ทั้งสองอาศัยการนั่งพิงบนก้อนหินดูพระอาทิตย์ตกและคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มค่อยๆมืดลง เสื้อผ้าของทั้งสองก็เกือบจะแห้งดีหมดแล้ว
ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว แต่จู่ๆไป๋มู่ชิงก็ความรู้สึกลังเลไม่อยากไปจากที่นี่ ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะนั่งแบบนี้ไปเรื่อยๆตลอดไป
แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่สามารถเป็นไปตามที่เธอปรารถนาได้ โดยเฉพาะท้องฟ้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งมืดลง ยิ่งลมทะเลที่กำลังพัดเข้ามาค่อยๆเริ่มหนาวเย็นขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าของทั้งสองคนที่ยังไม่แห้งสนิท
เธอนั้นไม่ได้สนใจตัวเองว่าจะเป็นยังไง แต่กลับกังวลใจว่าหนานกงเฉินจะเป็นหวัด
“กลับกันเถอะ” เธอนั่งข้างๆเขาและยืดตัวตรง
“ ฉันยังไม่อยากกลับไปเลยจะทำยังไงดี ” หนานกงเฉินยื่นมือไปโอบไหล่ของเธอแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
ที่แท้เขาก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ไป๋มู่ชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “แต่พวกเราไม่สามรถนั่งแบบนี้ไปทั้งคืนได้ เราจะต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไม่งั้นจะเป็นหวัดได้"
"อืม งั้นก็กลับกันเถอะ" หนานกงเฉินก็กังวลขึ้นมาว่าเธอจะเป็นหวัดเหมือนกัน ดังนั้นจึงดึงเธอขึ้นจากก้อนหิน
หนานกงเฉินกังวลหินปะการังที่อยู่ใต้เท้าจะทิ่มแทงฝ่าเท้าของเธอ ดังนั้นจึงก้มหลังลงตรงหน้าเธอ "มา ฉันจะแบกคุณไปถึงที่ทางไม้กระดาน"
ไป๋มู่ชิงอมยิ้มพูดว่า "คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่แบกฉันจนล้มเงยหลังไป"
"ว่างใจได้ น้ำหนักตัวของคุณยังไม่ถึงขนาดทำให้ฉันล้มเงยได้"
"งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ" ไป๋มู่ชิงพูดจบเธอก็เอนตัวขึ้นไปขี่หลังเขา ใช้มือทั้งสองกอดคอเขาไว้แน่น
หนานกงเฉินค่อยๆก้าวไปข้างหน้าบนหินปะการังอย่างระมัดระวัง มองเห็นเท้าที่เนียนขาวของเขาเหยียบบนพื้นหินที่ตะกุตะกะ นึกถึงว่าปกติเขาไม่เคยเดินเท้าเปล่า ไป๋มู่ชิงเพียงแค่มองดูก็รู้สึกถึงความเจ็บ
“ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ปล่อยฉันลง” เธอตั้งใจเป่าลมไปที่หลังหูเขา
หนานกงเฉินถูกเธอแกล้งเป่าจนมีอาการคัน พูดด้วยความโกรธ "อย่าซนสิ"
"ฉันเปล่านะ ฉันแค่เป็นห่วงคุณ" ไป๋มู่ชิงเป่าลมไปที่หลังหูอีกข้างของเขา ทำให้เขาเกือบจะบ้าคลั่ง
หนานกงเฉินก้าวเท้าหนึ่งตรงบนทางไม้กระดาน จึงปล่อยเธอลงจากหลัง ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากำลังจะคว้าจับมือของเธอ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทางไม้ทันที ขณะวิ่งไปยังตะโกนไปว่า "หนานกงเฉินอย่าใจแคบขนาดนั้นเลย ... . ฉันแค่เป่าหูคุณไปสองครั้งเอง
“ ฉันใจแคบแล้วไง ” หนานกงเฉินเร่งวิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เขาขายาวก้าวยาว แป๊บเดียวก็จับตัวเธอได้และจับเธอเข้าสู่อ้อมแขน
ไป๋มู่ชิงถูกเขากอดจากด้านหลัง ก้มตัวลงหัวเราะคิกคัก หนานกงเฉินก้มหัวลงกัดที่คอของเธอเพื่อแก้แค้นแล้วกัดไปที่ติ่งหูของเธอทีหนึ่งพูดว่า "ฉันแค่กัดคุณไปสองทีเอง คุณจะมาใจแคบไม่ได้นะรู้ไหม”
"น่าเกลียด คุณกัดจนฉันเจ็บแล้วนะ"
"มีที่ไหน ไม่เห็นมีรอยเลย" หนานกงเฉินใช้มือแตะที่คอของเธอ
ทั้งสองหยอกล้อกันสักพักใหญ่ๆ ไป๋มู่ชิงกระโดดขึ้นไปขี่บนหลังของเขาอีกครั้ง พูดอย่างยั่วยวน "ฉันอยากให้คุณแบกฉันไปจนถึงลานจอดรถ"
"ไม่มีปัญหา ถ้าหากคุณไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ"
"ฉันไม่กลัว ไม่มีใครรู้จักฉันอยู่แล้ว" ไป๋มู่ชิงหัวเราะอิ อิ ๆ "แต่คุณเองสิ ช่วงนี้พาดหัวข่าวไปเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าแว่นกันแดดดำจะช่วยบังได้ไหม"
"ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่รายงานเพิ่มมาว่าฉันมีเมียน้อยแค่นั้น "
"ในเมื่อคุณยังไม่สนใจเลนย ฉันก็ยิ่งไม่ต้องสนใจอะไร" ไป๋มู่ชิงกอดคอของเขาแน่นและยิ้มอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ
ณ เวลาตอนนี้ พวกเขาไม่อยากไปคิดถึงว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่อยากไปคิดถึงโรคของหนานกงเฉิน
ในตอนนี้พวกเขาแค่อยากใช้ช่วงเวลานี้อย่างมีค่า เพราะมันยากมากกว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ ถ้าเสียไปแล้ว ก็ไม่อาจรู้ว่าจะมีโอกาสมาอีกเมื่อไร
-
และแล้วก็เป็นตามอย่างที่ไป๋มู่ชิงคาดไว้ ในตอนกลางดึกหนานกงเฉินมีไข้ขึ้น สิ่งที่ทำให้เธอกังวลมากที่สุดคือโรคจะกำเริบ
แม้ว่าเธอจะรีบป้อนยาเข้าปากให้เขาในช่วงเวลาอันสั้นที่สุด แต่เขาก็ยังทรมานมากกับความเจ็บปวดนั้น จนทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมือนอย่างเคย
ไป๋มู่ชิงอ้อมกอดเขาไว้ เพื่อพยายามให้เขาสงบลง แต่หนานกงเฉินก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จนโยนเธอลงไปบนพื้นพรมทันที
แม้ว่าพื้นพรมจะนุ่ม แต่เขาใช้แรงทั้งหมดโยนเธอล้มลงไป ทำให้ไป๋มู่ชิงถูกกระแทกจนดาวเต็มตาไปหมด
"เฉิน ฉันเจ็บมาก ... " เธอทรุดตัวบนพื้นเสียงเธอเบามาก
เธอหวังว่าหนานกงเฉินจะได้ยินเสียงเรียกของเธอ หนานกงเฉินไม่เคยที่อยากจะทำร้ายเธอ เขาต้องได้ยินเสียงของเธออย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หนานกงเฉินได้ยินเสียงเรียกของเธอแล้วดูสามารถสงบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็คลานลงจากเตียงไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้นด้วยอาการสั่นเทา "มู่ชิง ... มู่ชิง ... "
ไม่เพียงแต่เสียงของเขาสั่นเท่านั้น แต่ร่างกายของเขายังสั่นเทาอย่างน่าเจ็บปวดใจ
"เฉิน ... คุณยังโอเคไหม คุณทรมาณมากใช่ไหม ไม่งั้นคุณกัดฉันก็ได้... " ไป๋มู่ชิงร้องไห้พูดว่า ถ้าการกัด จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะก็ เธอยินดีที่จะให้เขากัดเธอ เหมือนแต่ก่อนที่เขาเคยกัดข้อมือเธอจนเป็นแผลเลยก็ได้
แต่หนานกงเฉินกลับไม่ยอม เขาไม่ต้องการทำร้ายเธอ ไม่อยากทำร้ายเธอ
ดังนั้น เขาผลักเธอออกจากอ้อมแขนอย่างแรง ตะโกนออกมา "ถอยออกไป ออกไป"
ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักไปด้านข้างอย่างรุนแรง เธอถูกผลักจนมึนงง กว่าจะหายมึนมาหน่อย พอหันหัวไปก็พบว่า หนานกงเฉินนอนหดตัวอยู่บนพื้นตัวสั่นมาก
เธอนั่งข้างๆเขาร้องไห้อย่างปวดใจ ความรู้สึกที่อยากช่วยเขาแต่ไม่รู้จะลงมือช่วยยังไง มันอึดอัดใจมากทรมาณใจมาก
ในที่สุด หนานกงเฉินก็สงบลง อาการหมดสติเหมือนอย่างเคย
ไป๋มู่ชิงกับคุณหมอจางช่วยกันพยุ่งตัวหนานกงเฉินที่อยู่ในอาการหมดสติกลับไปบนเตียง ทำการหยดน้ำเกลือให้เขา
คุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงร้องไห้แล้วพูดว่า “เฉินเมื่อคืนก่อนพึ่งจะโรคกำเริบไปไม่ใช่หรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กำเริบอีก หรือว่าจะเป็นจริงเหมือนอย่างที่ผู่เหลียนเหยาผู้หญิงสำส่อนคนนั้นพูด โรคของเฉินจะกำเริบมากขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
คุณหมอจางก็ไม่สามารถตอบได้ว่าทำไม ได้แต่ยืนมือใส่เอวอยู่ข้างๆ
"คุณย่า ... ฉันขอโทษ ... " ไป๋มู่ชิงน้ำตาอาบแก้ม พูดด้วยความรู้สึกผิด "โทษที่ฉันไม่ดีเอง ช่วงบ่ายตอนเราอยู่ริมชายหาดปล่อยให้คุณชายใหญ่ต้องเป็นหวัด ตอนเมื่อตะกี้เขาเลยเป็นไข้ ... "
คุณผู้หญิงยกมือขึ้นตบบนหัวเธอไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ ตำหนิว่า "ปกติเธอดูแลเฉินได้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรอ ทำไมสมองถึงสับสนจนยังพาเขาไปที่ชายหาดแถมยังปล่อยให้เขาเป็นหวัดอีก ... "
ไป๋มู่ชิงก้มหัวลง ได้แต่ร้องไห้
พี่เหอโอบรอบแขนของคุณผู้หญิงพูดอย่างปลอนโยน "คุณผู้หญิง ในเวลาแบบนนี้อย่าโทษนายหหญิงน้อยเลย โรคของคุณชายใหญ่กำเริบ นายหญิงน้อยเธอก็เสียใจเหมือนกับท่าน ”
ถึงจะเป็นอย่างที่พูด แต่ว่าคุณผู้หญิงก็ยังอดต่อว่าเธอไม่ได้ เพราะท่านกังวลใจมาก จนต้องหาที่ระบาย
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ใส่ใจที่ถูกคุณผู้หญิงต่อว่า ใช่ว่าเธอจะยังไม่รู้จักนิสัยของคุณผู้หญิง ท่านแค่กังวลว่าถ้าหนานกงเฉินล้มป่วยบ่อยๆอย่างงี้ เขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งเดือน
ไป๋มู่ชิงโดนหยดน้ำเกลือ ภายในห้องนอนก็เงียบสงบลงอีกครั้ง หลังจากคุณผู้หญิงต่อว่าไปแล้วอารมณ์ผ่อนคลายอ่อนลง เช็ดน้ำตาแล้วพูดกับไป๋มู่ชิงว่า "มู่ชิง เธอไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยขนาดนี้ทุกครั้ง ปล่อยให้คนอื่นเขาดูเฉินก็บ้างก็ได้ เธอไปพักผ่อนให้สบายที่ที่ห้องนอนตรงข้าม”
แม้ว่าที่ผ่านมาท่านจะไม่ค่อยชอบไป๋มู่ชิง แต่ ณ ตอนนี้ตระกูลหนานกงนอกจากท่านแล้วก็เหลือแค่ไป๋มู่ชิงที่เป็นเสาหลักของตระกูล และท่านมองออกว่าไป๋มู่ชิงนั้นจริงใจและหวังดีกับหนานกงเฉินอย่างแท้จริง เป็นคนสุดท้ายที่จะสามราถดูแลตระกูลหนานกงได้ ท่านไม่ต้องการให้เธอเหนื่อยล้าจนเกินไปเพราะโรคป่วยของหนานกงเฉิน
ไป๋มู่ชิงส่ายหัวไปมา สูดจมูกแล้วพูดว่า "คุณยายไปนอนเถอะ ฉันจะอยู่เฝ้าคุณชายใหญ่เอง"
“ นายหญิงน้อยคุณทำแบบเพื่ออะไร พี่เหอก็ช่วยพูดห้ามขึ้นอีกคน
"ทุกครั้งที่มีฉันอยู่ ครั้งไหนที่ไม่ใช่ฉันเป็นคนเฝ้าเขา ถ้าไม่ให้ฉันเฝ้าฉันกับรู้สึกไม่เคยชินซะแล้ว " เธอยิ้มอย่างขมขื่น คว้าฝ่ามือของหนานกงเฉินจับไว้ " คุณชายใหญ่ยังไม่ตื่นขึ้นมาจะให้ฉันนอนหลับได้ยังไง”
เมื่อเห็นเธอยืนยันขนาดนั้น คุณผู้หญิง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามใจเธอ
หลังจากคุณผู้หญิงออกไป ในห้องนอนก็เงียบสนิท ไป๋มู่ชิงเฝ้าหนานกงเฉินอยู่ตรงขอบเตียง มองไปที่ใบหน้าซีดขาวอันหล่อเหลาของเขา เธอจับฝ่ามือของเขาอย่างแน่น พูดออกมาอย่างทุกข์ใจ "เฉิน พรุ่งนี้เช้า ตื่นมาแต่เช้าหน่อยนะ"
-
แม้ว่าจะเตือนหนานกงเฉินให้ตื่นมาแต่เช้าแล้วก็ตาม แต่ว่าหนานกงเฉินก็ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนอย่างเช่นเคย
ไป๋มู่ชิงที่ก้มตัวนอนอยู่บนขอบเตียงตื่นขึ้นมาอีกทีก็เก้าโมงเช้าแล้ว ตามปกติแล้วหนานกงเฉินน่าจะตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่วันนี้กับไม่ใช่อย่างนั้น
เธอขยี้ตาทั้งสองข้าง จับแขนของเขาเขย่าเล็กหน่อยเรียกเบาๆ "เฉิน คุณยังไม่ตื่นนอนอีกเหรอ เฉิน ... "
หนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงยังคงนอนไม่ตอบสนอง ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น ใช้มือแตะไปที่หน้าผากอย่างลังเล หลังจากสัมผัสถึงอุณหภูมิร่างกายที่ปกติของเขาแล้ว จึงค่อยโล่งใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้วางใจลงทั้งหมดเพราะแค่นี้ แต่รีบคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงแล้วกดโทรหมายเลขของคุณหมอจางออกไป
เมื่อได้ยินว่าหนานกงเฉินเวลานี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา คุณหมดจางจึงวางโทรศัพท์ทันทีแล้วรีบตรงมาที่ห้องนอนของหนานกงเฉิน
ในขนาดที่คุณหมอจางกำลังตรวจเช็คให้หนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงแทบรอไม่ไหวที่จะถามว่า "คุณหมอจางสรุปเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณชายใหญ่เขายังไม่ตื่นขึ้นมา"
คุณหมอจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้คุณชายใหญ่ยังไม่ตื่นขึ้นมา งั้นก็ต้องย้ายไปที่โรงพยาบาลแล้ว"
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างอึดอัดใจ ถ้าถึงขั้นต้องย้ายไปที่โรงพยาบาล นั้นหมายความว่าอาการของเขาร้ายแรงหนักมาก
ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ คุณผู้หญิงนั่งอยู่ข้างล่างอย่างไม่เป็นสุข ไป๋มู่ชิงนั่งเฝ้ามองหนานกงเฉินอย่างกับเข็มนาฬิกาอยู่ตรงหน้าเตียง ตาของเธอจ้องมองแบบไม่กล้าละสายตาจากหน้าของหนานกงเฉิน เพราะกลัวว่าจะพลาดทุกปฏิกิริยาของเขา
เมื่อเวลาใกล้เข้าถึงสิบโมงนั้น เธอกังวลจนรีบร้อนเขย่ามือของเขาพูดว่า "เฉิน ... คุณตื่นได้แล้ว ถ้าคุณยังไม่ยอมตื่นอีกคุณก็จะถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้วนะ ฉันไม่อยากส่งคุณไปที่ ... "
"เฉิน คุณได้ยินเสียงที่ฉันพูดไหม ฉันขอให้คุณรีบตื่นมาเร็ว ๆ ...... " เธอกระซิบเสียงแข็ง
อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงความทุกข์ในใจของเธอ หนานกงเฉินค่อยๆตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสุดท้าย ความจำของเขาค่อย ๆ กลับมา ข้างๆหูนั้นได้ยินแต่เสียงเรียกอย่างวิตกกังวลของไป๋มู่ชิง
เขาทุกข์ใจจนพลิกฝ่ามือที่เธอกุมมือเขาไว้ มาจับมือเล็ก ๆ ของเธอ
เดิมทีไป๋มู่ชิงก้มตัวทับอยู่บนแขนของเขา เมื่อเธอรู้สึกถึงฝ่ามือของเขากำลังขยับ เธอก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาโดยสัญชาตญาณ
เขาตื่นแล้ว เขาตื่นขึ้นมาจริงๆ
ไป๋มู่ชิงหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น จ้องมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างมึนงงนิดๆว่า "เฉิน คุณตื่นหรือยัง"
"ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าฉันเป็นมามี่หรือไง" หนานกงเฉินพูดขณะอมยิ้ม
“ เมื่อตะกี้คุณทำให้ฉันตกใจกังวลแทบตายอยู่แล้ว คุณยังจะมาพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้มาแกล้งทำให้ฉันตกใจอีก” ไป๋มู่ชิงตบตีมือเขาด้วยความโกรธ พูดด้วยน้ำตา "ฉันคิดว่าคุณจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว"
“ เป็นไปได้ไง ฉันเคยรับปากสัญญากับคุณแล้วว่าจะมีชีวิตต่อให้ดี”
“ แต่คุณดูสิว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเวลาบนกำแพงตอนนี้ สิบโมงแล้ว ใช่มันสายเกินไปหน่อย ไม่แปลกใจที่เธอร้องไห้ขนาดนี้
เขายกมือขึ้นไปปาดน้ำตาออกจากแก้มของเธอ พูดอย่างอ่อนโยนเบาๆว่า "ฉันขอโทษ ฉันไม่ดีเอง"
คำขอโทษอย่างกะทันหันของเขาทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่สบายใจ เธอยกมือขึ้นแล้วปัดฝ่ามือของเขาออก พูดอย่างโกรธและโทษเขา "คราวนี้ฉันให้อภัยคุณ แต่คราวหน้าอย่าทำอย่างงี้อีก เข้าใจไหม”
"โอเค ฉันเข้าใจแล้ว "หนานกงเฉินมองสังเกตร่างกายของเธอ ถามอย่างเป็นห่วง "มู่ชิง เมื่อคืนฉันทำให้คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า"
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาโยนไป๋มู่ชิงจนตกเตียง เกือบทุกครั้งที่เขาโรคกำเริบก็จะทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงกังวลมาก
ไป๋มู่ชิงส่ายหัว "ฉันโอเคมาก สบายใจได้"
"จริงเหรอ ถอดเสื้อผ้าของคุณให้ฉันดูหน่อย " หนานกงเฉินยังคงจ้องมองอย่างกับกำลังสแกนร่างกายของเธอ
ไป๋มู่ชิงใช้สองมือกอดร่างของตัวเองไว้ จ้องมองเขาพูดว่า "เวลาแบบนี้ ทำไมคุณยังมีอารมณ์ที่จะลวนลามผู้หญิงอีก"
"ในเวลาแบบนี้คุณยังมีอารมณ์เข้าใจความหมายของคนอื่นเขาผิด ดูเหมือนว่าคุณจะสบายดีจริงๆ " หนานกงเฉินหัวเราะเบา ๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงค่อยจางลง จับมือของเขาแน่นและจ้องมองเขานิ่งๆอย่างจริงจัง “ คุณรู้ไหม ทุกครั้งที่คุณโรคกำเริบ สิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายที่สุดไม่ใช่ตอนที่คุณทำร้ายฉัน แต่เป็นเวลาที่ฉันกำลังรอคุณตื่นขึ้นมาเหล่านั้นต่างหาก ก็อย่างตอนเมื่อกี้ "
หนานกงเฉินมองน้ำตาตรงใต้ตาของเธอที่ยังไม่แห้งดี พยักหน้าอย่างทุกข์ใจ " ฉันเห็นแล้ว" เขายกมือขึ้นลูบหน้าของเธอเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด "ฉันขอโทษ ทุกครั้งที่โรคฉันกำเริบไม่เพียงแต่ทำร้ายคุณเท่านั้น ยังทำให้คุณไม่สบายใจมาก ... "
ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาลงมา กุมมือของเขาส่ายหัวแล้วยิ้ม "เฉิน ฉันไม่ได้จะตำหนิคุณ ฉันแค่ ... เป็นห่วงคุณ หวังแค่ว่าคุณจะรีบหายดีขึ้นเร็วๆ "
หนานกงเฉินพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงหยุดพักหนึ่ง กล่าวต่อว่า " ต้องโทษฉันที่ไม่ได้เรื่อง ทั้งที่รู้ว่าคุณสุขภาพไม่คอยดียังปล่อยให้คุณอยู่ตรงชายหาดเป็นเวลานานแถมเสื้อยังเปียกอีก"
“ เป็นเพราะฉันผลักคุณตกน้ำเอง”
“ แต่ถ้าเราขึ้นฝั่งเร็วกว่านี้ รีบกลับบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าบางทีคุณก็อาจจะไม่เป็นไข้ก็ได้ ”
"ที่รัก ตอนนี้เรากำลังประชุมเรื่องการขอโทษอยู่หรือเปล่า" หนานกงเฉินยิ้มและใช้มือบีบปลายจมูกของเธอเบาๆ "มา ช่วยพยุ่งฉันขึ้นมาหน่อย"
ไป๋มู่ชิงเอนตัวแนบชิดไปดึงเขาขึ้นจากเตียง อาจเป็นเพราะเขานอนนานเกินไป หนานกงเฉินมีความรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เขาพึ่งลุกขึ้นนั่งก็ล้มตัวนอนไปบนเตียงทันที
"เฉิน คุณยังโอเคไหม" ไป๋มู่ชิงถามอย่างกังวล
หนานกงเฉินจับสัมผัสร่างกายของเขาครู่หนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ตายแล้ว ฉันไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ฉันคงไม่ใช่ว่าถึงขั้นไม่สามารถจัดการชีวิตประจำวันของตัวเองได้แล้ว "
สีหน้าของไป๋มู่ชิงซีดลงทันที จ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ “ ไม่สามารถลุกขึ้นแล้วจริงๆหรือ”
"จริงๆ" หนานกงเฉินถูขาทั้งสองข้างของเขา "ทำอย่างไงดี แค่ข้ามคืนก็พิการแล้ว คุณช่วยไปหารถเข็นมาให้ฉันหน่อย "
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...