉินเชื่อพี่มาตั้งนานหลายปี ตอนนี้พี่มาบอกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวจริงในเวลาที่สำคัญแบบนี้ พี่คิดว่าเขาจะเชื่อเหรอ ? เขาแค่จะคิดว่าพี่กลัวเมื่อยามใกล้ตาย และเพื่อเป็นการหนีเอาตัวรอดพี่ถึงจงใจกุเรื่องโกหกหลอกลวงแบบนี้ขึ้นมาหลอกเขา และสิ่งที่หนานกงเฉินเกลียดที่สุดก็คือการโกหก เมื่อถึงเวลานั้นจุดจบของครอบครัวไป๋ยิ่งอันก็จะไปเป็นจุดจบของครอบครัวตระกูลจูของพี่ คิดคำนวณดูให้ดี ๆ ก็แล้วกัน” ผู่เหลียนเหยาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พูดต่อว่า : “คุณหนูจู ฉันเกลียดไป๋มู่ชิง ไม่มีทางให้หล่อนได้รับจุดจบที่ดีเด็ดขาด และด้วยการนี้ฉันเลยสนับสนุนพี่มานานเพียงนี้ ถ้าพี่กล้าผลักฉันลงน้ำในเวลาที่สำคัญแบบนี้ ผลที่ตามมาพี่ก็น่าจะทราบ”
“เธอคิดจะทำอะไร ?”
“พี่ว่าไงล่ะ ? ต่อให้ถึงเวลานั้นหนานกงเฉินจะไม่ทำลายบ้านตระกูลจู ฉันไม่มีทางปล่อยพี่ไปแน่นอน !”
เมื่อเห็นความเย็นชาบนใบหน้าของเธอ จูจูจึงรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เธอจ้องหน้าผู่เหลียนเหยาด้วยความตกตะลึง ผ่านมาเป็นเวลานานจึงกล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง : “เหลียนเหยา สิ่งที่เธอทำทั้งหมด เป็นเพราะเกลียดไป๋มู่ชิงจริง ๆ น่ะเหรอ ?”
ถ้าเป็นเพราะแค่เกลียดชังไป๋มู่ชิง เธอไม่เห็นต้องออกแรงพยายามเยอะขนาดนี้เลยนี่นา !
“ไม่งั้นพี่คิดว่าฉันทำเพื่ออะไรล่ะ ?”
จูจูเงียบไป เธอไม่เคยเชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของผู่เหลียนเหยาจะง่ายดายเพียงนี้ ถึงอย่างไรชายที่เธอชอบก็ไม่ใช่หนานกงเฉิน !
--
เลขาเหยียนมองหน้าหนานกงเฉินจากนั้นก็ถามเขาด้วยความไม่เข้าใจ : “คุณชายใหญ่ ในเมื่อคุณทราบแล้วว่าขาของผู่เหลียนเหยาคือของปลอม และยังรู้ว่าใจเธอไม่ซื่อแล้วทำไมยังต้องให้เธออยู่ในบ้านตระกูลหนานกงต่อไปด้วยล่ะคะ ?”
“เพราะฉันอยากรู้ว่าจุดประสงค์ที่เธอทำอย่างนี้มันคืออะไรกันแน่” หนานกงเฉินกล่าว
“เธอจะมีจุดประสงค์อะไรได้อีกคะ ? นอกเสียจากร่วมมือกับคนตระกูลเซิ่งในการทำลายตระกูลหนานกง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนเหตุการณ์วุ่นวายฮุบเอาบริษัทหนานกงกรุ๊ปน่ะสิ” เลขาเหยียนครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “แต่ว่าก่อนที่สองพ่อลูกตระกูลเซิ่งยังไม่ลงมือ เราไม่ควรจัดการผู่เหลียนเหยาก่อนจริง ๆ นั่นแหละค่ะ จะได้ไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“เข้าใจก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินกล่าว
“ถ้างั้นคุณจะทำยังไงต่อไปคะ ? ให้พวกเขาอาศัยอยู่บ้านตระกูลหนานกงต่อไปงั้นเหรอ ?”
“ให้พวกเขาอาศัยอยู่ไปก่อน” หนานกงเฉินมองหน้าเธอ : “มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า ?”
“เปล่าค่ะก็แค่เป็นห่วงระดับความคืบหน้าของทางบริษัทหนานกงกรุ๊ป”
“ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร” หนานกงเฉินยิ้มพลางชายตามองเธอ : “แล้วเธอล่ะ ? อยู่ที่นั่นสบายดีไหม ? อยากกลับมาทำงานหรือเปล่า ?”
“ก็ดีนะคะ ช่วงนี้บริษัทจื้อหย่วนกำลังพัฒนากลยุทธ์การตลาดค่ะ และเห็นได้ชัดเจนว่าต่อต้านบริษัทหนานกงกรุ๊ป”
“เหอะ……” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอยากดูถูกเหยียดหยาม
“เดี๋ยววันหลังจะส่งให้ดูนะคะ” เลขาเหยียนกล่าว : “ประธานเซิ่งกับเถ้าแก่ตัวจริงเหมือนกัน ต่างฝ่ายก็ต่างยุ่งอยู่กับการก่อตั้งพรรคพวก และถือเป็นโอกาสทองที่จะปลดเขานะคะ”
“ฉันจะเก็บไว้พิจารณา”
เลขาเหยียนมองดูเวลาที่อยู่ในนาฬิกา แล้วกล่าวว่า : “ฉันทานอิ่มแล้วค่ะ คุณชายเฉินค่อย ๆ ทานนะคะ”
“เธอต้องรีบกลับบริษัทเหรอ ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ต้องไปทำงานต่างจัดหวัดที่เมืองเยว่ค่ะ เครื่องบินตอนเวลาบ่ายสองโมง”
“เดี๋ยวฉันไปส่งที่สนามบิน” หนานกงเฉินยื่นมือคว้ากุญแจรถบนโต๊ะ และเรียกพนักงานเข้ามาเก็บเงิน
เลขาเหยียนรีบกล่าวขึ้นทันควัน : “คุณชายเฉินไม่ต้องไปส่งฉันหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันอายุสั้นนะ”
“เธอพูดเองไม่ใช่หรือไงว่าพวกเราไม่ใช่ความสัมพันธ์เจ้านายกับลูกน้องแล้ว” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความไม่สนใจ : “ถึงยังไงก็ไม่ไกลมาก ไปเถอะ”
เลขาเหยียนได้ยินที่เขาพูดมาดังนั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธ เธอเดินออกไปด้านนอกร้านอาหารพร้อมกับเขา
หากไม่ใช่ความสัมพันธ์เจ้านายกับลูกน้อง เช่นนั้นก็เป็นเพื่อนกัน เมื่อพบเจอหน้ากันในฐานะเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องเคอะเขินแล้ว อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าความรู้สึกเช่นนี้มันดีมากเลย
--
วันนี้เป็นวันที่เฉียวเฟิงกลับประเทศมา
ไป๋มู่ชิงมายังสนามบินตรงเวลา หลังจากที่รอมาเป็นเวลานานที่ทางออกผู้โดยสารแล้วก็เห็นเฉียวเฟิงออกมาโดยมีเลขาส่วนตัวมาด้วย
เธอโบกมือให้เฉียวเฟิง จากนั้นเขาก็มองเห็นเธอพอดี บนใบหน้าจึงเผยเป็นรอยยิ้มขึ้นมา
“เป็นยังไงบ้าง ตลอดทางมาเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ ?” ไป๋มู่ชิงคุกเข่าลงเบื้องหน้าเขา จากนั้นก็มองสำรวจเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“โอเคอยู่” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบแก้มของเธอ : “ไม่เจอกันสองสัปดาห์ ดูเหมือนว่าคุณจะผอมลงเลยนะ”
“ที่ไหนกันคะ ฉันสบายดีมากเลย จะผอมลงได้ยังไง” ไป๋มู่ชิงก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้าตนเองเช่นกัน จากนั้นก็มองใบหน้าเขาอีกครั้ง : “คุณเองนั่นแหละ สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลยนะคะ”
“งั้นเหรอ ?” เฉียวเฟิงลูบใบหน้าตัวเองเลียนแบบเธอ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา : “ผมว่าเราไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยลืมหน้าตาเดิมของกันและกันไปแล้วละมั้ง”
“แค่ไม่กี่วันเอง จะไปลืมได้ไงคะ” ไป๋มู่ชิงรับวีลแชร์จากมือของเลขามาเข็นเอง จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังประตูใหญ่พร้อมกล่าวถามขึ้น : “หว่านชิงเป็นยังไงบ้างคะ ? เห็นคุณกลับเธอเศร้ามากเลยใช่ไหม ?”
“ไม่เท่าไหร่ โอ๋นิดหน่อยก็หายแล้วอีกทั้งมีเจ้าแจ็คอยู่ด้วยทั้งคนก็ถือว่ามีเพื่อนอยู่ด้วย” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบหลังมือของเธอ : “ไม่ต้องห่วงนะ โรเซ่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม พวกเขาสองสามีภรรยาชอบหว่านชิงเป็นอย่างมาก หว่านชิงจะต้องปลอดภัยและมีความสุขเมื่อพักอยู่กับพวกเขาแน่นอน”
“ฉันรู้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเคอะเขิน : “ฉันแค่คิดถึงลูกน่ะค่ะ”
เมื่อก่อนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นโรเซ่สองสามีภรรยาเป็นเพื่อนบ้านพวกเขา ความสัมพันธ์โดยปกติแล้วก็เหมือนกับเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น เสียวหว่านชิงและแจ็คก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ฝากหว่านชิงไว้กับพวกเขา ไป๋มู่ชิงไม่มีความเป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย
“ดูคุณสิ นี่แค่ไม่กี่วันเองก็คิดถึงเสียแล้ว” เฉียวเฟิงหยอกล้อเธอ
ทั้งสองคนสนทนากันไปพร้อมหัวเราะคิกคักกันเดินมุ่งไปยังประตูใหญ่ของสนามบิน
ลุงหลิวยังไม่ขับรถมาจากลานจอดรถ ไป๋มู่ชิงจึงกวาดสายตามองสองข้างทาง ทันใดนั้นเองก็มองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหนานกงเฉินและเลขาเหยียน !
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งคู่เห็นเธอและเฉียวเฟิงตั้งนานแล้ว ในเวลานี้ก็กำลังมองหน้าเธออยู่
ทั้งสี่คนสบตากัน หลังจากที่ความเงียบเข้าครอบงำไม่นาน สุดท้ายเลขาเหยียนก็เป็นผู้เอ่ยขึ้นก่อน : “คุณชายรองเฉียว คุณหนูอีบังเอิญจังเลยนะคะ”
“บังเอิญจังเลยค่ะ พวกคุณทั้งคู่จะออกเดินทางเหรอคะ ?” สายตาของไป๋มู่ชิงกวาดมองหนานกงเฉิน ครั้นไม่กล้าจ้องสายตาอันร้อนแรงของเขาโดยตรง สุดท้ายจึงมองหน้าเลขาเหยียน
เลขาเหยียนไม่อยากให้เธอเข้าใจผิดจึงรีบกล่าวว่า : “ไม่ใช่ค่ะ ฉันจะไปทำงานต่างจังหวัด คุณชายเฉินแวะมาส่งฉันพอดีค่ะ”
สายตาระหว่างหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง คนหนึ่งร้อนแรงไม่ถอย อีกคนหนึ่งอับจนหนทางหลบหนี เฉียวเฟิงรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ ดังนั้นจึงหันหน้าไปพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “หลิน พวกเราไปกันเถอะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...