“ตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่?” นัยน์ตาทั้งสองที่เธอจ้องไป๋มู่ชิงมีน้ำตารื้นขึ้นมา
“พวกเราเจรจาสงบศึกตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าไหม”
จูจูเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา:“เจรจาสงบศึก? เจรจาสงบศึกในความหมายของเธอคงไม่ได้ให้ฉันแทนที่เธอต่อไปใช่ไหม? เธอคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนึกว่าฉันเต็มใจจะตายแทนเธอใช่ไหม?”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ทำหรอก และฉันก็รู้ด้วยว่าช่วงนี้คุณกำลังวางแผนว่าจะหนีออกจากตระกูลหนานกงยังไงดี ไม่เพียงแค่ฉันรู้ ผู่เหลียนเหยากับหนานกงเฉินก็รู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกการกระทำของคุณถูกจับตามองอยู่” ไป๋มู่ชิงหยุดชั่วคราว แล้วพูดต่อ:“จริงสิ ฉันลืมบอกไปว่าทำไมวันนี้ถึงมาหาคุณ เพราะสองวันก่อนผู่เหลียนเหยามาหาฉัน”
จูจูตอบอย่างรีบร้อน:“เขาไปหาเธอทำไม?”
“เขาบอกฉันว่าคุณกำลังวางแผนจะฆ่าหนานกงเฉินทิ้ง” ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ แล้วยิ้มมุมปาก:“คุณตกใจละสิ? ความจริงนี่ไม่มีอะไรต้องแปลกใจเลยนะ ใครใช้ให้คุณกำหลักฐานที่เขาทำผิดไว้ล่ะ? ถ้าไม่รีบฆ่าคุณให้ตายเขาจะสงบสุขได้ยังไง?”
“ฉันไม่เข้าใจเธอกำลังพูดเรื่องอะไร?” จูจูพูดอย่างเย็นชา
“คุณหนูจู เวลานี้พวกเราอย่าเสแสร้งแกล้งว่าไม่ได้ทำผิดอะไรอีกเลย” ไป๋มู่ชิงพูด:“ผู่เหลียนเหยาเขารู้ว่าแผนการของตัวเองกำลังจะถูกเปิดโปง เพื่อไม่ให้ถูกคุณแฉ และไม่ให้เรื่องมันถลำลึกไปไกลกว่านี้ เขารอหนึ่งเดือนหลังจากนี้ไม่ไหวที่คุณจะถูกผู้หญิงทำให้เจ็บปวดใจ เขาอยากให้คุณตายเร็วๆ แต่เขาก็ไม่อยากทำผิดขนาดที่ว่าฆ่าคนตาย ก็เลยอยากจะยืมมือฉันทำร้ายเธอจนตายยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นเขาถึงรีบวิ่งมาบอกฉันเรื่องที่คุณกำลังวางแผนทำร้ายหนานกงเฉินอยู่”
“คุณหนูจู คุณเข้าใจหรือยัง? คนที่อยากให้คุณตายจริงๆคือผู่เหลียนเหยา ตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาทำให้คุณได้อยู่ข้างๆหนานกงเฉินเขาก็รู้แล้วว่าคุณจะถูกคุณผู้หญิงทำให้เจ็บปวดใจ แต่เพื่อให้ถึงเป้าหมายของเขาแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าฉันกับคุณจะเป็นหรือตาย โชคดีที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่คุณไม่......ก็คงต้องพึ่งตัวคุณเองแล้วล่ะ”
จูจูถูกคำพูดของเธอทำให้ตกใจจนเหงื่อตก สีหน้าจู่ๆก็ซีดเผือด
ครู่ใหญ่ เธอถึงจะถามออกมาเสียงสั่น:“จุดประสงค์ของผู่เหลียนเหยาคืออะไรกันแน่......?”
“นี่เป็นคำถามที่ฉันอยากจะถามคุณพอดี คุณกับเขาทำเรื่องไม่ดีด้วยกันตั้งเยอะ จะไม่รู้จุดประสงค์ของเขาได้ยังไงกัน?” ไป๋มู่ชิงจ้องเธอ
เธอนึกว่าจูจูจะรู้เสียอีก แต่สีหน้าของเธอ เหมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลยสักนิด
และเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ หลังจากที่จูจูอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ส่ายหน้า:“ฉันไม่รู้ เขาไม่เคยบอกฉัน”
“ทั้งๆที่เขารู้ว่าฉันเป็นคู่ครองของหนานกงเฉิน กลับทำให้ฉันเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นอย่างโหดเหี้ยม คุณคิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?”
“ไม่อยากให้หนานกงเฉินทนอยู่กับคู่ครองเหรอ?”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด นี่เป็นจุดประสงค์ของเขาจริงๆนั่นแหละ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะ:“เขาไม่เพียงแต่ต้องการสมบัติของตระกูลหนานกง ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการชีวิตของหนานกงเฉิน ความทะเยอทะยานเยอะเสียจริง”
จูจูก้มหน้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จับหูแก้วที่มีน้ำเพียงเล็กน้อย ดูแล้วในใจคงสะเทือนใจไม่น้อย
ไป๋มู่ชิงดูปฏิกิริยาของเธอ พร้อมทั้งรินน้ำเปล่าดื่มไปด้วย ไป๋มู่ชิงไม่ได้รบกวนเธอ แค่รออย่างเงียบๆ
เงียบอยู่สักพัก ในที่สุดจูจูก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอ:“งั้นเธอมาบอกฉันทำไม? ขู่ไม่ให้ฉันลงมือกับหนานกงเฉิน?”
“เปล่า ฉันหวังว่าคุณจะแยกแยะถูกผิดได้ ผู่เหลียนเหยาใช้ประโยชน์จากคุณตั้งแต่แรก”
“แล้วยังไงล่ะ? ฉันก็ใช้ประโยชน์จากเขาในการแต่งงานกับหนานกงเฉินเหมือนกัน เป็นฉันที่หาเรื่องใส่ตัว”
“งั้นตอนนี้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเหรอ?”
“เธอสามารถทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไง?”
“คุณหนูจู มาจนถึงทุกวันนี้คุณจะคิดถอยหลังเพื่อตัวเองไม่ได้แล้ว ต่อให้คุณไม่ถูกคุณผู้หญิงทำให้ตาย คุณก็หนีคุกไม่พ้นหรอก บางทีฉันคงปกป้องคุณไม่ไหว แต่ยังไงซะพ่อแม่ของคุณก็เป็นคุณลุงกับคุณป้าแท้ๆของฉัน ฉันสามารถช่วยคุณปกป้องพวกเขาได้” ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยท่าทางจริงจัง:“ขอแค่คุณเอาหลักฐานที่ผู่เหลียนเหยาทำผิดประณามเขา”
“ที่แท้จุดประสงค์ที่เธอมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้?” จูจูหัวเราะเยาะ
“คุณไม่ต้องสนว่าจุดประสงค์ของฉันคืออะไร ยังไงซะหลังจากนี้หนึ่งเดือนไม่ว่าคุณจะพูดออกมาหรือไม่ ว่าฉันเป็นคู่ครองที่แท้จริง คุณล้วนแต่หนีตายได้ยาก และถ้าจะพูดถึงความรู้สึกที่หนานกงเฉินมีต่อคุณล่ะก็ ไม่ว่าฉันจะเป็นคู่ครองหรือไม่ เขาก็คงไม่อยากให้ฉันตาย เพราะฉะนั้นฉันยังสามารถช่วยคุณปกป้องคุณลุงกับคุณป้าได้”
“เธอปกป้องไหวงั้นเหรอ?” จูจูยิ้มเยาะทั้งน้ำตา
ผู่เหลียนเหยาเคยบอกเธอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าเธอกล้าขายเขาล่ะก็ เขาก็จะทำให้พ่อแม่ของเธอโดนฝังไปพร้อมกับเธอ และความโหดเหี้ยมของผู่เหลียนเหยา เธอได้เห็นมาตั้งนานแล้ว!
“สรุปคุณจะทำข้อตกลงกับฉันหรือเปล่าคุณก็พิจารณาเอาเองแล้วกัน” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา ก้มลงมองเธอ:“คุณหนูจู คุณโกหกหนานกงเฉินตั้งแต่เริ่มแรก คุณทำผิดต่อเขา ถ้าเขาจะแก้แค้นคุณตอนนี้ก็เป็นเพราะคุณหาเรื่องใส่ตัว”
--
หลังจากที่หนานกงเฉินเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นว่าเฉียวเฟิงนั่งมองประตูห้องอยู่
เขาเดินไป พูดอย่างไม่อ้อมค้อม:“ผมอยากคุยกับคุณหน่อย”
จนถึงตอนนี้ทั้งสองคนได้นั่งอยู่ในห้องทำงานของเฉียวเฟิงมาสิบห้านาทีแล้ว กลับไม่มีใครเริ่มพูดออกมาก่อน
สุดท้ายเฉียวเฟิงก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ:“คุณชายเฉินอยากคุยเรื่องอะไรในใจผมรู้ดี แต่ถ้าเอ่ยปากไม่ไหวจริงๆก็กลับไปเถอะครับ ผมว่าพวกเขาสองคนก็คงคุยกันเสร็จแล้วเช่นกัน”
“ผมมีอะไรต้องเอ่ยปาก?” หนานกงเฉินหัวเราะเยาะ:“ผมแค่กังวลว่าคุณจะยอมรับความจริงไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”
“คุณว่ามาเถอะ ผมรับได้” เฉียวเฟิงพูด
“ความจริงก็คือผมกับมู่ชิงรักกันดี”
“ผมรู้”
“คุณรู้?” หนานกงเฉินนั่งตัวตรง แล้วมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์:“ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วทำไมยังต้องใช้อำนาจบีบบังคับเธอไม่ปล่อย? คุณชายรองตระกูลเฉียวคุณจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดไปแล้ว อยากให้ผมคืนมู่ชิงให้คุณอะได้ แต่ต้องจัดการคุณหนูจูให้เรียบร้อย” เฉียวเฟิงพูด:“ไม่สิ ยังมีคุณหนูผู่นั่นอีก เมื่อไหร่ที่จัดการสองคนนั่นได้ค่อยมาเอามู่ชิงจากผม”
หนานกงเฉินจ้องเขา ถามอย่างระแวง:“คุณพูดจริง?”
เขาจำได้ว่าครั้งที่แล้วเฉียวเฟิงเคยพูดไว้ ขอแค่จัดการจูจูให้เรียบร้อย เขาก็จะคืนมู่ชิงให้ แต่เขาไม่เคยจะเชื่อเลยว่าเฉียวเฟิงจะเต็มใจคืนมู่ชิงให้เขา ก็เลยไม่ได้ใส่ใจคำพูดพวกนั้นของเขา
วันนี้เขาพูดถึงอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา จ้องเขาแล้วพูด:“ผู่เหลียนเหยากับจูจูผมจะจัดการอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับเวลา แต่มู่ชิง......คุณจะคืนให้ผมจริงเหรอ?”
“อาจจะคืนให้” เฉียวเฟิงตอบสองแง่สองง่าม
“ดูแล้วนี่เป็นแค่ข้ออ้างที่คุณใช้ปฏิเสธผม”
เฉียวเฟิงพูด:“ความหมายของผมคือจะแย่งมู่ชิงกับคุณ เงื่อนไขข้อแรกคือจัดการผู้หญิงสองคนนั้นให้เรียบร้อย ไม่ต้องคิดมากไป”
หนานกงเฉินยิ้มเยาะ:“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ยังไงซะผมจะแย่งมู่ชิงกลับมาอย่างแน่นอน คุณชายรองตระกูลเฉียวถ้าจิตใจคุณยังมีความดีเหลืออยู่ ปล่อยมือซะเถอะ อย่าใช้บุญคุณมารั้งมู่ชิงไว้เลย วิธีแบบนี้ไม่เพียงแต่ไร้ยางอายแถมยังขายหน้าอีกด้วย”
จู่ๆก็มีเสียงประเตาะดังมาจากประตูห้องทำงาน ทั้งสองคนหยุดพูดคุย ไป๋มู่ชิงผลักประตูแล้วเดินเข้ามา
เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะอยู่ในห้องทำงานของเฉียวเฟิง วินาทีที่เห็นหนานกงเฉิน ใบหน้าของเธอก็แสดงถึงความตกใจ
ผู้ชายสองคนในห้องทำงานกำลังมองไปยังเธอ จู่ๆบรรยากาศก็อึดอัดขึ้นมา
“มู่ชิง คุยเสร็จแล้วเหรอ?” หนานกงเฉินถามเสียงอ่อนโยน
“อืม” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“คุยเสร็จแล้วค่ะ”
“มู่ชิง มานี่หน่อย” เฉียวเฟิงกวักมือเรียกไปทางไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงก้าวเท้าเดินไป เธอยื่นมือไปจับมือที่เฉียวเฟิงยื่นออกมาหาเธอ ในใจลึกๆก็เกิดความรู้สึกไม่มีอิสระขึ้นมา ถึงขนาดที่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของหนานกงเฉินที่คมกริบแทงมาจากด้านหลังเธอ
“คุณโอเคไหม?” เสียงของเฉียวเฟิงก็อ่อนโยนเช่นกัน
“โอเคค่ะ” ไป๋มู่ชิงถือโอกาสนั่งลงข้างเขา
เฉียวเฟิงเงยหน้ามองหนานกงเฉินที่สีหน้าไม่ค่อยดี:“คุณชายเฉิน ภรรยาของคุณน่าจะรอคุณอยู่ในห้อง ไปส่งเธอกลับบ้านเถอะ”
บนหน้าของหนานกงเฉินเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ บนหน้าทั้งเขียวทั้งขาวซีดสลับกันไป แต่สถานการณ์ของเขาเวลานี้คงทำได้แค่ออกจากที่นี่
“คุณชายเฉิน ขอบคุณที่ช่วยฉันเรื่องนี้นะคะ” ไป๋มู่ชิงพูดกับเขา จ้องไปที่สายตาของเขาเห็นถึงความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
ว่าตามนิสัยของหนานกงเฉิน ไม่โกรธบ้าคลั่งสิถึงแปลก และก็ยากมากที่จะเห็นเขาอดทนได้ถึงขนาดนี้ เธอค่อยๆหลบสายตา ไม่ได้สู้สายตากับเขาต่อ
“ไม่เป็นไรครับ เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว” หนานกงเฉินยิ้มให้:“ยังไงซะที่คุณทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับผม”
เขาลุกขึ้นยืนจากโซฟา จ้องไปยังทั้งสองคน :“งั้นผมไปก่อนนะ ลาก่อนทั้งสองคน”
“ลาก่อน” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นไปส่งเขาออกจากห้องทำงาน
ที่หน้าประตูห้องทำงาน ไป๋มู่ชิงพูดอย่างสุภาพ:“คุณชายเฉิน ฉันไม่ออกไปส่งคุณข้างนอกนะคะ”
จู่ๆฝีเท้าของหนานกงเฉินที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอกก็หยุดลง หันหน้ามามองเธออย่างโกรธๆ ไป๋มู่ชิงตั้งใจไม่สู้สายตากับเขา เธอนึกว่าหนานกงเฉินจ้องเธอเสร็จก็จะออกไปจากที่นี่ไปเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะออกแรงดึงเธอมาจากประตู แล้วรีบกดเธอไปที่กำแพง ก้มหน้ากัดบนริมฝีปากเธออย่างรุนแรง
ไป๋มู่ชิงถูกเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้ง ที่นี่เป็นสถานที่สาธารณะนะ ถ้าเกิดถูกพนักงานเห็นเข้า......
“มู่ชิง คุณคอยดูว่าสักวันผมจะแย่งคุณกลับมาเถอะ” เสียงกดดันด้วยความโกรธของเขาดังขึ้นที่ข้างหู
ไป๋มู่ชิงใช้มือดันเขาออกจากตัวเองอย่างรีบร้อน แล้วแทรกตัวออกไปจากอ้อมกอดเขา กลับไปที่ห้องทำงาน
ร่างของไป๋มู่ชิงที่มาถึงในห้องทำงานหยุดอยู่ที่ประตู แล้วแอบถอนหายใจ
“เป็นอะไรไป?” เฉียวเฟิงสังเกตเธอถามแล้วยิ้มให้เบาๆ
ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ไม่มีอะไรค่ะ” หลังจากที่เธอก้าวเท้าเดินไปนั่งที่เดิมเมื่อสักครู่ รินน้ำผลไม้บนโต๊ะป้อนเขาหนึ่งคำแล้ว ตัวเองก็ดื่มเข้าไปคำหนึ่งด้วย บนริมฝีปากยังคงมีกลิ่นอายของหนานกงเฉิน เธอใช้มือเช็ดอย่างไม่รู้ตัว ในสมองเธอคิดถึงแต่ฉากเมื่อสักครู่ที่หนานกงเฉินแย่งจูบเธอไป
ดูแล้วหนานกงเฉินเขาคงถูกตัวเองโกรธจนบ้าไปแล้ว
--
หลังจากที่หนานกงเฉินฟังกำหนดการการทำงานของทั้งวัน ก็ถามเลขาหลินว่า:“ช่วงนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทเป็นยังไงบ้าง? มีความเคลื่อนไหวบ้างไหม?”
เลขาหลินคิดแล้วตอบ:“ช่วงนี้ท่านประธานอันไปมาหาสู่กับท่านประธานเซิ่งค่ะ แต่ที่ฉันได้ยินมา เหมือนกับว่าไม่ได้มีความหมายว่าจะขายหุ้นให้ที่อื่นนะคะ”
“ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมาตลอด คุณจับตาดูไว้ด้วย” หนานกงเฉินพูด
“โอเคค่ะ”
เลขาหลินพูดจบ ชี้ไปที่เอกสารการเงินบนโต๊ะ:“งั้นคุณชายเฉิน เอกสารพวกนี้จะจัดการยังไงคะ? ต้องประกาศออกไปไหม?”
“ไม่ต้อง เรื่องนี้ผมจัดการเอง” หนานกงเฉินสงสัยนิดหน่อย:“ช่วยไปเรียกท่านประธานเซิ่งมาให้ฉันหน่อย”
“ค่ะ” เลขาหลินหมุนร่างเดินออกไป
หลังจากนั้นห้านาที เซิ่งตงหยางก็เข้ามา
ภายนอกของเขายังคงเคารพนอบน้อมเหมือนก่อนหน้านี้:“คุณชายเฉิน ให้ตามลุงมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
หนานกงเฉินสังเกตเขา แล้วรีบเอาเอกสารบนโต๊ะโยนใส่ในมือของเขา:“คุณลุงดูเอาเองแล้วกัน”
เซิ่งตงหยางรับเอกสาร แล้วเปิดดู จู่ๆก็จ้องหน้าหนานกงเฉินด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลัน:“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเซิ่งเคอถึงทำรายการขายสินค้าของบ้านสวนฉุ่ยเซียนพันกว่าล้านหายไป? เจ้าหมอนั่นใจกล้าเกินไปไหมเนี่ย?”
“ผมก็คิดว่าเจ้าหมอนั่นใจกล้าดี”
“คุณว่าเขาต้องการเงินขนาดนี้ไปทำอะไร? หรือนี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก”
“แต่ว่า......”
“เซิ่งเคอไม่ได้มีความกล้าอย่างนี้จริงๆ แต่ถ้ามีคุณลุงหนุนหลังเขาอยู่กรณีนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้วนะ”
“คุณชายเฉินหมายความว่ายังไง?” เซิ่งตงหยางแกล้งทำว่าไม่เข้าใจ
“คุณลุง คุณยังจำบริษัทจื้อหย่วนเรื่องที่แย่งเฉิงซีนั่นไปจากในมือของพวกเราได้หรือเปล่า?”
“จำได้ ก็เป็นเรื่องที่เลขาเหยียนทำนั่นแหละ”
“ถูกต้อง แต่ที่น่าขำก็คือบริษัทจื้อหย่วนตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องนั้น ขาดเงินทุนหมุนเวียน ช่วงนี้กำลังยืมเงินกู้ไปทั่ว”
“อืม ลุงก็ได้ยินมาเหมือนกัน” เซิ่งตงหยางพยักหน้า สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว
“ไม่รู้ว่าคุณลุงได้ยินมาหรือเปล่า บริษัทจื้อหย่วนมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่คนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังคนที่ชื่อเซิ่งตงหยาง” หนานกงเฉินอ้อมมาด้านหน้าเขา มองอย่างไม่ละสายตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...