เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 237

ช่วงบ่าย ไป๋มู่ชิงไปโรงพยาบาลเพื่อพาหนานกงเฉินไปตรวจร่างกาย โดยการเจาะเลือดจนถึงการตรวจทั้งร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนั้นใช้เวลาไปตลอดทั้งบ่าย

หลังจากที่ดูเลือดที่อยู่ในหลอดจำนวน 20 กว่าหลอดแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันหลังไปเล็กน้อย

หนานกงเฉินเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอ จึงยิ้มขึ้นพร้อมถามว่า : “เป็นอะไร ?”

“รู้สึกว่าคงเจ็บน่าดู” ไป๋มู่ชิงกล่าว

“ตอนนั้นเธอก็น่าจะถูกเจาะไปไม่ได้แค่เท่านี้หรอกใช่ไหม ?” หนานกงเฉินถาม

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ฉันจำไม่ได้แล้ว”

เธอไม่ได้จำไม่ได้ ครั้นไม่อยากบอกเขาว่าความจริงแล้วตอนนั้นเธอเองก็ถูกเจาะเลือดไปเยอะเหมือนกัน เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกสงสาร

หลังจากเจาะเลือดเสร็จแล้ว หนานกงเฉินถูกพาไปห้องถ่ายเอ็กซเรย์ จากนั้นก็ทำการตรวจร่างกายเสร็จสรรพภายใต้การดูแลของคุณหมอจาง ขณะที่เดินออกจากห้องทำงานของคุณหมอจางแล้ว เขามองรอบทิศก็ไม่เห็นเงาของไป๋มู่ชิง ดังนั้นจึงเดินไปยังสุดขอบระเบียงดู

เขาได้ยินเสียงไป๋มู่ชิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไกล ๆ และกำลังคุยเรื่องอาการป่วยของเขาอยู่

เมื่อไป๋มู่ชิงโทรศัพท์เสร็จแล้วก็หันหลังกลับมา จึงมองเห็นหนานกงเฉินกำลังยืนอยู่เบื้องหลังตนเองพอดี เธอตกใจแทบแย่ จนถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสันชาตญาณ เธอมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า : “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ? คุณหมอจางบอกว่ายังไง ?”

“ตอนนี้คุณหมอจางยังหาสาเหตุอาการป่วยไม่เจอ จะต้องรอผลการตรวจเลือดและการบ่มเพาะแบคทีเรีย” หนานกงเฉินมองใบหน้าเธอ : “เมื่อกี้เธอโทรหาเซิ่งเคอใช่ไหม ?”

“อืม” ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอยู่แล้วจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ฉันคิดว่าถ้าเรารู้จากปากผู่เหลียนเหยาว่าเธอใส่ยาพิษอะไรให้คุณกินกันแน่ พวกเราก็จะประหยัดเวลาไปไม่น้อยเลย และจะได้หาวิธีรับมือที่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ ?”

“จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่า……” หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น : “เธอยังไม่รู้จักผู่เหลียนเหยาดี ที่เขาเข้ามาในบ้านตระกูลหนานกงก็เพื่อแก้แค้นฉัน ทั้งยังต้องการแก้แค้นอย่างหนักหน่วงอีกด้วย ในเวลาแบบนี้เขาจะยอมบอกเรื่องพวกนี้กับเซิ่งเคอได้ยังไง ?”

“ลองดูก่อนไม่เสียหาย” ไป๋มู่ชิงกล่าว

เธอจะไม่รู้จักผู่เหลียนเหยาได้อย่างไร ? จะไม่รู้นิสัยของผู่เหลียนเหยาได้อย่างไร อีกทั้งแม้เวลานี้เขาจะบอกทุกอย่างออกมาหมด ครั้นมันไม่ส่งผลประโยชน์อันใดกับตัวเขาเอง เขาจะพูดมันออกมาได้อย่างไรกัน ?

ทั้งที่ทราบดีว่าเขาไม่มีทางบอก ครั้นเธอยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงไปขอร้องเซิ่งเคอให้คุยกับเขาอยู่ดี

ถ้าหากมีปาฏิหาริย์เล่า ? ในเวลานี้เธอทำได้เพียงคิดเช่นนี้เท่านั้น

“ฉันว่าเธอปวดหัวเพราะอาหารป่วยของฉันจนหัวหมุนหมดแล้วนะ” หนานกงเฉินยื่นมือมาโอบเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็กล่าวปลอบประโยนอย่างไร้กำลัง : “อย่าใจร้อน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นมาแน่นอน”

“อืม ฉันรู้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

--

หลังจากออกโรงพยาบาลมาแล้ว หนานกงเฉินจึงไปจัดการธุระบางอย่างที่บริษัท ส่วนไป๋มู่ชิงรอคอยเขาลงมาอยู่ที่ชั้นหนึ่งตึกใหญ่ของบริษัท

เธอนั่งพักอยู่บนเก้าอี้พลางพลิกนิตยสารไปด้วย ครั้นอ่านไม่เข้าหัวเลยแม้แต่ตัวเดียว เธอจึงทำได้เพียงนำนิตยสารวางกลับบนชั้นหนังสือคืน

“คุณหนูไป๋ใช่ไหมคะ ?” เมื่อเธอได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังจึงหันหลังไปมองด้วยความสงสัย จึงพบเลขาเหยียนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นเธอมาอยู่ตรงนี้

“เลขาเหยียน” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เธอ

“เกิดอะไรขึ้นคะ ? คุณออกนอกประเทศไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ?” เลขาเหยียนถาม

“ยกเลิกเที่ยวบินกะทันหันไปช่วงหลังแล้วน่ะค่ะ”

“ทำไมเหรอคะ ?”

“เพราะ……” ไป๋มู่ชิงอ้ำอึ้งเล็กน้อยจากนั้นค่อยกล่าวขึ้นว่า : “เพราะว่าฉันคิดไปคิดมาแล้ว สุดท้ายก็ตัดใจทิ้งหนานกงเฉินไปไม่ได้อยู่ดีเลยกลับมาน่ะค่ะ”

ความประหลาดใจบนใบหน้าของเลขาเหยียนมีมากขึ้นกว่าเดิม : “ความหมายของคุณคือ……คุณตัดสินใจออกจากคุณชายรองเฉียวแล้วกลับมาอยู่กับคุณชายเฉินแล้วงั้นเหรอคะ ? ในที่สุดคุณก็คิดได้แล้วเหรอคะ ? แต่ว่าการที่คุณทำแบบนี้……คุณชายรองเฉียวคงเสียใจและผิดหวังมากเลยใช่ไหมคะ ?”

เมื่อพูดถึงเฉียวเฟิง ไป๋มู่ชิงจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอทราบว่าตนเองทำผิดกับเฉียวเฟิง ทว่าเธอไร้ทางเลือกแล้วเช่นกัน ตอนนี้หนานกงเฉินต้องการเธอมากกว่าเฉียวเฟิงอีก !

เมื่อเห็นว่าเธอมีสีหน้าที่ไม่รู้ควรตอบอย่างไร เลขาเหยียนก็รู้ตัวทันทีว่าตนเองถามเยอะเกินไป จึงรีบกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้มทันควัน : “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันถามคำถามกว้างไปหรือเปล่าคะ ฉันแค่รู้สึกตกใจน่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นด้วยความไม่คิดมาก

เลขาเหยียนครุ่นคิดชั่วครู่ จึงพูดขึ้นอีก : “แต่ว่าในเมื่อคุณกลับมาหาหนานกงเฉินแล้ว ทำไมเมื่อคืนนี้เขายังออกไปดื่มจนเมาเละเทะแบบนั้นอยู่อีกล่ะคะ และทำไมที่ฉันเจอหน้าเขาเมื่อกี้ สีหน้าของเขาไม่มีความดีใจหรือมีความสุขเลยสักนิดล่ะคะ คุณคงไม่ใช่ว่ามารอเขาที่นี่เพื่อเซอร์ไพรส์เขาหรอกใช่ไหมคะ ?” เลขาเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันเก็บเป็นความลับช่วยคุณได้นะคะ”

“เมื่อกี้ที่คุณเจอหน้าเขา อารมณ์เขาไม่ดีเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงกล่าวถามขึ้นมาเชื่องช้า

ความจริงเธอทราบว่าหนานกงเฉินแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและสบาย ๆ เพื่อให้เธอเห็น เธอเองก็เคยสงสารความแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของเขาเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินเลขาเหยียนกล่าวมาเช่นนั้นแล้วก็ยิ่งสงสารเขามากขึ้นกว่าเดิม

“ก็ใช่น่ะสิคะ เห็นแล้วดูน่าเป็นห่วงมากเลย” เลขาเหยียนผู้ที่ไม่ทราบเรื่องอันใดยิ้มพร้อมกล่าวว่า : “เพราะงั้นคุณรีบขึ้นไปเถอะค่ะ ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าถ้าเขากลุ้มใจแบบนั้นต่อไปผมคงขาวเต็มหัวแล้วมั้งคะ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใดต่ออีก

เลขาเหยียนมองเวลาบนเคาน์เตอร์บริการจึงกล่าวขึ้นอีกว่า : “คุณหนูไป๋ ฉันมีธุระต้องขอตัวไปก่อนนะคะ”

“ค่ะ ขอบคุณที่เมื่อคืนนี้คุณช่วยดูคุณชายเฉินแทนฉันนะคะ” แม้สุดท้ายเขาจะอาการป่วยกำเริบ ทว่าเธอยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจกับเลขาเหยียนอยู่ดี

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เขาไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว” พูดจบเลขาเหยียนก็หันหลังเดินไปสองก้าว จากนั้นก็หันกลับมามาส่งยิ้มให้เธอ : “แม้คุณชายรองเฉียวอาจจะเสียใจมาก แต่ฉันยังอยากส่งคำยินดีให้คุณกับคุณชายเฉินหน่อย ยินดีด้วยนะคะที่ในที่สุดคู่รักแท้อย่างพวกคุณก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันสักที”

“ขอบคุณนะคะ”

“ไม่ต้องขอบคุณค่ะ ฉันไปละนะคะ” เลขาเหยียนโบกไม้โบกมือให้เธอ จากนั้นก็หันหลังเดินไปยังประตูทางเข้าของตึกใหญ่

--

ในที่สุดเซิ่งเคอก็เจอผู่เหลียนเหยาแล้ว ผู่เหลียนเหยาในเวลานี้ผอมลงกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อเซิ่งเคอมองเห็นเธอครั้งแรกก็รู้สึกสงสารจนพูดอะไรไม่ออก

ท่าทางของผู่เหลียนเหยาก็เห็นได้ชัดว่าไม่สงบเป็นอย่างมากเช่นกัน คำพูดแรกที่เธอกล่าวขึ้นมาคือ : “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เจอหน้านายแล้ว ทำไมยังมาอีก ?”

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเซิ่งเคออยากเจอหน้าเธอมาตลอด เธอเองก็ไม่มีทางใจอ่อนเดินออกมาแต่อย่างใด

ไม่เจอกันนานหลายวัน เซิ่งเคอเองก็ซูบผอมลงมากและสีหน้าซีดเซียวมากเช่นกัน ผู่เหลียนเหยามองเขาแค่แวบเดียวก็ทนมองอีกไม่ได้ เพราะเป็นห่วงว่าตนเองจะทำเย็นชาปฏิเสธเขาอย่างถึงที่สุดไม่ได้

“อยู่ในนั้นเธอสบายดีหรือเปล่า ?” สุดท้ายเซิ่งเคอก็ถามขึ้นมา

“สบายดี” ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า

หลังจากที่กล่าวทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันสั้น ๆ แล้ว ผู่เหลียนเหยาก็ตกอยู่ในความเงียบพร้อมเบือนหน้าหนีไปอีกทางเช่นเคย

“เหลียนเหยา……หรือว่าเธอไม่อยากคุยกับฉันสักนิดเลยหรือไง” เซิ่งเคอถามขึ้นด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

ในที่สุดผู่เหลียนเหยาก็หันหน้ามา พร้อมจ้องหน้าเขาแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “นายคิดว่าฉันควรจะพูดอะไร ? ร้องไห้ขี้มูกโป่งบอกว่าฉันกลัวมาก ฉันลำบากมากอย่างนั้นเหรอ ? หรือว่าร้องไห้ถามว่าฉันควรทำยังไงต่อไปดี ? ทำยังไงกับพี่สาวดี ? ทำยังไงกับน้องชายดี”

เซิ่งเคอกล่าวขึ้นด้วยความทนไม่ไหว : “เธอไม่ต้องห่วงนะ เมื่อก่อนฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง ? พี่เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สาวเธอเลย ตอนนี้เขารู้แล้วเขาบอกว่าจะชดเชยให้อย่างเต็มที่ ช่วยเหลือให้พี่สาวเธอดีขึ้นอย่างเต็มที่”

“หลังจากที่ทำร้ายคนอื่นจนกลายเป็นสภาพนั้นแล้วก็โยนเงินฟาดหัว หาหมอช่วยเหลือเธอก็จะไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ ? นายช่วยไปบอกเขาทีว่า ฉันไม่ต้องการ !”

“เหลียนเหยา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาขุ่นเคืองกันนะ” เซิ่งเคอกล่าว : “และน้องของเธอ……เธอบอกฉันมาว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาเขาแล้วดูแลเขาแทนเธอเอง”

“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เขาสบายดีจะตายไป” ผู่เหลียนเหยาพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ความจริงแล้วผู่จี้กับเธอทำเรื่องเลว ๆ เยอะด้วยกันถึงเพียงนี้ จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายได้อยู่หรือไม่มันเป็นหนึ่งปัญหา

เธอถึงขั้นไม่กล้าบอกผู่จี้ว่าหยางหลี่ยังไม่ตาย ยังอยู่ในโรงพยาบาลประสาท เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นห่วงและกลับประเทศมาแบบกะทันหัน สุดท้ายก็มาตกอยู่ในจุดจบแบบเธอเช่นนี้

“นายกลับไปเถอะ ฉันไม่มีอะไรอยากคุยกับนายแล้ว” ผู่เหลียนเหยากล่าว

ความเย็นชาของเธอทำให้เซิ่งเคอเจ็บปวดที่หัวขึ้นมา : “เธอไม่อยากเจอหน้าฉันขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากคุยกับฉันนาน ๆ หน่อยเหรอ ?”

“ฉันบอกหลายครั้งแล้วนะ ตอนนั้นฉันคบกับนายก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการเข้าบ้านตระกูลหนานกง ไม่ได้รักนายจริง ๆ สักหน่อย สำหรับฉันตอนนี้นายมันไม่มีคุณค่าในการใช้ประโยชน์แล้ว ฉันไม่อยากเจอหน้านายอีกต่อไปแล้วด้วย เพราะงั้นวันข้างหน้ารบกวนอย่ามาที่นี่อีก ฉันจะไม่ออกมาเจอหน้านายอีกแล้วเหมือนกัน” ผู่เหลียนเหยาพูดจบก็ชายตามองเขาพูดต่ออีกว่า : “ยังมีธุระอะไรอีกไหม ?”

“ยังมีอีกเรื่อง” เซิ่งเคอเห็นว่าเธอลุกขึ้นเตรียมจะไปแล้วจึงรีบพูดขึ้น

ผู่เหลียนเหยานั่งเก้าอี้กลับคืน จากนั้นก็มองหน้าเขาแวบหนึ่ง : “ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาการป่วยของหนานกงเฉิน ถ้างั้นนายไม่ต้องพูดหรอก”

เมื่อนั้นขณะที่พูดเรื่องนี้กับไป๋มู่ชิง เธอก็เดาออกแล้วว่าไป๋มู่ชิงจะต้องไปวานให้เซิ่งเคอมาขอร้องเธอเพื่อเอายารักษาแน่นอน และเวลานี้เมื่อเห็นสีหน้าของเซิ่งเคอ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาต้องการพูดนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของหนานกงเฉิน

เธอยิ้มขึ้นทันควัน จากนั้นก็มองหน้าเซิ่งเคอพร้อมถามว่า : “จริงสิ สองสามวันนี้คนบ้านตระกูลหนานกงสบายดีไหม ? จะต้องทุกข์ใจมากเลยใช่ไหม ? โศกเศร้ามากเลยใช่ไหม ? ความรู้สึกเผชิญหน้ากับความตายถ้านายไม่เคยสัมผัสมันมาก่อนจะต้องไม่เข้าใจแน่นอน แต่ว่าหลายวันมานี้ฉันได้สัมผัสมันแล้ว ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนั้นเลย ! รู้สึกเหมือนกับ……”

“เหลียนเหยา !” เซิ่งเคอพูดตัดบทเธอทันควัน : “เธอรู้ไหมว่าท่าทางตอนนี้ของเธอมันดูน่ากลัวแค่ไหน ? เธอไม่เหมาะที่จะยิ้มอย่างเลวทรามและทรยศแบบนี้ เธอเลิกแกล้งทำได้แล้ว !”

ผู่เหลียนเหยายักไหล่ : “บอกนายแล้วไม่ใช่หรือไง ? นี่มันคือนิสัยที่แท้จริงของฉัน ผู่เหลียนเหยาที่นายเคยเห็นเมื่อก่อนคือตัวปลอม”

“เหลียนเหยา เธอบอกฉันมาก่อนว่าเธอวางยาอะไรใส่พี่เขา เมื่อพี่เขาอาการป่วยหายดีแล้ว พวกเราก็จะได้คิดหาวิธีช่วยเหลือเธอออกมาโดยเร็ว” เซิ่งเคอกล่าวด้วยความร้อนรนใจ : “ปกติแล้วพี่เขาไม่ได้ทำแย่กับพวกเราเลยนะ เธออย่าทำอย่างนี้กับเขาได้ไหม ? เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นความตายของคนนะ”

“การแก้แค้นที่ฉันวางแผนไว้ตั้งนาน นายจะให้ฉันล้มเลิกงั้นเหรอ ?”

“แต่ว่าตอนนี้เธอ……”

“ตอนนี้ฉันสบายดีมาก แผนการของฉันใกล้จะสำเร็จแล้ว ฉันมีความสุข ฉันดีใจ !” ผู่เหลียนเหยากล่าวตัดบทเขา : “นายกลับไปบอกคนตระกูลหนานกงนะ บอกพวกเขาว่าถ้าอยากถามหาวิธีรักษาหนานกงเฉินจากฉัน ไม่มีทางซะหรอก !

บอกพวกเขาให้จัดเตรียมงานศพไว้แต่เนิ่น ๆ เถอะ ไม่ต้องเจอะเจอกันตลอดไปอย่างนั้นเลย ! ”

หลังจากที่ผู่เหลียนเหยาพูดประโยคนี้ออกมา สุดท้ายก็มองหน้าเซิ่งเคอที่กำลังเป็นกังวลใจอยู่ จากนั้นก็กลับหลังหันเดินเข้าไปข้างใน

“เหลียนเหยา……” เซิ่งเคอร้องเรียกชื่อเธอจากด้านหลังอย่างเป็นกังวลใจ ครั้นสุดท้ายเธอก็ไม่กลับมา

สุดท้ายเขาทำได้เพียงหลับตาลงล้มเลิกความตั้งใจ จากนั้นก็หันหลังเดินไปยังประตูทางเข้า

ไป๋มู่ชิ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตูอยู่ตั้งแต่นานแล้ว เมื่อเห็นเซิ่งเคอเดินออกมาจากด้านใน ก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่า : “ผู่เหลียนเหยาว่ายังไงบ้าง ?”

เซิ่งเคอมองหน้าเธอจากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเอือมละอา เมื่อเห็นว่าเขาส่ายหน้า ความหวังอันน้อยนิดที่อยู่ในใจของไป๋มู่ชิงก็สลายไปจนหมดสิ้นทันที

“ขอโทษทีนะพี่สะใภ้ ท่าทางของผู่เหลียนเหยาเด็ดเดี่ยวมาก ไม่มีท่าทีว่าจะปริปากเลยแม้แต่น้อย”

แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะผิดหวังเป็นอย่างมาก ครั้นเธอมองออกว่าตอนนี้เซิ่งเคอเป็นทุกข์และโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ดีไปกว่าเธอเลย ดังนั้นเธอจึงกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นมาพร้อมพูดว่า : “ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงก็ไม่ได้มีความคาดหวังเยอะอะไรนักหรอก”

เซิ่งเคอพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “เซิ่งเคอ นายโอเคหรือเปล่า ?”

“ผมไม่เป็นไร” เซิ่งเคอยิ้มขึ้นอย่างฝืนใจ : “พี่สะใภ้ ผมไปละนะ พี่ก็รีบกลับไปเถอะนะ”

“อืม นายอย่าเสียใจมากเกินไปล่ะ……อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีด้วย”

เซิ่งเคอพยักหน้า จากนั้นก็เดินจากไป หลังจากที่เห็นเขาเดินจากไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงสูดหายใจเข้าเบา ๆ ด้วยความรู้สึกจนปัญญา เวลาต่อมาก็กลับหลังหันเดินมุ่งไปยังรถ

เมื่อเธอขึ้นรถมา หนานกงเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มขึ้นพลางมองหน้าเธอ : “เป็นยังไง ? ตัดใจแล้วเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาแวบหนึ่ง เธอรู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างมากจนไม่อยากพูดอะไร

วันนี้ขณะที่เธอต้องการมาที่นี่นั้น หนานกงเฉินได้โน้มน้าวเธอแล้วว่าไร้ประโยชน์ ผู่เหลียนเหยาไม่มีทางปริปากบอกแน่นอน ทว่าเธอยังคงมาอยู่ดี โดยพาความหวังอันน้อยนิดมาด้วย

“อย่าเป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวฉันรู้สึกละอายใจหรอก” หนานกงเฉินดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็พรมจูบไปยังแก้มของเธอ

“ฉันแค่อยากให้คุณหายดีขึ้นเร็ว ๆ” ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

“ฉันรู้ ฉันก็อยากให้ตัวเองดีขึ้นเร็ว ๆ เหมือนกัน” หนานกงเฉินบีบใบหน้าเรียวเล็กของเธอพร้อมยิ้มขึ้น : “ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะยอมกลับมาอยู่ข้างกายฉัน แน่นอนว่าฉันไม่อยากทิ้งเธอไว้ไม่สนใจหรอกนะ”

“ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักษาสัญญา”

“ไม่มีทาง” หนานกงเฉินยังคงยิ้มอยู่ : “เธอก็รู้ฉันไม่เคยพูดปลดตั้งแต่ไหนแต่ไรมา”

ไป๋มู่ชิงเพียงแนบอิงอยู่ภายในอ้อมกอดของเขาเบา ๆ ไม่พูดจา

หลังจากที่กอดกันมาพักหนึ่ง หนานกงเฉินจึงคลายเธอออกแล้วกล่าวว่า : “ไปกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงสูดน้ำมูกเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง

หนานกงเฉินสตาร์ทรถ ทว่าไม่ได้ขับไปยังทิศทางกลับบ้าน ครั้นขับไปยังชานเมือง

“ไปไหนเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองนอกประตูจากนั้นก็ถามขึ้น

“ไม่ได้ไปไหน ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยรับลมน่ะ” สองมือของหนานกงเฉินควบคุมพวงมาลัยรถยนต์อยู่อย่างมั่นคง เขาหันหน้ามองเธอแวบหนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “พวกเราไม่ได้ออกไปเดินเล่นด้วยกันนานเท่าไหร่แล้ว ?”

“ดูเหมือนว่าจะไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ ?” ไป๋มู่ชิงกล่าว

ภายในช่วงเวลาหลายวันที่อยู่กับหนานกงเฉิน นอกจากที่อยู่ฝรั่งเศสแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่เคยเดินเล่นด้วยกันตามลำพังเลยจริง ๆ ถึงอย่างไรเธอนึกไม่ออกเลยว่าเคยตอนไหน

ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่หนานกงเฉินเองก็นึกไม่ออกเช่นกัน เขาหันหน้ามาส่งยิ้มให้เธอ : “เพราะงั้นพวกเราต้องออกไปเดินเล่นบ่อย ๆ เสริมสร้างความรู้สึกที่มีต่อกัน อย่างนั้นวันข้างหน้าเธอจะได้ไม่ไปแต่งงานกับคนอื่นเพื่อตอบแทนบุญคุณอีกต่อไปแล้ว”

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีทางทำอีกแล้วแน่นอน” ไป๋มู่ชิงจ้องตาเขาจากนั้นพูดขึ้น

“ถ้างั้นก็ดี” หนานกงเฉินยื่นมือลูบศีรษะของเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ

เวลานี้คือเวลาบ่ายโมงพอดี หนานกงเฉินขับรถไปจอดที่ชายหาดแถวชานเมือง เขามองท้องทะเลที่อยู่นอกหน้าต่างแล้วพูดขึ้นว่า : “อยู่ ๆ ก็คิดอยากรับลมทะเลมากเลย เธอก็อยากเหมือนกันใช่ไหม ?”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา รู้สึกแสบจมูกขึ้นมา

เหตุใดเธอจะไม่เข้าใจความหมายของเขา เขาทราบว่าตนเองมีชีวิตต่อไปได้ไม่นานแล้ว เลยอยากอยู่กับเธอให้นาน ๆ ก่อนที่จะจากไป และชดเชยความเสียดายเมื่อครั้งอดีตให้เธอทั้งหมด

แม้ไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าเขามีชีวิตต่อไปได้ไม่นานก็ตาม ครั้นบนความเป็นจริงแล้วภายในใจของเธอเองก็มีความคิดและความปรารถนาที่ว่าเมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาอันงดงามที่สองคนอยู่ด้วยกันให้เต็มที่

“เป็นอะไรไป ? ไม่มีอารมณ์เหรอ ?” หนานกงเฉินชายตามองเธอพร้อมพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าพร้อมพูดขึ้นตามความจริง : “ไม่มีอารมณ์จริง ๆ นั่นแหละ”

“ถ้างั้นก็ยิ่งต้องลงไปเดินเล่นเข้าไปใหญ่” หนานกงเฉินผลักเปิดประตูรถพร้อมเดินลงไป จากนั้นก็เดินอ้อมมาทางที่นั่งของเธอ แล้วลากเธอลงจากรถทันที

แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะไม่มีอารมณ์ครั้นไม่ได้บอกว่าไม่อยากลงไปเดินเล่น หนานกงเฉินพูดถูก เวลาแบบนี้ไม่ว่าเธอหรือเขาต่างก็ต้องไปรับลมทะเลหน่อย ไปเดินเล่นผ่อนคลายบ้าง ไม่สามารถโศกเศร้าเช่นนี้ต่อไปได้

สองมือของเธอคล้องแขนหนานกงเฉินเอาไว้ ทั้งสองคนเดินรับลมเข้าไปยังชายหาด

ทรายเม็ดสีเหลืองทอง ผิวสัมผัสอันอ่อนนุ่ม เมื่อย่ำเท้าลงไปรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง ไป๋มู่ชิงโค้งตัวลงไปถอดรองเท้าออก จากนั้นก็เงยหน้ามองหนานกงเฉินพร้อมพูดว่า : “คุณถอดรองเท้าออกสิ ถอดแล้วสบายขึ้นเยอะเลยนะ”

“ไม่อะ ฉันไม่ถอด” หนานกงเฉินไม่คิดสักนิด โตมาปูนนี้แล้วเหมือนว่าเขาจะไม่เคยเดินเท้าเปล่าอยู่ด้านนอกมาก่อนเลย จึงรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างยิ่ง

“ถ้าคุณไม่ถอดรองเท้าทรายจะเข้าไปข้างในนะ”

“ไม่เป็นไร”

“ถอดออกเถอะนะ คนที่มาที่นี่ต่างก็เป็นคนธรรมดากันทั้งนั้น เลิกทำนิสัยคุณชายใหญ่ได้แล้ว” ไป๋มู่ชิงชี้ไปยังรอบ ๆ : “คุณดูสิ ที่ลานจอดรถมีรถคันหรูจอดอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ คนรวยตั้งมากมายแต่ทุกคนก็ถอดชุดออกเหลือแค่กางเกงในตัวเดียวเหมือนกันหมด” ขณะที่กำลังพูดอยู่ ไป๋มู่ชิงได้ผลักหนานกเฉินลงบนพื้นทรายจากนั้นก็จัดการถอดรองเท้าของเขาออกทั้งสองข้าง

หนานกงเฉินห้ามไว้ไม่ทัน ทำได้เพียงตามใจเธอ เพียงแค่ยังไม่ทันรอให้เธอลุกขึ้นจากพื้น เขาก็เอาคืนด้วยการขึ้นคล่อมเธออยู่บนทราย จากนั้นก็ก้มหน้ากัดริมฝีปากของเธอ

ไป๋มู่ชิงตกใจที่เขากัดเธอ จึงใช้สองมือดันหน้าอกของเขาเอาไว้จากนั้นก็กระซิบว่า : “นี่……หนานกงเฉินคุณทำอะไรน่ะ ? ที่นี่คนเยอะมากนะ……”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมคว้าเธอกลับมาอยู่ล่างตัวเช่นเคย : “เธอบอกเองไม่ใช่เหรอ ต้องเป็นคนธรรมดา ต้องเป็นชาวบ้านหน่อย ๆ”

“แต่ว่าคนธรรมดาก็ไม่ได้ทำอย่างนี้หรอกนะ……ที่นี่มีเด็กเยอะมากนะมันดูไม่ดีเลย……”

“เธอดูสิพวกเขายังทำแบบนี้เลย” หนานกงเฉินใช้คางชี้ไปยังบริเวณข้าง ๆ เมื่อไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองจึงเห็นคู่รักวัยรุ่นสวมชุดว่ายน้ำกำลังพลิกไปพลิกมาอยู่บนทราย

“ห้ามดูนะ” หนานกงเฉินจับใบหน้าเรียวเล็กของเธอกลับคืนมา เนื่องจากชายผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นอย่างมาก

ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา : “แล้วคุณยังดูอีก” เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่เซ็กซี่เป็นอย่างมาก

แน่นอนอยู่แล้ว เมื่ออยู่ในสถานที่ว่ายน้ำกลางแจ้งอย่างทะเลนั้น เมื่อมองไปก็จะเห็นสาวสวยเต็มไปหมด ไม่มีทางที่จะไม่ให้ทั้งสองฝ่ายจ้องมองได้เลย

หนานกงเฉินอุ้มไป๋มู่ชิงขึ้นมาจากพื้น : “ไปเถอะ พวกเราไปดูทางนั้นกันดีกว่า”

ไป๋มู่ชิงมองตามนิ้วมือของเขา เมื่อมองเห็นท้องทะเลที่มีคลื่นซัดเข้ามาเหล่านั้น จึงส่ายหน้าโดยสันชาตญาณ : “พวกเราเดินเล่นริม ๆ ก็พอแล้ว ฉันกลัวน้ำ……”

เธอผู้ที่กลัวน้ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หลังจากที่ผ่านอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อครั้งนั้นก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่

“มีฉันอยู่ทั้งคนเธอยังต้องกลัวด้วยเหรอ ?” หนานกงเฉินโอบเธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ น้ำ

“ฉันจำได้ว่าเหมือนคุณจะว่ายน้ำเก่งมากเลย ใช่ไหม……” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเคอะเขินขึ้นมาเพื่อขอความยืนยัน แขนพลางโอบเอวของเขาไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของเธอ หนานกงเฉินจึงพยักหน้า จากนั้นก็พูดปลอบใจว่า : “ถูกต้อง ฉันว่ายน้ำเก่งมาก ต่อให้เธอตกลงไปฉันก็จะเป็นคนแรกที่ดึงเธอกลับขึ้นมา ไม่มีทางให้โอกาสผู้ชายคนอื่นเด็ดขาด เพื่อเป็นการไม่ให้เธอไปตอบแทนคุณคนอื่นอีก”

“เอาอีกแล้วนะ” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นกระทุ้งเอวของเขา จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจ : “พูดอย่างกับฉันง่ายมากงั้นแหละ”

“ช่วยไม่ได้ นี่มันเรียกว่างูกัดครั้งเดียว กลัวเชือกไป 10 ปี” หนานกงเฉินกล่าวด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

ทั้งสองคนเดินริมทะเลไปยังสานที่ที่คนน้อย เบื้องหน้าเป็นสะพานไม้อันยาวเหยียด เบื้องล่างของสะพานคือโขดหิน มีผู้ปกครองหลายคนพาลูก ๆ ของตนเองมาเล่นจับปูน้อย และมีคู่รักหลายคนที่กำลังถ่ายรูปพรีเวดดิ้งอยู่

อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็นึกคำถามหนึ่งออกมา จึงถามไปว่า : “พวกเราไม่ได้ถ่ายรูปพรีเวดดิ้งกันเลยหนิ”

หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “เรื่องที่พวกเรายังไม่บรรลุมีอีกเยอะมาก”

“อะไรเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาแล้วถาม

“เช่น……ยังไม่เคยมีงานแต่งงานที่ดูดี ไม่มีรูปพรีเวดดิ้ง ไม่มีลูกที่เป็นของพวกเรา”

สายตาของไป๋มู่ชิงตกไปอยู่บนร่างของเด็กผู้หญิงหน้าตาสละสลวยด้านหน้า ทันใดนั้นก็นึกถึงเสียวหว่านชิงที่อยู่ไกลถึงประเทศอังกฤษขึ้นมา ภายในหัวปรากฏภาพในจิตนาการขึ้นมาทันใด เป็นภาพที่เธอและหนานกงเฉินกำลังจับปูน้อยอยู่บนกองโขดหินกับเสียวหว่านชิงอยู่ และเสียวหว่านชิงก็มีความสุขราวกับนางฟ้าตัวน้อยเฉกเช่นเด็กผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้า

“พวกเราไปนั่งข้างหน้ากันเถอะ” หนานกงเฉินจูงเธอเดินข้ามโขดหินเล็ก ๆ จากนั้นก็เลือกนั่งบนหินขนาดใหญ่ลักษณะราบเรียบ

เบื้องล่างของหินขนาดใหญ่นั้นคือน้ำทะเลอันลึก เมื่อลมทะเลพัดเข้ามาเบื้องหน้ามีความเย็นสดชื่นกระทบเข้ามาข้างแก้ม รู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด

หนานกงเฉินสังเกตเห็นว่าสายตาของไป๋มู่ชิงหยุดอยู่บนเด็กผู้หญิงหน้าตาสละสลวยผู้นั้นไม่ห่าง เขาจึงมองหน้าเธอ จากนั้นก็มองเด็กหญิงผู้นั้น จึงยิ้มพร้อมพูดว่า : “เธอคิดถึงเสียวหว่านชิงของเธอแล้วใช่ไหม ?”

ไป๋มู่ชิงมีความเจ็บปวดที่หัวใจเล็กน้อย เธอยังคงไม่มีความกล้าในการบอกเรื่องจริงกับเขาว่าเสียวหว่านชิงคือลูกของเขาเช่นเดียวกัน

เธอไม่ได้ตอบหนานกงเฉินกลับ ครั้นเงยหน้ามองหน้าเขาพร้อมพูดว่า : “เฉิน คุณอยากได้ลูกสักคนมากเลยใช่ไหม ?”

“อยากน่ะสิ ถ้ามีลูกที่น่ารักรู้จักสัมมาคารวะเหมือนเสียวหว่านชิงได้ก็ยิ่งดีเลย” หนานกงเฉินกล่าว

เขาตอบกลับโดยไม่มั่นใจเท่าไร ยังมีความรู้สึกที่ลังเลเล็กน้อยปนอยู่ด้วย เนื่องจากความจริงแล้วลึก ๆ ในใจของเขาไม่ได้ต้องการมีลูกมากเท่าไรนัก

เขาไม่ทราบว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นานเท่าไร ถ้าหากเป็นเหมือนอย่างที่ผู่เหลียนเหยาบอกจริง ๆ……อย่างมากสุดเขาจะสามารถมีชีวิตได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เช่นนั้นลูกที่เขาทิ้งไว้ให้ไป๋มู่ชิงก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบของเธอเพียงผู้เดียวและจะกลายเป็นตัวถ่วงในการค้นหาความสุขต่อไปในชีวิตของเธอ

เพราะฉะนั้นเข้าไม่ได้อยากให้ไป๋มู่ชิงตั้งครรภ์ภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้แต่อย่างใด และไม่มีทางคิดด้วย

“จะต้องมีแน่นอนค่ะ” ไป๋มู่ชิงใช้สองแขนโอบคอของเขาเอาไว้ จากนั้นก็พรมจูบไปยังริมฝีปากของเขา : “เฉิน ฉันมีของขวัญอยากจะให้คุณ”

“ของขวัญอะไร ?” หนานกงเฉินมองเธอด้วยความสงสัย

“ยังบอกคุณตอนนี้ไม่ได้ ต้องดูการกระทำของคุณก่อน” ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางกล่าวขึ้น

เวลานี้เธอยังไม่ได้คิดดีว่าจะบอกเรื่องเสียวหว่านชิงให้เขาฟังดีหรือไม่ เนื่องจากเธอเป็นห่วงว่าหลังจากที่เขาทราบเรื่องแล้ว จะตกตะลึงและจะโกรธเคืองจากนั้นก็บึ่งไปอังกฤษเพื่อพาเสียวหว่านชิงกลับมา การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่รุนแรงเช่นนี้จะต้องส่งผลกระทบต่ออาการป่วยของเขาเป็นแน่ เธอเป็นห่วงว่า……

เธอคิดว่าตนเองควรพาเสียวหว่านชิงกลับมาก่อน ให้พวกเขาสองพ่อลูกได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียก่อน จากนั้นค่อยบอกความจริงกับเขาทีละน้อย

“ถ้างั้นเธอบอกฉันมาสิว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะถือว่าดี” หนานกงเฉินยิ้มพลางถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็กล่าวว่า : “คิดเอง”

“ก็ได้ฉันจะทำตัวให้ดีรอบด้าน” หนานกงเฉินยักไหล่ จากนั้นก็ใช้มือบีบคางของเธอ : “แต่ว่าถ้าเธอกล้าโกหกฉันละก็ ฉันจะ……”

“คุณจะเป็นยังไง ?” ร่างกายของเขาดันเข้ามาข้างหน้า ไป๋มู่ชิงจึงเอนไปด้านหลังด้วยสันชาตญาณ

“ฉันจะบังคับเธออย่างรุนแรง……!” หนานกงเฉินยิ้มพลางยื่นแขนไปดึงร่างของเธอคืนมา

“ถ้างั้นก็ต้องดูว่าคุณมีแรงอย่างว่าหรือเปล่าถึงจะถูกต้องหรือเปล่า ?”

“ลองดูเย็นนี้ไหมล่ะ ?”

“ไม่เอา”

“ปากไม่ตรงกับใจ” หนานกงเฉินยิ้มพลางยื่นมือบีบจมูกของเธอ : “แน่จริงตอนค่ำก็อย่าเข้ามาเบียดในอ้อมกอดของฉันเรื่อยสิ”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาแซวจนรู้สึกเขินอายขึ้นมา จึงทำได้เพียงพูดเรื่องอื่น : “คุณว่ายน้ำเก่งมากเลยไม่ใช่เหรอ ไปว่ายเล่นหน่อยไหม ?”

หนานกงเฉินมองน้ำทะเลสีเขียวเข้มจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “เธอไปว่ายเป็นเพื่อนฉันไหมล่ะ ?”

“ไม่เอาอะ เดี๋ยวฉันเฝ้าเสื้อผ้าให้คุณอยู่บนฝั่งนี่แหละ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน

“ถ้างั้นก็ช่างเถอะ”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา ทันใดนั้นบนใบหน้าก็เกิดเป็นความรู้สึกขอโทษขึ้นมา จึงมองหน้าเขาแล้วพูดว่า : “มาทะเลกับคนที่ขี้ขลาดอย่างฉันมันไม่สนุกเลยใช่ไหม ?”

“ทำไมพูดแบบนั้น ?”

“ว่ายน้ำไม่ได้ ทำได้แค่แช่เท้าเหมือนตอนนี้แล้วมองคนอื่นเล่นน้ำอย่างเดียว”

“อย่าว่าตัวเองเลย ฉันก็ไม่อยากว่ายน้ำเหมือนกัน” หนานกงเฉินยิ้มพลางกล่าวขึ้น

มองไปยังท้องทะเลที่ถูกแสงพระอาทิตย์ตกสาดส่องเข้ามาจนกลายเป็นสีแดงอันไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตา เธอถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกล่าวขึ้นว่า : “ความจริงแล้วฉันก็อยากเป็นเหมือนอย่างคู่รักคนอื่น ๆ ที่มีเวลาว่างก็จะมาดูพระอาทิตย์ตกที่ทะเล หรือว่ายน้ำเล่น ดื่มด่ำไปกับอ้อมกอดของท้องทะเลอันกว้างใหญ่”

“อย่างเช่นอย่างนี้ใช่ไหม ?” หนานกงเฉินชายตามองเธอ

“อะไรเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจที่เขาพูด ครั้นยังไม่ทันรอให้เธอรู้สึกตัวจากความงุนงง ร่างกายเธอก็หล่นลงสู่น้ำทะเลพร้อมหนานกงเฉินไปเรียบร้อยแล้วเสียงดัง ‘ตู้ม’

น้ำทะเลอันเย็นสดชื่นโอบทั่วร่างกายดั่งพรมขนสัตว์ โดยสูงท่วมศีรษะ ไป๋มู่ชิงตกอกตกใจกรีดร้องขึ้นมาทันควัน ขณะที่กรีดร้องไปก็ยังไม่ลืมที่จะแกว่งเท้าแกว่งมือดิ้นรนไปมาด้วย

“ช่วยด้วย --!” เธอกรีดร้องด้วยความตกใจ

“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ทั้งคน” หนานกงเฉินโอบเธอเอาไว้มือเดียว อีกมือหนึ่งยื่นไปปัดน้ำทะเลบนใบหน้าของเธอออก จากนั้นก็กระซิบข้างใบหูของเธอว่า : “เธอใจเย็น ๆ หน่อยสิ มองให้ดี ๆ ตอนนี้เธอสบายดี”

ไป๋มู่ชิงกอดรัดร่างกายของเขาเอาไว้แน่น จนกระทั่งรับรู้ว่าแขนของเขาก็กำลังโอบเธอไว้แน่นเช่นกัน และร่างกายของเธอก็กำลังแช่อยู่ในน้ำอย่างมั่นคงแล้วนั้น เธอจึงค่อย ๆ สงบลง

เธอมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ตกใจจนใกล้จะร้องให้ออกมาเต็มทน หนานกงเฉินกลับพูดขึ้นปนขำว่า : “เป็นไง ? ไม่กลัวเลยสักนิดใช่ไหม ?”

“ใครบอกว่าไม่กลัวเล่า ฉันกลัวจะตายอยู่แล้วนะ” ไป๋มู่ชิงอ้อนวอนเขาด้วยความหวาดกลัว : “หนานกงเฉินคุณรีบดึงฉันกลับขึ้นไปเร็วเข้า ฉันรู้สึกว่าฉันใกล้จะตกลงไปแล้ว”

“ไม่หรอก” หนานกงเฉินก้มหน้าไปพรมจูบบนริมฝีปากของเธอเพื่อทำให้เธอสงบลง ให้รอยจูบอันร้อนแรงภายใต้น้ำของท้องทะเล

วิธีนี้ได้ผลเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้การโจมตีทางปากของเขานั้นทำให้ไป๋มู่ชิงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เพียงแค่แขนยังคงกอดรัดร่างกายเขาไว้ดังเดิม

“เธออยากสัมผัสอ้อมกอดของท้องทะเลไม่ใช่เหรอ ? นี่แหละอ้อมกอดของท้องทะเล สบายไหม ?” หนานกงเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

ไป๋มู่ชิงสัมผัสกับน้ำทะเล จากนั้นก็พยักหน้า : “สบายอยู่แต่ว่าฉันรู้สึกกลัวมากอยู่ดี”

น่าจะเนื่องจากได้สัมผัสอ้อมกอดของเขาภายใต้ท้องทะเล ความรู้สึกเช่นนี้ทั้งสดใหม่และสบายยิ่ง

“ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวก็ชิน” หนานกงเฉินกล่าว

หลังจากที่อยู่ในอ้อมกอดเขามาเนิ่นนาน ไป๋มู่ชิงก็เริ่มชินแล้วอย่างที่ว่า ในที่สุดใบหน้าเรียวเล็กอันตกใจกลัวของเธอก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา เธอกล่าวว่า : “มิน่าล่ะหลายคนถึงได้ชอบว่ายน้ำ เพราะความรู้สึกที่แช่อยู่ในน้ำนี่มันเย็นชดชื่นมาก สบายมาก”

“ชอบไหม ?”

“ชอบ”

“ถ้างั้นจากนี้ไปทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะพาเธอมาและสอนเธอว่ายน้ำด้วย”

“จริงเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา หลายวันมานี้คำรับปากที่เขามีกับเธอเยอะเกินไป เยอะจนเธอไม่กล้าเชื่อ

หนานกงเฉินพยักหน้า : “แค่เธออยากมาฉันก็จะมากับเธอ”

“ขอบคุณนะคะ” ไป๋มู่ชิงโน้มตัวไปพรมจูบบนริมฝีปากของเขา : “เฉิน ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางโกหกฉัน”

ไม่ใช่ว่าเธอเธอทราบ ครั้นเธอไม่หวังว่าเขาจะโกหกเธอ !

ทั้งสองคนเล่นสนุกอยู่ในน้ำเนิ่นนาน ในที่สุดก็กลับขึ้นฝั่งเสียที ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองเสื้อผ้าอันเปียกปอนของทั้งคู่จึงพูดขึ้นอย่างเอือมละอา : “ทำยังไงดี ? ไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเลย”

“นี่มันเป็นปัญหาจริง ๆ ด้วยแฮะ” หนานกงเฉินพยักหน้า ครั้นบนใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึกที่เป็นกังวลใจเลย

“เพราะคุณแท้ ๆ ลากคนอื่นลงน้ำไปแบบนั้นเลยเนี่ยนะ” ไป๋มู่ชิงบิดเสื้อผ้าของตนเองไปพร้อมกล่าวตำหนิเขาไป

“ฉันเห็นว่าแสงอาทิตย์แรงดีนะ หรือว่าพวกเราจะมาดื่มด่ำกับการอาบแดดสักหน่อย จากนั้นก็ถือโอกาสตากเสื้อผ้าไปด้วยเลย” หนานกงเฉินจูงมือเธอเข้ามานั่งอยู่บนก้อนหิน : “อีกอย่างยังดูพระอาทิตย์ตกได้ด้วยนะ เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบอะไรแบบนี้”

แผนการนี้สมบูรณ์แบบมากจริง ๆ นอกเหนือจากวิธีนี้แล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว

“คุณรีบถอดเสื้อเชิ้ตออกเร็ว ระวังจะเป็นหวัดนะ” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปหมายจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา หนานกงเฉินจึงยกมือขึ้นกุมมือน้อย ๆ ของเธอไว้ จากนั้นก็ยิ้มอย่างชั่วร้าย : “แม้ว่าที่นี่จะคนน้อย แต่การที่เธอถอดเสื้อผ้าผู้ชายต่อหน้าสาธารณะแบบนี้มันจะดีเหรอ ?”

“คิดไปถึงไหนของคุณเนี่ย ?” ไป๋มู่ชิงมองตาขวางใส่เขา

“เมื่อกี้เธอบอกเองนี่นาว่ามันไม่เหมาะกับเด็ก”

“ฉัน……ฉันก็แค่กลัวว่าคุณจะเป็นหวัดเฉย ๆ” ไป๋มู่ชิงปัดฝ่ามือใหญ่ ๆ ของเขาออก : “อย่าเล่นน่า รีบถอดเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”

หนานกงเฉินจึงปล่อยมือจากนั้นก็ยอมให้เธอช่วยตนถอดเสื้อเชิ้ตบนตัวออก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด