เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 224

“ตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่?” นัยน์ตาทั้งสองที่เธอจ้องไป๋มู่ชิงมีน้ำตารื้นขึ้นมา

“พวกเราเจรจาสงบศึกตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่าไหม”

จูจูเผลอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา:“เจรจาสงบศึก? เจรจาสงบศึกในความหมายของเธอคงไม่ได้ให้ฉันแทนที่เธอต่อไปใช่ไหม? เธอคงไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนึกว่าฉันเต็มใจจะตายแทนเธอใช่ไหม?”

“ฉันรู้ว่าคุณไม่ทำหรอก และฉันก็รู้ด้วยว่าช่วงนี้คุณกำลังวางแผนว่าจะหนีออกจากตระกูลหนานกงยังไงดี ไม่เพียงแค่ฉันรู้ ผู่เหลียนเหยากับหนานกงเฉินก็รู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกการกระทำของคุณถูกจับตามองอยู่” ไป๋มู่ชิงหยุดชั่วคราว แล้วพูดต่อ:“จริงสิ ฉันลืมบอกไปว่าทำไมวันนี้ถึงมาหาคุณ เพราะสองวันก่อนผู่เหลียนเหยามาหาฉัน”

จูจูตอบอย่างรีบร้อน:“เขาไปหาเธอทำไม?”

“เขาบอกฉันว่าคุณกำลังวางแผนจะฆ่าหนานกงเฉินทิ้ง” ไป๋มู่ชิงมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอ แล้วยิ้มมุมปาก:“คุณตกใจละสิ? ความจริงนี่ไม่มีอะไรต้องแปลกใจเลยนะ ใครใช้ให้คุณกำหลักฐานที่เขาทำผิดไว้ล่ะ? ถ้าไม่รีบฆ่าคุณให้ตายเขาจะสงบสุขได้ยังไง?”

“ฉันไม่เข้าใจเธอกำลังพูดเรื่องอะไร?” จูจูพูดอย่างเย็นชา

“คุณหนูจู เวลานี้พวกเราอย่าเสแสร้งแกล้งว่าไม่ได้ทำผิดอะไรอีกเลย” ไป๋มู่ชิงพูด:“ผู่เหลียนเหยาเขารู้ว่าแผนการของตัวเองกำลังจะถูกเปิดโปง เพื่อไม่ให้ถูกคุณแฉ และไม่ให้เรื่องมันถลำลึกไปไกลกว่านี้ เขารอหนึ่งเดือนหลังจากนี้ไม่ไหวที่คุณจะถูกผู้หญิงทำให้เจ็บปวดใจ เขาอยากให้คุณตายเร็วๆ แต่เขาก็ไม่อยากทำผิดขนาดที่ว่าฆ่าคนตาย ก็เลยอยากจะยืมมือฉันทำร้ายเธอจนตายยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นเขาถึงรีบวิ่งมาบอกฉันเรื่องที่คุณกำลังวางแผนทำร้ายหนานกงเฉินอยู่”

“คุณหนูจู คุณเข้าใจหรือยัง? คนที่อยากให้คุณตายจริงๆคือผู่เหลียนเหยา ตั้งแต่ตอนนั้นที่เขาทำให้คุณได้อยู่ข้างๆหนานกงเฉินเขาก็รู้แล้วว่าคุณจะถูกคุณผู้หญิงทำให้เจ็บปวดใจ แต่เพื่อให้ถึงเป้าหมายของเขาแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าฉันกับคุณจะเป็นหรือตาย โชคดีที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แต่คุณไม่......ก็คงต้องพึ่งตัวคุณเองแล้วล่ะ”

จูจูถูกคำพูดของเธอทำให้ตกใจจนเหงื่อตก สีหน้าจู่ๆก็ซีดเผือด

ครู่ใหญ่ เธอถึงจะถามออกมาเสียงสั่น:“จุดประสงค์ของผู่เหลียนเหยาคืออะไรกันแน่......?”

“นี่เป็นคำถามที่ฉันอยากจะถามคุณพอดี คุณกับเขาทำเรื่องไม่ดีด้วยกันตั้งเยอะ จะไม่รู้จุดประสงค์ของเขาได้ยังไงกัน?” ไป๋มู่ชิงจ้องเธอ

เธอนึกว่าจูจูจะรู้เสียอีก แต่สีหน้าของเธอ เหมือนกับว่าไม่รู้อะไรเลยสักนิด

และเป็นอย่างที่เธอคิดจริงๆ หลังจากที่จูจูอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ก็ส่ายหน้า:“ฉันไม่รู้ เขาไม่เคยบอกฉัน”

“ทั้งๆที่เขารู้ว่าฉันเป็นคู่ครองของหนานกงเฉิน กลับทำให้ฉันเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้นอย่างโหดเหี้ยม คุณคิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?”

“ไม่อยากให้หนานกงเฉินทนอยู่กับคู่ครองเหรอ?”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด นี่เป็นจุดประสงค์ของเขาจริงๆนั่นแหละ” ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะ:“เขาไม่เพียงแต่ต้องการสมบัติของตระกูลหนานกง ที่มากไปกว่านั้นคือต้องการชีวิตของหนานกงเฉิน ความทะเยอทะยานเยอะเสียจริง”

จูจูก้มหน้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จับหูแก้วที่มีน้ำเพียงเล็กน้อย ดูแล้วในใจคงสะเทือนใจไม่น้อย

ไป๋มู่ชิงดูปฏิกิริยาของเธอ พร้อมทั้งรินน้ำเปล่าดื่มไปด้วย ไป๋มู่ชิงไม่ได้รบกวนเธอ แค่รออย่างเงียบๆ

เงียบอยู่สักพัก ในที่สุดจูจูก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องเธอ:“งั้นเธอมาบอกฉันทำไม? ขู่ไม่ให้ฉันลงมือกับหนานกงเฉิน?”

“เปล่า ฉันหวังว่าคุณจะแยกแยะถูกผิดได้ ผู่เหลียนเหยาใช้ประโยชน์จากคุณตั้งแต่แรก”

“แล้วยังไงล่ะ? ฉันก็ใช้ประโยชน์จากเขาในการแต่งงานกับหนานกงเฉินเหมือนกัน เป็นฉันที่หาเรื่องใส่ตัว”

“งั้นตอนนี้คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเหรอ?”

“เธอสามารถทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อได้หรือไง?”

“คุณหนูจู มาจนถึงทุกวันนี้คุณจะคิดถอยหลังเพื่อตัวเองไม่ได้แล้ว ต่อให้คุณไม่ถูกคุณผู้หญิงทำให้ตาย คุณก็หนีคุกไม่พ้นหรอก บางทีฉันคงปกป้องคุณไม่ไหว แต่ยังไงซะพ่อแม่ของคุณก็เป็นคุณลุงกับคุณป้าแท้ๆของฉัน ฉันสามารถช่วยคุณปกป้องพวกเขาได้” ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยท่าทางจริงจัง:“ขอแค่คุณเอาหลักฐานที่ผู่เหลียนเหยาทำผิดประณามเขา”

“ที่แท้จุดประสงค์ที่เธอมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้?” จูจูหัวเราะเยาะ

“คุณไม่ต้องสนว่าจุดประสงค์ของฉันคืออะไร ยังไงซะหลังจากนี้หนึ่งเดือนไม่ว่าคุณจะพูดออกมาหรือไม่ ว่าฉันเป็นคู่ครองที่แท้จริง คุณล้วนแต่หนีตายได้ยาก และถ้าจะพูดถึงความรู้สึกที่หนานกงเฉินมีต่อคุณล่ะก็ ไม่ว่าฉันจะเป็นคู่ครองหรือไม่ เขาก็คงไม่อยากให้ฉันตาย เพราะฉะนั้นฉันยังสามารถช่วยคุณปกป้องคุณลุงกับคุณป้าได้”

“เธอปกป้องไหวงั้นเหรอ?” จูจูยิ้มเยาะทั้งน้ำตา

ผู่เหลียนเหยาเคยบอกเธอไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้าเธอกล้าขายเขาล่ะก็ เขาก็จะทำให้พ่อแม่ของเธอโดนฝังไปพร้อมกับเธอ และความโหดเหี้ยมของผู่เหลียนเหยา เธอได้เห็นมาตั้งนานแล้ว!

“สรุปคุณจะทำข้อตกลงกับฉันหรือเปล่าคุณก็พิจารณาเอาเองแล้วกัน” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา ก้มลงมองเธอ:“คุณหนูจู คุณโกหกหนานกงเฉินตั้งแต่เริ่มแรก คุณทำผิดต่อเขา ถ้าเขาจะแก้แค้นคุณตอนนี้ก็เป็นเพราะคุณหาเรื่องใส่ตัว”

--

หลังจากที่หนานกงเฉินเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นว่าเฉียวเฟิงนั่งมองประตูห้องอยู่

เขาเดินไป พูดอย่างไม่อ้อมค้อม:“ผมอยากคุยกับคุณหน่อย”

จนถึงตอนนี้ทั้งสองคนได้นั่งอยู่ในห้องทำงานของเฉียวเฟิงมาสิบห้านาทีแล้ว กลับไม่มีใครเริ่มพูดออกมาก่อน

สุดท้ายเฉียวเฟิงก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ:“คุณชายเฉินอยากคุยเรื่องอะไรในใจผมรู้ดี แต่ถ้าเอ่ยปากไม่ไหวจริงๆก็กลับไปเถอะครับ ผมว่าพวกเขาสองคนก็คงคุยกันเสร็จแล้วเช่นกัน”

“ผมมีอะไรต้องเอ่ยปาก?” หนานกงเฉินหัวเราะเยาะ:“ผมแค่กังวลว่าคุณจะยอมรับความจริงไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

“คุณว่ามาเถอะ ผมรับได้” เฉียวเฟิงพูด

“ความจริงก็คือผมกับมู่ชิงรักกันดี”

“ผมรู้”

“คุณรู้?” หนานกงเฉินนั่งตัวตรง แล้วมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์:“ในเมื่อคุณรู้อยู่แล้วทำไมยังต้องใช้อำนาจบีบบังคับเธอไม่ปล่อย? คุณชายรองตระกูลเฉียวคุณจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดไปแล้ว อยากให้ผมคืนมู่ชิงให้คุณอะได้ แต่ต้องจัดการคุณหนูจูให้เรียบร้อย” เฉียวเฟิงพูด:“ไม่สิ ยังมีคุณหนูผู่นั่นอีก เมื่อไหร่ที่จัดการสองคนนั่นได้ค่อยมาเอามู่ชิงจากผม”

หนานกงเฉินจ้องเขา ถามอย่างระแวง:“คุณพูดจริง?”

เขาจำได้ว่าครั้งที่แล้วเฉียวเฟิงเคยพูดไว้ ขอแค่จัดการจูจูให้เรียบร้อย เขาก็จะคืนมู่ชิงให้ แต่เขาไม่เคยจะเชื่อเลยว่าเฉียวเฟิงจะเต็มใจคืนมู่ชิงให้เขา ก็เลยไม่ได้ใส่ใจคำพูดพวกนั้นของเขา

วันนี้เขาพูดถึงอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา จ้องเขาแล้วพูด:“ผู่เหลียนเหยากับจูจูผมจะจัดการอย่างแน่นอน ขึ้นอยู่กับเวลา แต่มู่ชิง......คุณจะคืนให้ผมจริงเหรอ?”

“อาจจะคืนให้” เฉียวเฟิงตอบสองแง่สองง่าม

“ดูแล้วนี่เป็นแค่ข้ออ้างที่คุณใช้ปฏิเสธผม”

เฉียวเฟิงพูด:“ความหมายของผมคือจะแย่งมู่ชิงกับคุณ เงื่อนไขข้อแรกคือจัดการผู้หญิงสองคนนั้นให้เรียบร้อย ไม่ต้องคิดมากไป”

หนานกงเฉินยิ้มเยาะ:“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ยังไงซะผมจะแย่งมู่ชิงกลับมาอย่างแน่นอน คุณชายรองตระกูลเฉียวถ้าจิตใจคุณยังมีความดีเหลืออยู่ ปล่อยมือซะเถอะ อย่าใช้บุญคุณมารั้งมู่ชิงไว้เลย วิธีแบบนี้ไม่เพียงแต่ไร้ยางอายแถมยังขายหน้าอีกด้วย”

จู่ๆก็มีเสียงประเตาะดังมาจากประตูห้องทำงาน ทั้งสองคนหยุดพูดคุย ไป๋มู่ชิงผลักประตูแล้วเดินเข้ามา

เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะอยู่ในห้องทำงานของเฉียวเฟิง วินาทีที่เห็นหนานกงเฉิน ใบหน้าของเธอก็แสดงถึงความตกใจ

ผู้ชายสองคนในห้องทำงานกำลังมองไปยังเธอ จู่ๆบรรยากาศก็อึดอัดขึ้นมา

“มู่ชิง คุยเสร็จแล้วเหรอ?” หนานกงเฉินถามเสียงอ่อนโยน

“อืม” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“คุยเสร็จแล้วค่ะ”

“มู่ชิง มานี่หน่อย” เฉียวเฟิงกวักมือเรียกไปทางไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงก้าวเท้าเดินไป เธอยื่นมือไปจับมือที่เฉียวเฟิงยื่นออกมาหาเธอ ในใจลึกๆก็เกิดความรู้สึกไม่มีอิสระขึ้นมา ถึงขนาดที่เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของหนานกงเฉินที่คมกริบแทงมาจากด้านหลังเธอ

“คุณโอเคไหม?” เสียงของเฉียวเฟิงก็อ่อนโยนเช่นกัน

“โอเคค่ะ” ไป๋มู่ชิงถือโอกาสนั่งลงข้างเขา

เฉียวเฟิงเงยหน้ามองหนานกงเฉินที่สีหน้าไม่ค่อยดี:“คุณชายเฉิน ภรรยาของคุณน่าจะรอคุณอยู่ในห้อง ไปส่งเธอกลับบ้านเถอะ”

บนหน้าของหนานกงเฉินเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ บนหน้าทั้งเขียวทั้งขาวซีดสลับกันไป แต่สถานการณ์ของเขาเวลานี้คงทำได้แค่ออกจากที่นี่

“คุณชายเฉิน ขอบคุณที่ช่วยฉันเรื่องนี้นะคะ” ไป๋มู่ชิงพูดกับเขา จ้องไปที่สายตาของเขาเห็นถึงความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด

ว่าตามนิสัยของหนานกงเฉิน ไม่โกรธบ้าคลั่งสิถึงแปลก และก็ยากมากที่จะเห็นเขาอดทนได้ถึงขนาดนี้ เธอค่อยๆหลบสายตา ไม่ได้สู้สายตากับเขาต่อ

“ไม่เป็นไรครับ เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว” หนานกงเฉินยิ้มให้:“ยังไงซะที่คุณทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับผม”

เขาลุกขึ้นยืนจากโซฟา จ้องไปยังทั้งสองคน :“งั้นผมไปก่อนนะ ลาก่อนทั้งสองคน”

“ลาก่อน” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นไปส่งเขาออกจากห้องทำงาน

ที่หน้าประตูห้องทำงาน ไป๋มู่ชิงพูดอย่างสุภาพ:“คุณชายเฉิน ฉันไม่ออกไปส่งคุณข้างนอกนะคะ”

จู่ๆฝีเท้าของหนานกงเฉินที่กำลังจะเดินออกไปข้างนอกก็หยุดลง หันหน้ามามองเธออย่างโกรธๆ ไป๋มู่ชิงตั้งใจไม่สู้สายตากับเขา เธอนึกว่าหนานกงเฉินจ้องเธอเสร็จก็จะออกไปจากที่นี่ไปเอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะออกแรงดึงเธอมาจากประตู แล้วรีบกดเธอไปที่กำแพง ก้มหน้ากัดบนริมฝีปากเธออย่างรุนแรง

ไป๋มู่ชิงถูกเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้ง ที่นี่เป็นสถานที่สาธารณะนะ ถ้าเกิดถูกพนักงานเห็นเข้า......

“มู่ชิง คุณคอยดูว่าสักวันผมจะแย่งคุณกลับมาเถอะ” เสียงกดดันด้วยความโกรธของเขาดังขึ้นที่ข้างหู

ไป๋มู่ชิงใช้มือดันเขาออกจากตัวเองอย่างรีบร้อน แล้วแทรกตัวออกไปจากอ้อมกอดเขา กลับไปที่ห้องทำงาน

ร่างของไป๋มู่ชิงที่มาถึงในห้องทำงานหยุดอยู่ที่ประตู แล้วแอบถอนหายใจ

“เป็นอะไรไป?” เฉียวเฟิงสังเกตเธอถามแล้วยิ้มให้เบาๆ

ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ไม่มีอะไรค่ะ” หลังจากที่เธอก้าวเท้าเดินไปนั่งที่เดิมเมื่อสักครู่ รินน้ำผลไม้บนโต๊ะป้อนเขาหนึ่งคำแล้ว ตัวเองก็ดื่มเข้าไปคำหนึ่งด้วย บนริมฝีปากยังคงมีกลิ่นอายของหนานกงเฉิน เธอใช้มือเช็ดอย่างไม่รู้ตัว ในสมองเธอคิดถึงแต่ฉากเมื่อสักครู่ที่หนานกงเฉินแย่งจูบเธอไป

ดูแล้วหนานกงเฉินเขาคงถูกตัวเองโกรธจนบ้าไปแล้ว

--

หลังจากที่หนานกงเฉินฟังกำหนดการการทำงานของทั้งวัน ก็ถามเลขาหลินว่า:“ช่วงนี้ผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทเป็นยังไงบ้าง? มีความเคลื่อนไหวบ้างไหม?”

เลขาหลินคิดแล้วตอบ:“ช่วงนี้ท่านประธานอันไปมาหาสู่กับท่านประธานเซิ่งค่ะ แต่ที่ฉันได้ยินมา เหมือนกับว่าไม่ได้มีความหมายว่าจะขายหุ้นให้ที่อื่นนะคะ”

“ความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนดีมาตลอด คุณจับตาดูไว้ด้วย” หนานกงเฉินพูด

“โอเคค่ะ”

เลขาหลินพูดจบ ชี้ไปที่เอกสารการเงินบนโต๊ะ:“งั้นคุณชายเฉิน เอกสารพวกนี้จะจัดการยังไงคะ? ต้องประกาศออกไปไหม?”

“ไม่ต้อง เรื่องนี้ผมจัดการเอง” หนานกงเฉินสงสัยนิดหน่อย:“ช่วยไปเรียกท่านประธานเซิ่งมาให้ฉันหน่อย”

“ค่ะ” เลขาหลินหมุนร่างเดินออกไป

หลังจากนั้นห้านาที เซิ่งตงหยางก็เข้ามา

ภายนอกของเขายังคงเคารพนอบน้อมเหมือนก่อนหน้านี้:“คุณชายเฉิน ให้ตามลุงมีธุระอะไรหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินสังเกตเขา แล้วรีบเอาเอกสารบนโต๊ะโยนใส่ในมือของเขา:“คุณลุงดูเอาเองแล้วกัน”

เซิ่งตงหยางรับเอกสาร แล้วเปิดดู จู่ๆก็จ้องหน้าหนานกงเฉินด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลัน:“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเซิ่งเคอถึงทำรายการขายสินค้าของบ้านสวนฉุ่ยเซียนพันกว่าล้านหายไป? เจ้าหมอนั่นใจกล้าเกินไปไหมเนี่ย?”

“ผมก็คิดว่าเจ้าหมอนั่นใจกล้าดี”

“คุณว่าเขาต้องการเงินขนาดนี้ไปทำอะไร? หรือนี่เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก”

“แต่ว่า......”

“เซิ่งเคอไม่ได้มีความกล้าอย่างนี้จริงๆ แต่ถ้ามีคุณลุงหนุนหลังเขาอยู่กรณีนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้วนะ”

“คุณชายเฉินหมายความว่ายังไง?” เซิ่งตงหยางแกล้งทำว่าไม่เข้าใจ

“คุณลุง คุณยังจำบริษัทจื้อหย่วนเรื่องที่แย่งเฉิงซีนั่นไปจากในมือของพวกเราได้หรือเปล่า?”

“จำได้ ก็เป็นเรื่องที่เลขาเหยียนทำนั่นแหละ”

“ถูกต้อง แต่ที่น่าขำก็คือบริษัทจื้อหย่วนตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องนั้น ขาดเงินทุนหมุนเวียน ช่วงนี้กำลังยืมเงินกู้ไปทั่ว”

“อืม ลุงก็ได้ยินมาเหมือนกัน” เซิ่งตงหยางพยักหน้า สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว

“ไม่รู้ว่าคุณลุงได้ยินมาหรือเปล่า บริษัทจื้อหย่วนมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่อยู่คนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังคนที่ชื่อเซิ่งตงหยาง” หนานกงเฉินอ้อมมาด้านหน้าเขา มองอย่างไม่ละสายตา

สีหน้าของเซิ่งตงหยางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

เขารู้ว่าหนานกงเฉินคงเดาออกอย่างแน่นอนว่าเขาบังคับเซิ่งเคอเรื่องเงินนั่น แต่เขาไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะรู้เยอะขนาดนี้ ถึงขนาดรู้ถึงเรื่องที่เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของบริษัทจื้อหย่วน

“เฉิน คุณไปฟังใครพูดเหลวไหลมา? ลุงจะไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจื้อหย่วนได้ยังไง?” เซิ่งตงหยางพูดอย่างรีบร้อน

เขารู้ว่าหนานกงเฉินไม่ได้ตบตาเก่งขนาดนั้น ถ้าเกิดไม่ใช่ขาดเงินทุนเยอะเกินไป เขาก็คงไม่กล้าคิดจะมาบริษัทหนานกงกรุ๊ปหรอก ใครใช้ให้บริษัทหนานกงกรุ๊ปมีเงินเยอะขนาดนั้นล่ะ ถ้าเขาไม่ยืมเงินหนานกงเฉินจะให้เขายืมเงินใคร? แต่เขาไม่คาดคิดว่าหนานกงเฉินจะตรวจสอบเขาละเอียดขนาดนี้

“ผมเป็นคนตรวจสอบเอง” หนานกงเฉินพูด:“ผมยังรู้อีกว่าเซิ่งว่านเหนียนคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าของคุณลุง ความสัมพันธ์ถือว่าดีมาก แต่แค่ช่วงนี้บริษัทจื้อหย่วนเป็นสาเหตุทำให้มีปัญหา” หนานกงเฉินพูดจบ ก็ถอนหายใจออกมา:“พอแล้ว ผมไม่อยากฟังคำเถียงข้างๆคูๆของคุณลุงว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับบริษัทจื้อหย่วนอะไรทำนองนั้น แล้วผมก็ไม่อยากจะซักไซ้ด้วยว่าสรุปแล้วทำไมต้องโยกย้ายเงินก้อนโตขนาดนั้น ตอนนี้ผมคิดแค่อยากคุยกับคุณว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”

เซิ่งตงหยางไม่เอ่ยอะไรออกมา หนานกงเฉินก็เลยพูดต่อ:“คุณลุงกล้าให้เซิ่งเคอโยกย้ายเงินก้อนนี้ เพราะว่าเห็นขาดแน่แล้วว่าคุณย่าไม่มีทางส่งเซิ่งเคอเข้าคุกใช่ไหม?”

“คุณลุง ผมว่าครั้งนี้คุณพนันผิดแล้วล่ะ เงินก้อนโตขนาดนี้ ผมไม่มีทางให้เซิ่งเคอแค่สำนึกผิด ขอโทษ แล้วก็จบเรื่องนี้หรอก”

“แล้วคุณจะเอายังไง?” เซิ่งตงหยางถามด้วยหน้าไร้ความรู้สึก

“มีสองทางเลือก ข้อแรก คุณลุงคุณรับผิดชอบโดยการลาออกจากบริษัทหนานกงกรุ๊ป ข้อสอง ส่งเซิ่งเคอให้กฎหมายจัดการ” หนานกงเฉินเดินไปทางเขา แล้วจ้องเขา:“ไม่มีข้อสาม คุณพิจารณาเอาเองแล้วกัน”

เซิ่งตงหยางมองเขา แล้วส่ายหน้า:“คุณไม่มีอำนาจพอที่จะไล่ผมออก ถึงแม้ว่าหุ้นที่ผมถือจะไม่มาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นหุ้นส่วนของบริษัท ผมมีอำนาจพอที่จะทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ต่อ”

“งั้นแสดงว่าคุณลุงคุณเลือกข้อสอง?”

“คุณ......”

“ผมเข้าใจคุณลุงว่าทำไมต้องดึงดันที่จะทำงานอยู่ที่บริษัทนี้ต่อ” หนานกงเฉินยิ้ม พูดหยอกล้อ:“คุณลุงทั้งใช้ประโยชน์จากข่าวไม่ดีมากวาดซื้อหุ้นในมือของผู้ถือหุ้น ทั้งเอาเงินทุนของบริษัทไปให้บริษัทจื้อหย่วนทีละนิดๆ พอถึงตอนนั้นต่อให้บริษัทปิดตัวลง คุณก็สามารถวิ่งไปที่บริษัทจื้อหยวนยกย่องเกียรติของตัวเองได้”

มุมปากของเซิ่งตงหยางกระตุก:“คุณชายเฉิน คุณบอกว่าผมยึดครองสมบัติของบริษัทคงมีหลักฐานใช่ไหม?”

“หลักฐานใช่ว่าจะไม่มี แค่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ผมใช้วิธีทำเหมือนมองไม่เห็นกับคุณ แต่หลังจากนี้คุณต้องระวังแล้วล่ะ” หนานกงเฉินอ้อมกลับไปนั่งลงหลังโต๊ะทำงาน มองเอกสารการเงินในมือของเขา:“คุณลุงคุณลองคิดเองแล้วกันเงินก้อนโตขนาดนี้ต้องติดคุกกี่ปี ถ้าคุณอยากให้เซิ่งเคอเข้าไปจริงๆล่ะก็ คุณช่วยเอาเอกสารนี่ไปส่งที่สำหนักงานกฎหมายแทนผมหน่อย ให้พวกเขาทำเรื่องไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”

เซิ่งตงหยางมองใบหน้าที่ตัดสินใจเฉียบขาดของเขา ในใจก็โหวงเบาๆ

“คุณผู้หญิงไม่มีทางให้เซิ่งเคอติดคุกแน่ คุณอย่าคิดจะข่มขู่ผมเลย......”

“เซิ่งเคอทำผิดกฎหมายของประเทศ ไม่ใช่กฎในครอบครัว คุณย่าคงปกป้องเขาไม่ได้”

เซิ่งตงหยางเริ่มโมโห หลังจากที่ยืนกัดฟันอยู่ที่เดิมสักพัก น้ำเสียงก็อ่อนลง:“คุณให้ผมคิดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ผมให้เวลาคุณคิดหนึ่งวัน” หนานกงเฉินพูด:“หรือไม่ก็มีอีกทาง คุณเอาเงินสองพันล้านบาทมาเติมส่วนที่ขาดของบริษัทภายในวันนี้สิ”

เซิ่งตงหยางทำได้แค่กัดฟัน ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ความจริงแล้วคุณลุงลาออกเร็วหน่อยกลับบ้านไปใช้ชีวิตในวัยเกษียณก็ดีเหมือนกันนะ หรือไม่คุณก็กลับไปเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทจื้อหย่วน และทุกๆปีบริษัทหนานกงกรุ๊ปก็จะแบ่งกำไรให้คุณเหมือนเดิม” น้ำเสียงของหนานกงเฉินเย็นยะเยือก:“คุณลุง พูดตามความจริง ถ้าไม่สนใจคุณป้ากับเซิ่งเคอเซิ่งซิน ผมจัดการให้คุณออกจากบริษัทโดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงตั้งนานแล้ว ไม่มาเสียเวลาคุยกับคุณแน่นอน เพราะฉะนั้นคุณจัดการตัวเองให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นพอถึงเวลาก็อย่ามาโทษผมว่าแม้แต่ญาติพี่น้องก็ไม่สนใจ”

“แม้แต่ญาติพี่น้องก็ไม่สนใจงั้นเหรอ?” เซิ่งตงหยางหัวเราะเยาะ:“ผมไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าคุณมองพวกเราตระกูลเซิ่งเป็นญาติมาก่อน”

ไม่รอให้หนานกงเฉินเอ่ยปากพูดอะไรออกมา เขารีบพูดต่อ:“ช่างเถอะ ขนาดเซิ่งเคอยังพูดว่าพวกเราตระกูลเซิ่งเกาะตระกูลหนานกงของคุณทำให้ร่ำรวยขึ้น ต่อให้คุณที่อยู่ตระกูลหนานกงจะมองเหยียดก็คงเป็นเรื่องปกติ” เขายักไหล่ แล้วหมุนร่างออกไปจากห้องทำงานของหนานกงเฉิน

--

หลังจากที่เซิ่งตงหยางออกมาจากห้องทำงานของหนานกงเฉินไม่ได้ตรงกลับไปที่ทำงานของตัวเอง แต่มาที่ห้องทำงานของเซิ่งเคอ เลขาบอกเขาว่าวันนี้เซิ่งเคอไม่มาทำงาน

เขารีบถามอย่างประหลาดใจ:“ทำไมล่ะ?”

เลขาส่ายหน้า:“ไม่ทราบค่ะ ประธานเซิ่งไม่ได้บอกไว้”

เซิ่งตงหยางหมุนร่างเดินกลับพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเบอร์ของเซิ่งเคอ โทรติดแล้ว เสียงของเซิ่งเคอที่ดูไม่มีแรงดังออกมา:“เงินก็ให้พ่อไปหมดแล้ว พ่อจะโทรหาผมทำไม?”

“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่มาบริษัท” เซิ่งตงหยางซ่อนหน้าแล้วถาม

“ทำงาน?” เซิ่งเคอหัวเราะเยาะตัวเอง:“พ่อคิดว่าผมยังมีหน้าไปทำงานอีกเหรอ?”

“แกอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปหาแกตอนนี้”

“มาหาผมทำไม? จะให้ผมช่วยเรื่องเงินอีกเหรอ?” เซิ่งเคอใช้น้ำเสียงเย้ยหยันต่อ:“พ่อ ผมเคยบอกพ่อแล้ว พี่เขาสงสัยพ่ออยู่ กับผมเขาก็จับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะงั้นถึงสามารถตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับรายการเงินที่หายไปได้เร็วขนาดนี้”

เซิ่งตงหยางขมวดคิ้ว:“ในเมื่อรู้แล้วว่าหนานกงเฉินตรวจหาความจริงเจอแล้ว แล้วทำไมแกยังไม่หนีไปอีก?”

“หนี?”

“ก็ใช่น่ะสิ ชิงหนีไปต่างประเทศก่อนที่หนานกงเฉินจะลงมือกับแก” น้ำเสียงของเซิ่งตงหยางจริงจังไม่น้อย:“เซิ่งเคอ แกฟังนะ หนานกงเฉินรับปากฉันว่าจะให้เวลาคิดหนึ่งวัน ถ้าไม่ลาออกจากบริษัทหนานกงกรุ๊ป ก็ต้องส่งแกให้กฎหมายจัดการ ฉันว่าแกก็คงไม่อยากจะทิ้งคู่หมั้นพิการของแกไปติดคุกหรอกใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นรีบหนีเถอะ ไปที่ๆกฎหมายไม่สามารถทำอะไรแกได้”

เซิ่งเคอเงียบ แล้วจู่ๆก็หัวเราะออกมา:“พ่อ นี่เป็นหนทางหลังจากนี้ที่พ่อวางไว้ให้ผมเหรอ?”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แต่ผมไม่ได้อยากหนี พ่อวางใจเถอะ พ่อไม่ต้องออกจากบริษัท หลักฐานเป็นผมที่ทำผิด ผมจะรับผิดชอบเอง”

“เซิ่งเคอ!” เซิ่งตงหยางโมโหแล้ว:“แกอย่าลืมว่าแกทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แกทำไปก็เพื่อคุณหนูผู่ ถ้าแกถูกจับเข้าไปล่ะก็อย่างน้อยก็คงมากกว่าสิบปี แกคิดว่าคุณหนูผู่เขาจะเต็มใจรอแกถึงสิบปีเหรอ? ที่แกทำนี่มันจะไปมีความหมายอะไร?”

“ทั้งหมดนี่ก็เพราะพ่อบังคับผม!” จู่ๆเซิ่งเคอก็ตะโกนออกมา:“พ่อ ถ้าผมแยกกับผู่เหลียนเหยา นั่นก็เป็นเพราะพ่ออย่างแน่นอน!”

“ตอนนี้ฉันให้ทางหนีทีไล่แกแล้วนะ” เซิ่งตงหยางพูดน้ำเสียงอบอุ่น:“เซิ่งเคอ แกไปฝรั่งเศสอย่างสบายใจเถอะ ก่อนหน้านี้ฉันไปจัดการที่นั่นไว้หมดแล้ว แกกับคุณหนูผู่สามารถไปใช้ชีวิตที่นั่นได้เลย เชื่อฉัน รีบเก็บของแล้วไปจากที่นี่ซะ”

เซิ่งเคอที่อยู่ในสายเงียบลง สุดท้ายก็วางสาย

--

จูจูหาโอกาสที่เสี่ยวลวี่ไม่สนใจ มาที่ห้องของผู่เหลียนเหยา

เธอมองไปรอบๆห้อง หลังจากนั้นเดินไปทางดาดฟ้า:“เหลียนเหยา เธอเรียกฉัน?”

“อืม นั่งสิ” ผู่เหลียนเหยารินชากุหลาบให้เธอ

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” จูจูเหลือบมองเธอ ในสมองคิดแต่คำพูดที่ไป๋มู่ชิงพูดกับเธอ

“ไม่มีอะไร ก็แค่เรียกมาคุยกันสักหน่อย ร่างกายฉันไม่ค่อยสะดวกทำได้แค่เรียกคนจากด้านนอกเข้ามา” ผู่เหลียนเหยายกแก้วชาขึ้นดม:“ดอกกุหลาบพวกนี้เป็นของคนนิวซีแลนด์ที่เซิ่งเคอเรียกมาพามาด้วย หอมดีนะ เธอดมดูสิ”

“หอมจริงๆ” จูจูยกแก้วชาขึ้นมาดมด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย

“จริงสิ เธอคิดหาทางออกแล้วหรือยัง?” จู่ๆผู่เหลียนเหยาก็ถามขึ้นมา

จูจูวางแก้วชาลง จ้องเธอด้วยใบหน้าเศร้า:“ฉันคิดมาแล้ว ไม่ว่ายังไงถ้าอยากจะหนีให้ผ่านเรื่องครั้งนี้ให้ได้ วิธีของเธอดูเหมือนจะได้ผลมากที่สุด”

ผู่เหลียนเหยาเหมือนจะตกใจ เหลือบมองดูเธอ:“เธอหมายถึง เธอตัดสินใจทำตามความเห็นของฉันแล้ว?”

“อืม แต่ฉันคงต้องขอความช่วยเหลือจากเธอ”

“งั้นก็คงไม่ได้ ช่วงนี้พี่ชายเขาจับตาดูฉันอยู่ เพราะงั้นคงไม่สะดวกที่จะทำเรื่องพวกนี้”

“เธอช่วยฉันซื้อถังน้ำมันมา แล้วกลางคืนก็ช่วยดึงความสนใจคนหน้าประตูห้องฉันหน่อย เรื่องพวกนี้สำหรับเธอแล้วน่าจะเป็นเรื่องเล็กๆนะ?” จูจูมองเธอแล้วยิ้มเยาะ:“เหลียนเหยา เธออยากยืมมือฉันกำจัดหนานกงเฉิน เรื่องง่ายๆแค่นี้คงต้องช่วยสิถูกไหม”

“เธอพูดบ้าอะไรของเธอ? ฉันจะอยากให้หนานกงเฉินตายทำไม?”

“หนานกงเฉินตายแล้ว ตระกูลหนานกงก็เป็นของเธอกับเซิ่งเคอไม่ใช่หรือไง?” จูจูยิ้มเย้ยหยัน:“พวกเรามาถึงขั้นนี้กันแล้ว ยังมีอะไรต้องหลบๆซ่อนๆอีกล่ะ?”

ผู่เหลียนเหยากัดฟัน แล้วเปลี่ยนคำพูด:“เรื่องง่ายๆแค่นั้นใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ง่ายๆอย่างนั้นเลย ไม่เกินสามวันบริษัทหนานกงกรุ๊ปก็จะเป็นของพวกเธอ”

“ฉันขอคิดหน่อย”

“ง่ายๆขนาดนั้นยังต้องคิดอีก?” จูจูไม่เข้าใจ:“ถ้าไม่ใช่เพราะฉันถูกกักบริเวณล่ะก็ ฉันไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วยหรอก”

ผู่เหลียนเหยาจ้องเธอ สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดทีละนิด:“เพราะฉันไม่อยากให้หนานกงเฉินตายง่ายขนาดนั้น นี่จะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ฉันต้องการ”

“คุณหนูผู่ ตอนนี้มันเวลาไหนกันแล้ว เธอยังไร้เดียงสาขนาดนี้อีก?” จูจูกวาดสายตามองขาทั้งสองข้างของเธอแล้วเยาะเย้ย:“ตอนนี้นอกจากเซิ่งเคอที่เชื่อว่าเธอขาพิการแล้วยังจะมีใครเชื่ออีก? แหของหนานกงเฉินใกล้จะทอดคลุมสมองเธอลงมาแล้ว ถ้าฉันเป็นเธอ คงรีบเก็บที่นอนหอบเงินก้อนโตหนีเอาตัวรอดไปแล้ว”

ผู่เหลียนเหยาถูกเธอพูดจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงแม้ว่าเธอจะโกรธมาก แต่ที่จูจูพูดมาเป็นเรื่องเป็นราวนั้น เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเรื่องจริง

เค้าโครงเรื่องที่เธอวาดฝันไว้คือมองตระกูลหนานกงเลือกใช้ใจฆ่าคน ผลสุดท้ายไม่เพียงแต่เลือกใช้ใจผิดแถมยังทำผิดกฎหมายอย่างโง่เขลาอีกด้วย อีกทั้งอาการป่วยแปลกๆของหนานกงเฉินไม่เพียงแต่ไม่มีทางดีขึ้น ในทางกลับกันยิ่งร้ายแรงขึ้นทุกวัน หลังจากนั้นเขาก็ถูกความเจ็บปวดนั่นทรมานทีละนิดๆ มองตระกูลหนานกงเปลี่ยนชื่อกลายเป็นของเธอและเซิ่งเคอ

แต่ทว่าความจริงในตอนนี้คือไป๋มู่ชิงที่เป็นคู่ครองที่แท้จริงของเขากลับยังมีชีวิตอยู่ หนานกงเฉินก็เริ่มเคลือบแคลงเธอ ถ้าเธอไม่ลงมือตอนนี้ เธออาจจะรอให้หนานกงเฉินตายอย่างช้าๆไม่ทัน ตัวเองอาจจะถูกหนานกงเฉินฆ่าตายซะก่อน

เพราะฉะนั้นเธอต้องรีบฉวยโอกาสตอนนี้ที่หนานกงเฉินยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอคืออะไรลงมือซะ หลังจากที่ใช้จูจูให้ลงมือกับหนานกงเฉิน แล้วค่อยกำจัดจูจูยัยระเบิดเวลาคนนี้ สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้เป็นแค่งานที่สมบูรณ์ชั่วคราว

ทั้งสองคนดื่มชาตกอยู่ในความคิดของตัวเอง จนถึงเสียงเปิดประตูดังขึ้น จูจูถึงจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หันไปยิ้มให้เธอ:“เธอคิดดูแล้วกันว่าจะช่วยฉันหรือเปล่า ฉันไปก่อนล่ะ”

คนที่ผลักประตูเข้ามาคือเซิ่งเคอ

หลังจากที่จูจูหันไปทักทายเขา ก็ก้าวเท้าเดินออกไป

หลังจากที่เซิ่งเคอเห็นว่าเธอออกไปแล้ว เดินไปที่ผู่เหลียนเหยาที่โมโหอยู่ข้างๆตัวเอง:“เหลียนเหยา ผู้หญิงดุร้ายขนาดนี้ ทำไมคุณถึงสนิทกับเขาล่ะ?”

ผู่เหลียนเหยาอมยิ้ม:“ยังไม่ถือว่าสนิทขนาดนั้นนะ เธอพึ่งขึ้นมาคุยกับฉัน ฉันก็ไม่สามารถไล่เธอไล่ออกไปได้”

เธอสังเกตเซิ่งเคอ พบว่าสีหน้าของเขาดูขาดสีสันกว่าปกติ ก็เลยถามอย่างเป็นห่วง:“คุณเป็นอะไรไป? งานไม่ราบรื่นเหรอ? จริงสิ วันนี้วันทำงานนี่ ทำไมตอนบ่ายคุณก็กลับมาแล้วล่ะ?”

เซิ่งเคอก้มหน้าลง เงียบจนดูไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“เกิดอะไรขึ้น? ท่าทางอย่างกับเจอปัญหา” ผู่เหลียนเหยาถามอีก

สุดท้ายเซิ่งเคอก็ขยับตัว โน้มตัวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ลูบผมของเธอ:“เหลียนเหยา พวกเราย้ายออกไปดีไหม?”

ผู่เหลียนเหยานิ่งอึ้งไป ถามด้วยความสงสัย:“ทำไมล่ะ? เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”

“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

“แต่ว่า......พวกเราจะย้ายไปที่ไหน?” ผู่เหลียนเหยายังคงไม่เข้าใจ

“ไปต่างประเทศ ไปฝรั่งเศสที่คุณชอบเป็นไง?”

“ไม่เอา” ผู่เหลียนเหยาส่ายหน้า:“ถึงแม้ว่าฉันจะชอบประเทศฝรั่งเศส แต่ฉันไม่อยากสร้างรากฐานอยู่ที่นั่น ฉันอยากอยู่ในประเทศของตัวเองมากกว่า”

ความจริงเธอรู้อยู่แล้วว่าเซิ่งเคอจะพูดเรื่องพวกนี้กับเธอ เพราะเมื่อสักครู่คุณหญิงเซิ่งโทรมาหาเธอบอกให้เธอโน้มน้าวให้เซิ่งเคอให้ไปต่างประเทศ ตอนนั้นเธอตอบรับเต็มปาก แต่ก็แค่ตอบรับไปเท่านั้นเอง ออกจากตระกูลเซิ่ง? ตอนนี้เธอยังไม่เตรียมอะไรทั้งสิ้น!

“แต่ครั้งนี้ผมต้องไปให้ได้”

“เซิ่งเคอ ความจริงแล้วฉันรู้ว่าทำไมคุณต้องไป คุณป้าบอกฉันแล้ว” นัยน์ตาทั้งสองข้างของผู่เหลียนเหยา มีน้ำตาไหลลงมา น้ำเสียงจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นสะอึกสะอื้น:“ขอโทษนะ โทษฉันที่ฉันไม่ดี เพราะฉันมาพัวพันกับคุณ”

“คุณอย่าพูดแบบนี้” เซิ่งเคอตีไหล่เธอเบาๆ:“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ เป็นเพราะพ่อผมโลภเกินไป เพราะเขาบังคับต่างหาก”

“ทำไมคุณถึงโง่ขนาดนี้อะ” น้ำเสียงของผู่เหลียนเหยาเต็มไปด้วยความสงสาร

“เพื่อคุณแล้ว ครั้งนี้ผมยอมโง่” เซิ่งเคอปล่อยเธอ ก้มหน้ามองเธอ:“เพราะฉะนั้น ออกจากที่นี่ด้วยกันกับผมได้ไหม?”

“แต่ว่า......ถ้าฉันไปทั้งแบบนี้ ตระกูลหนานกงล่ะจะเอายังไง? พวกเราจะไม่สนแล้วเหรอ? ยังเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เป็นวันครบสามปีที่พี่ชายกับพี่สะใภ้แต่งงานกันแล้วนะ พอถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าคฤหาสน์อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เซิ่งเคอ ตอนแรกไม่ใช่ว่าคุณเป็นคนบอกฉันให้ปกป้องตระกูลหนานกงให้ดี ช่วยเหลือตระกูลหนานกงให้ข้ามผ่านความยากลำบากทุกรูปแบบไม่ใช่เหรอ?” เธอยื่นมือทั้งสองมา ประคองที่หน้าเซิ่งเคอแล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน:“เซิ่งเคอ คุณไปฝรั่งเศสก่อน ฉันจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณย่า รอให้เรื่องของท่านผู้หญิงจิ้งผ่านไปก่อน ฉันจะรีบตามไปฝรั่งเศสไปอยู่กับคุณดีไหม?”

“คุณให้ผมไปก่อนคนเดียว?”

“ถูกต้อง” ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า:“หลังจากที่รอคุณไปแล้ว ฉันจะหาโอกาสขอร้องคุณย่ากับพี่ชาย เชื่อว่าพวกเขาต้องให้อภัยคุณแน่ และให้โอกาสคุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

เซิ่งเคอส่ายหน้า:“ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน ถ้าคุณไม่ไปผมก็ไม่ไป”

“เซิ่งเคอ ถ้าเรื่องนี้ตกไปอยู่ในมือของสำนักงานกฎหมายแล้วล่ะก็ กลายเป็นคดีอาญา คุณติดคุกเลยนะ” ผู่เหลียนเหยาโน้มน้าวต่อไป:“เพราะฉะนั้นคิดถึงอนาคตของพวกเราไว้ คุณไปก่อน ไม่งั้นพวกเราจะไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันจริงๆแน่”

“แต่ว่า......”

“ไม่มีแต่แล้ว” ผู่เหลียนเหยาฝืนยิ้มแล้วพูดแทรกเขา:“ที่รัก นี่เป็นทางออกทางเดียวของพวกเรา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด