ช่วงบ่าย ไป๋มู่ชิงไปโรงพยาบาลเพื่อพาหนานกงเฉินไปตรวจร่างกาย โดยการเจาะเลือดจนถึงการตรวจทั้งร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนั้นใช้เวลาไปตลอดทั้งบ่าย
หลังจากที่ดูเลือดที่อยู่ในหลอดจำนวน 20 กว่าหลอดแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันหลังไปเล็กน้อย
หนานกงเฉินเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของเธอ จึงยิ้มขึ้นพร้อมถามว่า : “เป็นอะไร ?”
“รู้สึกว่าคงเจ็บน่าดู” ไป๋มู่ชิงกล่าว
“ตอนนั้นเธอก็น่าจะถูกเจาะไปไม่ได้แค่เท่านี้หรอกใช่ไหม ?” หนานกงเฉินถาม
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ฉันจำไม่ได้แล้ว”
เธอไม่ได้จำไม่ได้ ครั้นไม่อยากบอกเขาว่าความจริงแล้วตอนนั้นเธอเองก็ถูกเจาะเลือดไปเยอะเหมือนกัน เพราะไม่อยากให้เขารู้สึกสงสาร
หลังจากเจาะเลือดเสร็จแล้ว หนานกงเฉินถูกพาไปห้องถ่ายเอ็กซเรย์ จากนั้นก็ทำการตรวจร่างกายเสร็จสรรพภายใต้การดูแลของคุณหมอจาง ขณะที่เดินออกจากห้องทำงานของคุณหมอจางแล้ว เขามองรอบทิศก็ไม่เห็นเงาของไป๋มู่ชิง ดังนั้นจึงเดินไปยังสุดขอบระเบียงดู
เขาได้ยินเสียงไป๋มู่ชิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไกล ๆ และกำลังคุยเรื่องอาการป่วยของเขาอยู่
เมื่อไป๋มู่ชิงโทรศัพท์เสร็จแล้วก็หันหลังกลับมา จึงมองเห็นหนานกงเฉินกำลังยืนอยู่เบื้องหลังตนเองพอดี เธอตกใจแทบแย่ จนถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสันชาตญาณ เธอมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า : “เร็วขนาดนี้เลยเหรอ ? คุณหมอจางบอกว่ายังไง ?”
“ตอนนี้คุณหมอจางยังหาสาเหตุอาการป่วยไม่เจอ จะต้องรอผลการตรวจเลือดและการบ่มเพาะแบคทีเรีย” หนานกงเฉินมองใบหน้าเธอ : “เมื่อกี้เธอโทรหาเซิ่งเคอใช่ไหม ?”
“อืม” ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอยู่แล้วจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า : “ฉันคิดว่าถ้าเรารู้จากปากผู่เหลียนเหยาว่าเธอใส่ยาพิษอะไรให้คุณกินกันแน่ พวกเราก็จะประหยัดเวลาไปไม่น้อยเลย และจะได้หาวิธีรับมือที่ถูกต้องไม่ใช่เหรอ ?”
“จะว่าอย่างนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่า……” หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น : “เธอยังไม่รู้จักผู่เหลียนเหยาดี ที่เขาเข้ามาในบ้านตระกูลหนานกงก็เพื่อแก้แค้นฉัน ทั้งยังต้องการแก้แค้นอย่างหนักหน่วงอีกด้วย ในเวลาแบบนี้เขาจะยอมบอกเรื่องพวกนี้กับเซิ่งเคอได้ยังไง ?”
“ลองดูก่อนไม่เสียหาย” ไป๋มู่ชิงกล่าว
เธอจะไม่รู้จักผู่เหลียนเหยาได้อย่างไร ? จะไม่รู้นิสัยของผู่เหลียนเหยาได้อย่างไร อีกทั้งแม้เวลานี้เขาจะบอกทุกอย่างออกมาหมด ครั้นมันไม่ส่งผลประโยชน์อันใดกับตัวเขาเอง เขาจะพูดมันออกมาได้อย่างไรกัน ?
ทั้งที่ทราบดีว่าเขาไม่มีทางบอก ครั้นเธอยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงไปขอร้องเซิ่งเคอให้คุยกับเขาอยู่ดี
ถ้าหากมีปาฏิหาริย์เล่า ? ในเวลานี้เธอทำได้เพียงคิดเช่นนี้เท่านั้น
“ฉันว่าเธอปวดหัวเพราะอาหารป่วยของฉันจนหัวหมุนหมดแล้วนะ” หนานกงเฉินยื่นมือมาโอบเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็กล่าวปลอบประโยนอย่างไร้กำลัง : “อย่าใจร้อน ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นมาแน่นอน”
“อืม ฉันรู้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
--
หลังจากออกโรงพยาบาลมาแล้ว หนานกงเฉินจึงไปจัดการธุระบางอย่างที่บริษัท ส่วนไป๋มู่ชิงรอคอยเขาลงมาอยู่ที่ชั้นหนึ่งตึกใหญ่ของบริษัท
เธอนั่งพักอยู่บนเก้าอี้พลางพลิกนิตยสารไปด้วย ครั้นอ่านไม่เข้าหัวเลยแม้แต่ตัวเดียว เธอจึงทำได้เพียงนำนิตยสารวางกลับบนชั้นหนังสือคืน
“คุณหนูไป๋ใช่ไหมคะ ?” เมื่อเธอได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังจึงหันหลังไปมองด้วยความสงสัย จึงพบเลขาเหยียนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมมองหน้าเธอด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นเธอมาอยู่ตรงนี้
“เลขาเหยียน” ไป๋มู่ชิงส่งยิ้มให้เธอ
“เกิดอะไรขึ้นคะ ? คุณออกนอกประเทศไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ?” เลขาเหยียนถาม
“ยกเลิกเที่ยวบินกะทันหันไปช่วงหลังแล้วน่ะค่ะ”
“ทำไมเหรอคะ ?”
“เพราะ……” ไป๋มู่ชิงอ้ำอึ้งเล็กน้อยจากนั้นค่อยกล่าวขึ้นว่า : “เพราะว่าฉันคิดไปคิดมาแล้ว สุดท้ายก็ตัดใจทิ้งหนานกงเฉินไปไม่ได้อยู่ดีเลยกลับมาน่ะค่ะ”
ความประหลาดใจบนใบหน้าของเลขาเหยียนมีมากขึ้นกว่าเดิม : “ความหมายของคุณคือ……คุณตัดสินใจออกจากคุณชายรองเฉียวแล้วกลับมาอยู่กับคุณชายเฉินแล้วงั้นเหรอคะ ? ในที่สุดคุณก็คิดได้แล้วเหรอคะ ? แต่ว่าการที่คุณทำแบบนี้……คุณชายรองเฉียวคงเสียใจและผิดหวังมากเลยใช่ไหมคะ ?”
เมื่อพูดถึงเฉียวเฟิง ไป๋มู่ชิงจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาทันที เธอทราบว่าตนเองทำผิดกับเฉียวเฟิง ทว่าเธอไร้ทางเลือกแล้วเช่นกัน ตอนนี้หนานกงเฉินต้องการเธอมากกว่าเฉียวเฟิงอีก !
เมื่อเห็นว่าเธอมีสีหน้าที่ไม่รู้ควรตอบอย่างไร เลขาเหยียนก็รู้ตัวทันทีว่าตนเองถามเยอะเกินไป จึงรีบกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้มทันควัน : “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันถามคำถามกว้างไปหรือเปล่าคะ ฉันแค่รู้สึกตกใจน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นด้วยความไม่คิดมาก
เลขาเหยียนครุ่นคิดชั่วครู่ จึงพูดขึ้นอีก : “แต่ว่าในเมื่อคุณกลับมาหาหนานกงเฉินแล้ว ทำไมเมื่อคืนนี้เขายังออกไปดื่มจนเมาเละเทะแบบนั้นอยู่อีกล่ะคะ และทำไมที่ฉันเจอหน้าเขาเมื่อกี้ สีหน้าของเขาไม่มีความดีใจหรือมีความสุขเลยสักนิดล่ะคะ คุณคงไม่ใช่ว่ามารอเขาที่นี่เพื่อเซอร์ไพรส์เขาหรอกใช่ไหมคะ ?” เลขาเหยียนยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ฉันเก็บเป็นความลับช่วยคุณได้นะคะ”
“เมื่อกี้ที่คุณเจอหน้าเขา อารมณ์เขาไม่ดีเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงกล่าวถามขึ้นมาเชื่องช้า
ความจริงเธอทราบว่าหนานกงเฉินแสร้งทำเป็นเข้มแข็งและสบาย ๆ เพื่อให้เธอเห็น เธอเองก็เคยสงสารความแสร้งทำเป็นเข้มแข็งของเขาเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินเลขาเหยียนกล่าวมาเช่นนั้นแล้วก็ยิ่งสงสารเขามากขึ้นกว่าเดิม
“ก็ใช่น่ะสิคะ เห็นแล้วดูน่าเป็นห่วงมากเลย” เลขาเหยียนผู้ที่ไม่ทราบเรื่องอันใดยิ้มพร้อมกล่าวว่า : “เพราะงั้นคุณรีบขึ้นไปเถอะค่ะ ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคิดว่าถ้าเขากลุ้มใจแบบนั้นต่อไปผมคงขาวเต็มหัวแล้วมั้งคะ”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวอันใดต่ออีก
เลขาเหยียนมองเวลาบนเคาน์เตอร์บริการจึงกล่าวขึ้นอีกว่า : “คุณหนูไป๋ ฉันมีธุระต้องขอตัวไปก่อนนะคะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่เมื่อคืนนี้คุณช่วยดูคุณชายเฉินแทนฉันนะคะ” แม้สุดท้ายเขาจะอาการป่วยกำเริบ ทว่าเธอยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจกับเลขาเหยียนอยู่ดี
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เขาไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว” พูดจบเลขาเหยียนก็หันหลังเดินไปสองก้าว จากนั้นก็หันกลับมามาส่งยิ้มให้เธอ : “แม้คุณชายรองเฉียวอาจจะเสียใจมาก แต่ฉันยังอยากส่งคำยินดีให้คุณกับคุณชายเฉินหน่อย ยินดีด้วยนะคะที่ในที่สุดคู่รักแท้อย่างพวกคุณก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันสักที”
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณค่ะ ฉันไปละนะคะ” เลขาเหยียนโบกไม้โบกมือให้เธอ จากนั้นก็หันหลังเดินไปยังประตูทางเข้าของตึกใหญ่
--
ในที่สุดเซิ่งเคอก็เจอผู่เหลียนเหยาแล้ว ผู่เหลียนเหยาในเวลานี้ผอมลงกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อเซิ่งเคอมองเห็นเธอครั้งแรกก็รู้สึกสงสารจนพูดอะไรไม่ออก
ท่าทางของผู่เหลียนเหยาก็เห็นได้ชัดว่าไม่สงบเป็นอย่างมากเช่นกัน คำพูดแรกที่เธอกล่าวขึ้นมาคือ : “ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เจอหน้านายแล้ว ทำไมยังมาอีก ?”
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเซิ่งเคออยากเจอหน้าเธอมาตลอด เธอเองก็ไม่มีทางใจอ่อนเดินออกมาแต่อย่างใด
ไม่เจอกันนานหลายวัน เซิ่งเคอเองก็ซูบผอมลงมากและสีหน้าซีดเซียวมากเช่นกัน ผู่เหลียนเหยามองเขาแค่แวบเดียวก็ทนมองอีกไม่ได้ เพราะเป็นห่วงว่าตนเองจะทำเย็นชาปฏิเสธเขาอย่างถึงที่สุดไม่ได้
“อยู่ในนั้นเธอสบายดีหรือเปล่า ?” สุดท้ายเซิ่งเคอก็ถามขึ้นมา
“สบายดี” ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า
หลังจากที่กล่าวทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันสั้น ๆ แล้ว ผู่เหลียนเหยาก็ตกอยู่ในความเงียบพร้อมเบือนหน้าหนีไปอีกทางเช่นเคย
“เหลียนเหยา……หรือว่าเธอไม่อยากคุยกับฉันสักนิดเลยหรือไง” เซิ่งเคอถามขึ้นด้วยความเจ็บปวดหัวใจ
ในที่สุดผู่เหลียนเหยาก็หันหน้ามา พร้อมจ้องหน้าเขาแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า : “นายคิดว่าฉันควรจะพูดอะไร ? ร้องไห้ขี้มูกโป่งบอกว่าฉันกลัวมาก ฉันลำบากมากอย่างนั้นเหรอ ? หรือว่าร้องไห้ถามว่าฉันควรทำยังไงต่อไปดี ? ทำยังไงกับพี่สาวดี ? ทำยังไงกับน้องชายดี”
เซิ่งเคอกล่าวขึ้นด้วยความทนไม่ไหว : “เธอไม่ต้องห่วงนะ เมื่อก่อนฉันบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือไง ? พี่เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สาวเธอเลย ตอนนี้เขารู้แล้วเขาบอกว่าจะชดเชยให้อย่างเต็มที่ ช่วยเหลือให้พี่สาวเธอดีขึ้นอย่างเต็มที่”
“หลังจากที่ทำร้ายคนอื่นจนกลายเป็นสภาพนั้นแล้วก็โยนเงินฟาดหัว หาหมอช่วยเหลือเธอก็จะไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ ? นายช่วยไปบอกเขาทีว่า ฉันไม่ต้องการ !”
“เหลียนเหยา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาขุ่นเคืองกันนะ” เซิ่งเคอกล่าว : “และน้องของเธอ……เธอบอกฉันมาว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาเขาแล้วดูแลเขาแทนเธอเอง”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เขาสบายดีจะตายไป” ผู่เหลียนเหยาพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ความจริงแล้วผู่จี้กับเธอทำเรื่องเลว ๆ เยอะด้วยกันถึงเพียงนี้ จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายได้อยู่หรือไม่มันเป็นหนึ่งปัญหา
เธอถึงขั้นไม่กล้าบอกผู่จี้ว่าหยางหลี่ยังไม่ตาย ยังอยู่ในโรงพยาบาลประสาท เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นห่วงและกลับประเทศมาแบบกะทันหัน สุดท้ายก็มาตกอยู่ในจุดจบแบบเธอเช่นนี้
“นายกลับไปเถอะ ฉันไม่มีอะไรอยากคุยกับนายแล้ว” ผู่เหลียนเหยากล่าว
ความเย็นชาของเธอทำให้เซิ่งเคอเจ็บปวดที่หัวขึ้นมา : “เธอไม่อยากเจอหน้าฉันขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากคุยกับฉันนาน ๆ หน่อยเหรอ ?”
“ฉันบอกหลายครั้งแล้วนะ ตอนนั้นฉันคบกับนายก็เพื่อใช้ประโยชน์ในการเข้าบ้านตระกูลหนานกง ไม่ได้รักนายจริง ๆ สักหน่อย สำหรับฉันตอนนี้นายมันไม่มีคุณค่าในการใช้ประโยชน์แล้ว ฉันไม่อยากเจอหน้านายอีกต่อไปแล้วด้วย เพราะงั้นวันข้างหน้ารบกวนอย่ามาที่นี่อีก ฉันจะไม่ออกมาเจอหน้านายอีกแล้วเหมือนกัน” ผู่เหลียนเหยาพูดจบก็ชายตามองเขาพูดต่ออีกว่า : “ยังมีธุระอะไรอีกไหม ?”
“ยังมีอีกเรื่อง” เซิ่งเคอเห็นว่าเธอลุกขึ้นเตรียมจะไปแล้วจึงรีบพูดขึ้น
ผู่เหลียนเหยานั่งเก้าอี้กลับคืน จากนั้นก็มองหน้าเขาแวบหนึ่ง : “ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอาการป่วยของหนานกงเฉิน ถ้างั้นนายไม่ต้องพูดหรอก”
เมื่อนั้นขณะที่พูดเรื่องนี้กับไป๋มู่ชิง เธอก็เดาออกแล้วว่าไป๋มู่ชิงจะต้องไปวานให้เซิ่งเคอมาขอร้องเธอเพื่อเอายารักษาแน่นอน และเวลานี้เมื่อเห็นสีหน้าของเซิ่งเคอ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เขาต้องการพูดนั้นก็คือเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยของหนานกงเฉิน
เธอยิ้มขึ้นทันควัน จากนั้นก็มองหน้าเซิ่งเคอพร้อมถามว่า : “จริงสิ สองสามวันนี้คนบ้านตระกูลหนานกงสบายดีไหม ? จะต้องทุกข์ใจมากเลยใช่ไหม ? โศกเศร้ามากเลยใช่ไหม ? ความรู้สึกเผชิญหน้ากับความตายถ้านายไม่เคยสัมผัสมันมาก่อนจะต้องไม่เข้าใจแน่นอน แต่ว่าหลายวันมานี้ฉันได้สัมผัสมันแล้ว ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนั้นเลย ! รู้สึกเหมือนกับ……”
“เหลียนเหยา !” เซิ่งเคอพูดตัดบทเธอทันควัน : “เธอรู้ไหมว่าท่าทางตอนนี้ของเธอมันดูน่ากลัวแค่ไหน ? เธอไม่เหมาะที่จะยิ้มอย่างเลวทรามและทรยศแบบนี้ เธอเลิกแกล้งทำได้แล้ว !”
ผู่เหลียนเหยายักไหล่ : “บอกนายแล้วไม่ใช่หรือไง ? นี่มันคือนิสัยที่แท้จริงของฉัน ผู่เหลียนเหยาที่นายเคยเห็นเมื่อก่อนคือตัวปลอม”
“เหลียนเหยา เธอบอกฉันมาก่อนว่าเธอวางยาอะไรใส่พี่เขา เมื่อพี่เขาอาการป่วยหายดีแล้ว พวกเราก็จะได้คิดหาวิธีช่วยเหลือเธอออกมาโดยเร็ว” เซิ่งเคอกล่าวด้วยความร้อนรนใจ : “ปกติแล้วพี่เขาไม่ได้ทำแย่กับพวกเราเลยนะ เธออย่าทำอย่างนี้กับเขาได้ไหม ? เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นความตายของคนนะ”
“การแก้แค้นที่ฉันวางแผนไว้ตั้งนาน นายจะให้ฉันล้มเลิกงั้นเหรอ ?”
“แต่ว่าตอนนี้เธอ……”
“ตอนนี้ฉันสบายดีมาก แผนการของฉันใกล้จะสำเร็จแล้ว ฉันมีความสุข ฉันดีใจ !” ผู่เหลียนเหยากล่าวตัดบทเขา : “นายกลับไปบอกคนตระกูลหนานกงนะ บอกพวกเขาว่าถ้าอยากถามหาวิธีรักษาหนานกงเฉินจากฉัน ไม่มีทางซะหรอก !
บอกพวกเขาให้จัดเตรียมงานศพไว้แต่เนิ่น ๆ เถอะ ไม่ต้องเจอะเจอกันตลอดไปอย่างนั้นเลย ! ”
หลังจากที่ผู่เหลียนเหยาพูดประโยคนี้ออกมา สุดท้ายก็มองหน้าเซิ่งเคอที่กำลังเป็นกังวลใจอยู่ จากนั้นก็กลับหลังหันเดินเข้าไปข้างใน
“เหลียนเหยา……” เซิ่งเคอร้องเรียกชื่อเธอจากด้านหลังอย่างเป็นกังวลใจ ครั้นสุดท้ายเธอก็ไม่กลับมา
สุดท้ายเขาทำได้เพียงหลับตาลงล้มเลิกความตั้งใจ จากนั้นก็หันหลังเดินไปยังประตูทางเข้า
ไป๋มู่ชิ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตูอยู่ตั้งแต่นานแล้ว เมื่อเห็นเซิ่งเคอเดินออกมาจากด้านใน ก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วถามเขาว่า : “ผู่เหลียนเหยาว่ายังไงบ้าง ?”
เซิ่งเคอมองหน้าเธอจากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเอือมละอา เมื่อเห็นว่าเขาส่ายหน้า ความหวังอันน้อยนิดที่อยู่ในใจของไป๋มู่ชิงก็สลายไปจนหมดสิ้นทันที
“ขอโทษทีนะพี่สะใภ้ ท่าทางของผู่เหลียนเหยาเด็ดเดี่ยวมาก ไม่มีท่าทีว่าจะปริปากเลยแม้แต่น้อย”
แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะผิดหวังเป็นอย่างมาก ครั้นเธอมองออกว่าตอนนี้เซิ่งเคอเป็นทุกข์และโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ดีไปกว่าเธอเลย ดังนั้นเธอจึงกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นมาพร้อมพูดว่า : “ไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงก็ไม่ได้มีความคาดหวังเยอะอะไรนักหรอก”
เซิ่งเคอพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง : “เซิ่งเคอ นายโอเคหรือเปล่า ?”
“ผมไม่เป็นไร” เซิ่งเคอยิ้มขึ้นอย่างฝืนใจ : “พี่สะใภ้ ผมไปละนะ พี่ก็รีบกลับไปเถอะนะ”
“อืม นายอย่าเสียใจมากเกินไปล่ะ……อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีด้วย”
เซิ่งเคอพยักหน้า จากนั้นก็เดินจากไป หลังจากที่เห็นเขาเดินจากไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงสูดหายใจเข้าเบา ๆ ด้วยความรู้สึกจนปัญญา เวลาต่อมาก็กลับหลังหันเดินมุ่งไปยังรถ
เมื่อเธอขึ้นรถมา หนานกงเฉินที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยิ้มขึ้นพลางมองหน้าเธอ : “เป็นยังไง ? ตัดใจแล้วเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาแวบหนึ่ง เธอรู้สึกโศกเศร้าเป็นอย่างมากจนไม่อยากพูดอะไร
วันนี้ขณะที่เธอต้องการมาที่นี่นั้น หนานกงเฉินได้โน้มน้าวเธอแล้วว่าไร้ประโยชน์ ผู่เหลียนเหยาไม่มีทางปริปากบอกแน่นอน ทว่าเธอยังคงมาอยู่ดี โดยพาความหวังอันน้อยนิดมาด้วย
“อย่าเป็นอย่างนี้เลย เดี๋ยวฉันรู้สึกละอายใจหรอก” หนานกงเฉินดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็พรมจูบไปยังแก้มของเธอ
“ฉันแค่อยากให้คุณหายดีขึ้นเร็ว ๆ” ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
“ฉันรู้ ฉันก็อยากให้ตัวเองดีขึ้นเร็ว ๆ เหมือนกัน” หนานกงเฉินบีบใบหน้าเรียวเล็กของเธอพร้อมยิ้มขึ้น : “ไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะยอมกลับมาอยู่ข้างกายฉัน แน่นอนว่าฉันไม่อยากทิ้งเธอไว้ไม่สนใจหรอกนะ”
“ฉันกลัวว่าคุณจะไม่รักษาสัญญา”
“ไม่มีทาง” หนานกงเฉินยังคงยิ้มอยู่ : “เธอก็รู้ฉันไม่เคยพูดปลดตั้งแต่ไหนแต่ไรมา”
ไป๋มู่ชิงเพียงแนบอิงอยู่ภายในอ้อมกอดของเขาเบา ๆ ไม่พูดจา
หลังจากที่กอดกันมาพักหนึ่ง หนานกงเฉินจึงคลายเธอออกแล้วกล่าวว่า : “ไปกันเถอะ”
ไป๋มู่ชิงสูดน้ำมูกเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง
หนานกงเฉินสตาร์ทรถ ทว่าไม่ได้ขับไปยังทิศทางกลับบ้าน ครั้นขับไปยังชานเมือง
“ไปไหนเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองนอกประตูจากนั้นก็ถามขึ้น
“ไม่ได้ไปไหน ไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยรับลมน่ะ” สองมือของหนานกงเฉินควบคุมพวงมาลัยรถยนต์อยู่อย่างมั่นคง เขาหันหน้ามองเธอแวบหนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “พวกเราไม่ได้ออกไปเดินเล่นด้วยกันนานเท่าไหร่แล้ว ?”
“ดูเหมือนว่าจะไม่เคยทำมาก่อนเลยนะ ?” ไป๋มู่ชิงกล่าว
ภายในช่วงเวลาหลายวันที่อยู่กับหนานกงเฉิน นอกจากที่อยู่ฝรั่งเศสแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่เคยเดินเล่นด้วยกันตามลำพังเลยจริง ๆ ถึงอย่างไรเธอนึกไม่ออกเลยว่าเคยตอนไหน
ไม่เพียงแค่เธอ แม้แต่หนานกงเฉินเองก็นึกไม่ออกเช่นกัน เขาหันหน้ามาส่งยิ้มให้เธอ : “เพราะงั้นพวกเราต้องออกไปเดินเล่นบ่อย ๆ เสริมสร้างความรู้สึกที่มีต่อกัน อย่างนั้นวันข้างหน้าเธอจะได้ไม่ไปแต่งงานกับคนอื่นเพื่อตอบแทนบุญคุณอีกต่อไปแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...