“หนานกงเฉิน อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ!”คุณผู้หญิงหันไปจ้องเขาที่อยู่ในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห“ฉันเตือนเธอ วันนี้เธอไม่ยอมให้ฉันพาเธอกลับไป วันหลังถ้าอยากพาเธอไปอย่ามาขอร้องฉันแล้วกัน!”
“คุณย่า จะพอได้แล้วหรือยัง!”หนานกงเฉินก็โมโห
ไป๋มู่ชิงเห็นพวกเขาย่าหลานทั้งสองคนมองกันไปมา เลยรีบไปดึงแขนหนานกงเฉินพูดว่า“คุณชายใหญ่ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน อย่าใช้แต่อารมณ์เลย”
หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าไปลึกๆ หันไปพูดกับเธอ ไปตบที่มือเธอเบาๆและพูดอย่างอ่อนโยนว่า“มู่ชิง เธอกลับห้องไปก่อน เดี๋ยวที่นี่ฉันจัดการเอง”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่คุณผู้หญิง หลังจากที่พยักหน้าแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้อง
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงไปแล้วนั้น หนานกงเฉินหันไปจ้องคุณผู้หญิงด้วยท่าทางที่เคร่งครึมและจริงจังว่า“คุณย่า ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกไปแล้วว่ามู่ชิงไม่ใช่จูจู ผมอย่างไรก็ไม่ให้ย่าไปเตะต้องเธอ ก็ถือว่าเธอต้องการที่จะกลับมาที่ตระกูลหนานกง และก็จะไม่กลับไปทนทรมานกับคุณย่าอีกแล้ว แต่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต”
“ถ้าหากว่าชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ เธอจะเอาอะไรไปอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต?”
“ถ้าหากว่าเธอไม่มีชีวิตแล้ว ยังไงผมก็จะไม่ใช้ชีวิตลำพังหรอก ผมพูดคำไหนคำนั้น”
“แก......”คุณผู้หญิงพูดไม่ออก จ้องเขาอย่างเหลือเชื่อว่า“เธอกล้ามาใช้อำนาจกับฉันเหรอ?”
“ถูกต้อง”หนานกงเฉินกัดฟันพูด“ผมทนทรมานมามากเกินพอแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่ทนอีกต่อไปอีกแล้ว เรื่องของหยางหลี่ก็ผ่านมาแล้วผมไม่จำเป็นต้องสองถามหรอก แต่ว่าผมไม่ได้หวังว่าเรื่องนี้จะไปเกิดผลกระทบกับไป๋มู่ชิง”
หนานกงเฉินพูดจบ ก็ไปพูดกับพี่เหอว่า“พี่เหอ รบกวนพี่ไปส่งคุณย่ากลับหน่อย”
พี่เหอมองเขาและคุณผู้หญิงมองแล้วมองอีก ในที่สุดก็เดินไปพยุงแขนของคุณผู้หญิงและพูดอย่างปลอบโยนว่า“คุณผู้หญิง พวกเรากลับไปก่อนดีกว่าค่ะ”
พอพูดจบ เธอก็รีบส่งสายตาให้คุณผู้หญิง
คุณผู้หญิงถึงแม้จะไม่ยอม แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องยอมแพ้ให้กับหนานกงเฉิน ได้แต่เดินออกไปด้วยความโกรธแค้น
พี่เหอรีบเดินตามเธอไปและพูดออกมาด้วยความห่วงใย“คุณผู้หญิง ท่านอย่ารีบเดินขนาดนั้นสิคะ เดียวจะหกล้มเอา”
“ล้มตายไปเลยยิ่งดี ถ้าตายไปก็จะได้ไม่ต้องมาทนกับอะไรแบบนี้แล้ว”คุณผู้หญิงพูดออกมาด้วยความโมโหจนหายใจไม่ทัน
“คุณผู้หญิง ท่านก็รู้อยู่ว่ายังไงคุณชายใหญ่ก็ไม่ให้ท่านไปทำร้ายคุณหนูไป๋หรอก ตอนที่มาพวกเราก็ไม่ได้มีความหวังอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?ท่านพูดว่าท่านกับคุณชายใหญ่ทะเลาะกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งไม่พูด กลับทำมาทำร้ายให้ความสัมพันธ์ย่าหลานยิ่งแย่ลงไปอีก”
คำพูดพวกนี้เป็นเรื่องจริง จริงๆแล้วตอนที่พวกเธอมาก็พอจะเดาออกได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ในตอนแรกเป็นจูจู หนานกงเฉินก็ไม่อนุญาตเธอทำตามวิธีของท่านอาจารย์หวัง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไป๋มู่ชิงสุดที่รักของเขา?
คุณผู้หญิงทนไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ถึงแม้จะโกรธแต่กลับจำเป็นต้องยอมรับกับเรื่องนี้
ไป๋มู่ชิงแอบฟังอยู่ที่ประตูอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินว่าที่หน้าประตูไม่ได้การเคลื่อนไหวอะไรแล้วถึงจะเปิดประตูออกไปดู
ตอนที่เธอเดินออกไปนั้น หนานกงเฉินกำลังยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ในมือถือบุหรี่อยู่ ในควันบุหนี่ที่ลอยขึ้นไปนั้น ท่าทางของเขาเคร่งขรึมมาก
“คุณย่าไปแล้วเหรอ?”เธอเดินไปถามและไปหยิบบุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งมวนที่เหลือมาแล้วไปดับในที่เขี่ยบุหรี่ข้างๆ
“ใช่ท่านไปแล้ว”หนานกงเฉินหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาที่ค่อยๆเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดหัวใจ“มู่ชิง เชื่อฉันนะ ยังไงฉันก็จะไม่ให้คุณย่ามาทำร้ายเธอได้อีก”
“ฉันเชื่อคุณค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
“ฉันจะพาเธอกลับไปที่ตระกูลหนานกง แต่ว่าจะไม่ทำร้ายจิตใจเธอแต่จะอยู่ใช้ชีวิตกับเธออย่างดีเลย”
“คุณชายเฉิน......”
“ชู่ว......”หนานกงเฉินเอานิ้วชี้ไปวางบนริมฝีปากของเธอ รีบทำเสียงและโบกมือกับเธอ“ฉันรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไร เธอไม่ต้องรีบปฏิเสธฉันขนาดนี้ก็ได้นะ”
“คุณชายเฉิน วันนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว”
หนานกงเฉินไตร่ตรองดูและพยักหน้า“เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”
เขาพูดจบรีบหันไปหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ เห็นเขาเดินออกไปข้างนอก ไป๋มู่ชิงตกใจมาก
นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมให้เธอกลับไปด้วย?ยิ่งกว่านั้นก็ไม่คิดว่าจะกระทันหันขนาดนี้เลยเหรอ?นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว
ไม่มีเวลาไปคิดมาก เธอก็รีบเดินตามเขาและออกไปจากที่นั่นด้วยกัน
หนานกงเฉินไม่ได้หลอกเธอ เขาไปส่งเธอที่บ้านสวนตระกูลเฉียวจริงๆ ไป๋มู่ชิงปลดเข็มขัดนิรภัยออก หันไปจ้องเขาและพูดว่า“ขอบคุณนะคะ ฉันเข้าไปก่อนนะ”
หนานกงเฉินมองที่บ้านสวนนั้นผ่านออกมาจากหน้าต่างรถ มองเธอแล้วยิ้ม“ไม่เชิญให้ฉันเข้าไปหน่อยเหรอ?”
เขาอยากเข้าไปเหรอ?นี่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกค่อยข้างลำบากใจ
หนานกงเฉินไม่รอให้เธออนุญาต ก็เปิดประตูรถออกมา หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน
“คุณชายเฉิน คุณจะทำอะไร......?”ไป๋มู่ชิงก็รีบลงรถตามเขาเข้าไป
เฉียวเฟิงยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย ถ้าหากว่าเขาเข้าไปแบบนั้นมันหมายความว่าตั้งใจเพิ่มความกลุ้มใจให้เฉียวเฟิงหรอกเหรอ?
เฉียวเฟิงที่อยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงเพราะเขาพึ่งออกมาจากห้องพอดี ตอนที่เห็นหนานกงเฉินนั้นเขาก็ทำสีหน้าที่ตกใจมาก ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าฟังอย่างไร ได้แต่อ้ำอึ้งและมองเขาด้วยสีหน้าที่กังวลใจ
เฉียวเฟิงจ้องไปที่ไป๋มู่ชิง ยิ้มแห้งๆ“เธอกลับมาแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ”ไป๋มู่ชิงเดินไปหาเขา ไปยืนนิ่งๆอยู่ข้างหน้าเขา“หลักฐานที่จูจูส่งมาให้ฉันได้แล้ว ผู่เหลียนเหยาก็โดนจับไปแล้ว ดังนั้นฉันเลยกลับมาแล้ว”
“อย่างนั้นในที่สุดเธอก็ปลอดภัยแล้วสินะ?”
“ใช่แล้วค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เธอหันกลับไปมองหนานกงเฉินที่อยู่ข้างหลัง พูดว่า“คุณชายเฉินเขามาส่งฉัน พูดว่าอยากเขามานั่งสักหน่อย ได้ใช่ไหมคะ? ”
เฉียวเฟิงมองผ่านไป๋มู่ชิงและจ้องไปที่หนานกงเฉิน ไม่รอให้เขาแสดงท่าทีออกมา หนานกงเฉินเดินเข้ามาเองและพูดว่า“ในที่สุดมู่ชิงปลอดภัยแล้ว เรื่องดีขนาดนี้พวกเราจะไม่ฉลองกันได้อย่างไรกันล่ะ?”
ระหว่างที่พูดนั้น เขาก็เดินเข้าไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธเลย
“ฉันเข้าใจ”เฉียวเฟิงยิ้มให้กับเธอและหมุนตัวกลับเข้าไปข้างใน
ความลับระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นโดนหนานกงเฉินเก็บไว้ในสายตา หนานกงเฉินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกลังเล หันไปพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“มู่ชิง ดีเลยพวกเรายังไม่ได้ทานอาหารเย็น รบกวนทำอาหารเพิ่มอีกชุดหนึ่งหน่อยนะ ขอบคุณมาก”
ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก ในใจคิดว่าเขานี่มันได้คืบจะเอาศอก
เธอพยายามพูดออกมา ในขณะนั้นก็มองไปที่เฉียวเฟิง เขายิ้มให้เธอโดยไม่รู้สึกรำคาญเลย“ไปกันเถอะ ฉันก็ยังไม่ได้ทานข้าวพอดีเลย”
ถึงแม้ว่าเฉียวเฟิงจะพูดออกมาแล้ว แต่ไป๋มู่ชิงยังรู้สึกว่าทานข้าวด้วยกันสามคนมันค่อนข้างที่จะไม่สบอารมณ์ ยิ่งกว่านั้นทิ้งพวกเขาไว้สองคนแล้วเธอออกไปซื้ออารหารแล้วถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาอีกล่ะจะทำอย่างไร?
สัมผัสได้ถึงความกังวลของเธอ เฉียวเฟิงเลยพูดออกไปอย่างปลอบโยนว่า“ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”
สุดท้ายแล้วไป๋มู่ชิงก็ออกไปซื้อวัตถุดิบของอาหารเย็น
ไป๋มู่ชิงพึ่งจะออกไป เฉียวเฟิงหันไปพูดเยาะเย้ยว่า“หนานกงเฉิน ฉันรู้สึกว่านายควรเปลี่ยนชื่อจากหนานกงเฉินเป็นล่ายผีนะ
หนานกงเฉินกลับไม่ได้โกรธอะไร แต่เขายักไหล่พูดว่า“ถ้านายยังไม่ปล่อยมู่ชิงอีก ฉันรู้สึกว่านายยิ่งไม่เหมาะกับชื่อนี้”
เขาเดินไปข้างหน้า มองลงไปที่เฉียวเฟิงและพูดต่อว่า“ยังจำที่นายสัยญาไว้ได้ไหม?ถ้าฉันจัดการจูจูกับผู่เหลียนเหยาได้แล้วนายจะคืนไป๋มู่ชิงให้ฉัน”
เฉียวเฟิงหันกลับมาส่ายศีรษะและยิ้มเยาะ“นายคิดว่าทุกอย่างไม่จบลงแล้วเหรอ?มันยังไม่จบหรอกนะ”
หนานกงเฉินกระวนกระวายใจ โมโหขึ้นมาในชั่วพริบตา“ดูแล้วก่อนหน้านี้ที่นายสัญญาไว้เป็นเพียงข้ออ้างที่จะมาขัดขวางฉัน ไม่ได้น่าเชื่อถือตั้งแต่แรก”
“หนนกงเฉิน ถือว่านายจัดการจูจูกับผู่เหลียนเหยาแล้ว แต่ว่าคนที่อันตรายที่สุดนายก็ยังไม่ได้จัดการเลย และคงจะจัดการไม่ได้ไปตลอด”
“นี่นายหมายถึงคุณย่าของฉัน?”
“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?”
หนานกงเฉินอ้ำอึ้งไปเลย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าจัดการไม่ได้
ขนาดเมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงบังคับไป๋มู่ชิง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องรีบกลับมาส่งไป๋มู่ชิงกลับมาอาจจะโดนพาไปที่คระกูลหนานกงแล้ว ไม่สิ อาจจะโดนคุณผู้หญิงจับตัวไปซ่อนไว่ที่ไหนสักที่หนึ่งแน่ๆ
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงทั้งมหด แต่เขาโกรธมาจนอยากจะฆ่าเฉียวเฟิง เขากลั้นความโกรธเอาไว้และพูดว่า“ถาอย่างนั้นนายคิดที่จะคืนมู่ชิงให้ฉันบ้างไหม?”
“ฉันยังยืนยันคำเดิม รอวันที่นายสามารถปกป้องมู่ชิงได้ค่อยมาคุยกับฉัน”เฉียวเฟิงพูดอกมาอย่างเย็นชา
“นี่นายหลอกฉันตั้งแต่แรกเหรอ!”หนานกงเฉินเอนตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขา โกรธอย่างมาก
เฉียวเฟิงกลับไม่มีร่อยรอยของความโกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยกมือขึ้นมาเอามือของเขาออกจากเสื้อของตัวเอง พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ว่า“คุณชายเฉิน นายมีเหตุผลหน่อยสิ จะได้ไม่ทำให้มู่ชิงทรมาน”
หนานกงเฉินยอมแพ้ เขายังหวังว่าให้ไป๋มู่ชิงกลับมาอยู่ข้างกายเขาจากเฉียวเฟิง ดูแล้วยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
แม้กระทั่งอาหารเย็นเขาก็ไม่กิน เขาเลิกมองเฉียวเฟิงด้วยสายตาที่โกรธแค้น หันหลังเดินออกไปจากประตูใหญ่
เห็นภาพที่เขาจากไปนั้น ในที่สุดเฉียวเฟิงก็จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
ไป๋มู่ชิงซื้ออาการเสร็จก็กลับมา เห็นว่าในบ้านเหลือแต่เฉียวเฟิงคนเดียว เธอกวาดตามองไปรอบๆและถามว่า“หนานกงเฉินล่ะ?”
“เขาไปแล้ว”เฉียวเฟิงพูดออกมาเบาๆ และหันขึ้นมาจ้องเธอที่ฝืนยิ้มทันที“เป็นอะไรไป?ผิดหวังเหรอ?”
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เขาอยู่ที่นี่ฉันรู้สุกไม่สบายใจ”ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วยิ้มอีก“ไปแล้วก็ดีแล้ว”
ก็จริง ไปแล้วก็ดีแล้ว!
“มู่ชิง......”เฉียวเฟิงกวักมือเรียก ไป๋มู่ชิงเลยเดินเข้าไปหา จับฝ่ามือของเขาและมองไปที่เขาว่า“เป็นอะไรไป?หรือว่าเขายั่วโมโหคุณอีกแล้ว?”
ผู่เหลียนเหยาส่ายศีรษะปฏิเสธ“ไม่ใช่ ไม่ว่าเขาจะยั่วฉันแบบไหน ขอเพียงแค่เธอยอมอยู่ข้างๆฉัน ฉันก็จะไม่โกรธหรอก”
ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วยิ้มอีก ในใจคิดว่ายังไงหนานกงเฉินก็ต้องโกรธ ยังไงก็ต้องโมโหถึงจะจากไป
ในตอนนั้นเอง เธอไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมา
“มู่ชิง ฉันแค่อยากถามเธอว่า คำพูดที่เธอเคยพูดออกมายังนับอยู่ไหม?”เฉียวเฟิงทำหน้าจริงจังมากเพื่อรอคำตอบ
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า“รอฉันจัดการเรื่องอะไรเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปต่างประเทศหาหว่านชิงกัน สัญญาข้อนี้ฉันจำได้ตลอดแหละ”
“อย่างนั้นก็ดี”เฉียวเฟิงยกมือขึ้นไปลูบๆหัวของเธอ“ฉันกลัวเธอเปลี่ยนใจมากๆเลย”
“ไม่มีวันหรอก”ตอนที่ไป๋มู่ชิงพูดคำพูดพวกนั้นออกมารู้สึกว่าเหมือนเลือดไหลอยู่ในใจ
เธอไม่รู้ว่าต้องรอกี่วันหลังจากที่เธอกับเฉียวเฟิงไปต่างประเทศแล้ว หนานกงเฉินจะเป็นอย่างไ เธอก็อดคิดไม่ได้
ไม่ง่ายเลยทีเดียวทีตะรอพบหน้ากับผู่เหลียนเหยา ผู้คุมบอกว่าเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาไม่อยากเจอเธอ แค่อยากเจอไป๋มู่ชิงแค่คนเดียว
“ทำไมกันล่ะ?”เซิ่งเคอรีบถามออกไปว่า“ฝากคุณไปบอกเธอหน่อย ไป๋มู่ชิงไม่มีวันที่จะมาเยี่ยมเธอหรอก คนที่อยากเจอเธอน่ะคือฉันเอง”
“คุณเซิ่งเคอ ผู้ที่กระทำความผิดไม่สามารถไปพบกับครอบครัวได้ก่อนที่จะประกาศคำตัดสิน ยิ่งกว่านั้นคุณหนูผู่ก็ไม่อยากเจอคุณแล้ว ดังนั้น......กลับไปเถอะ”ผู้คุมพูดจบ ก็พูดต่อว่า“ใช่แล้ว คุณหนูผู่ให้ไปบอกคณหนูไป๋มู่ชิง ถ้าหากคุณหนูไป๋ไม่มาเจอเธอหลังจากนี้ต้องเสียใจแน่ๆ”
“หมายความว่ายังไงกัน?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”ผู้คุมยักไหล่
แต่ในตอนที่ไป๋มู่ชิงกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องไปอังกฤษตอนหนึ่งทุ่ม
หลังจากที่เธอคบุมโซฟาตัวสุดท้ายแล้วนั้นก็หันไปยิ้มและพูดกับเฉียวเฟิงว่า“ฉันพร้อมแล้วค่ะ”
“โอเค”เฉียวเฟิงพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงดันรถเข็นของเขาเดินออกไปจากประตูใหญ่ ลุงหลิวเอาสัมภาระของทั้งสองคนย้ายไปไว้ที่หลังรถ เห็นทั้งสองคนออกมา และยินดีรับเฉียวเฟิงจากไป๋มู่ชิงมา ทั้งเข็นเขาไปข้างรถและทั้งยังกำชับว่า“คุณชายรอง นายหญิงรองจำไว้นะคะว่ามาถึงอังกฤษแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ”
“พวกเราจะดูแลตัวเอง ขอบคุณค่ะ”ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างซาบซึ้งใจ
ลุงหลิวพยุงเฉียวเฟิงขึ้นไปบนรถ ตอนที่ไป๋มู่ชิงเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งเตรียมตัวขึ้นรถนั้น เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นไม่รู้ว่าหนานกงเฉินมาจอดรถอยู่ข้างหน้าที่ไม่ได้ไกลมาก ตอนที่พึ่งจะออกมาเธอไม่ได้ระวังตัวเลย
เธอตะลึงไปเลย สายตาเขามองหน้าหนานกงเฉินผ่านหน้ากระจกรถไป มองสีหน้าที่เจ็บปวดของเขา ในตอนนั้นเองเธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีความรู้สึกผิด
เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่ารอให้หนานกงเฉินเผลอเธอถึงจะแอบๆจากไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังจะเจอและยังปรากฏออกมาอีก
เฉียวเฟิงที่ขึ้นไปบนรถแล้วนั้นก็เห็นว่าหนานกงเฉินอยู่ตรงนั้น เขามองไป๋มู่ชิงมองแล้วมองอีกและยังมองหนานกงเฉินมองแล้วมองอีก พูดกับไป๋มู่ชิงว่า“มู่ชิง พวกเราไปกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงก็เลิกมองหนานกงเฉิน และก้มลงไปนั่งที่เบาะรถ
ลุงหลิวขับรถออกไป รถค่อยๆขับผ่านรถของหนานกงเฉินไป และขับไปจนเขาอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่ต้นจนจบ หนานกงเฉินไม่ได้ลงมาจากรถเลย และไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย
ความเงียบของเขากลับไปทำให้ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกทรมานและกระวนกระวายใจ
เธอสามารถจินตนาการได้เลยว่า หลังจากที่เธอจากไปแล้วนั้น แน่นอนว่าหนานกงเฉินจะไม่กลับบ้านทันทีแน่ๆ แต่จะไปหาบาร์เหล้าที่คนไปเยอะๆเพื่อให้ตัวเองเมาเละเทะ
“มู่ชิง เธอโอเคใช่ไหม?”ทันใดนั้นเฉียวเฟิงก็ไปจับมือน้อยๆของเธอและถามไปหนึ่งประโยค
พอไป๋มู่ชิงได้สติกลับมา เธอถึงจะรู้ตัวเองว่าน้ำตาไหลลงมาอาบบนหน้าของเธอ เธอรีบยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตา หลังจากนั้นก็ยิ้มออกไปอย่างเคอะเขิน“ขอโทษนะคะ ฉันแค่เป็นห่วงเขา”
“ฉันเข้าใจ”เฉียวเฟิงพยักหน้า
หลังจากที่ไป๋มู่ชิงรู้สึกลังเล ก็หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเลขาเหยียน ไม่นานเลขาเหยียนก็รับสาย“สวัสดีค่ะ ฉันเหยียนเยว่”
“เลขาเหยียน ฉันเอง”
“คุณหนูไป๋?มีอะไรเหรอคะ?”เหยียนเยว่ยังไม่เลิกงานเลย หลังจากที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์วางงานไว้ก่อน เพราะในวันปกติแล้วไป๋มู่ชิงไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่โทรมาหาเธอหรอก
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าค่อยข้างพูดออกมายาก ชะงักไปครู่หนึ่งถึงจะพูดว่า“คือว่า วันนี้ฉันเครื่องออกตอนหนึ่งทุ่ม ฉัน......ฉันเป็นห่วงคุณชายเฉิน......”
“คุณจะไปต่างประเทศวันนี้?กับเฉียวเฟิงเหรอ?”เลขาเหยียนถามออกไปอย่างตกใจ
“ใช่แล้ว......”
“จะไม่กลับมาแล้วเหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...