เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 238

ทั้งสองอาศัยการนั่งพิงบนก้อนหินดูพระอาทิตย์ตกและคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มค่อยๆมืดลง เสื้อผ้าของทั้งสองก็เกือบจะแห้งดีหมดแล้ว

ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว แต่จู่ๆไป๋มู่ชิงก็ความรู้สึกลังเลไม่อยากไปจากที่นี่ ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะนั่งแบบนี้ไปเรื่อยๆตลอดไป

แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่สามารถเป็นไปตามที่เธอปรารถนาได้ โดยเฉพาะท้องฟ้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งมืดลง ยิ่งลมทะเลที่กำลังพัดเข้ามาค่อยๆเริ่มหนาวเย็นขึ้น รวมถึงเสื้อผ้าของทั้งสองคนที่ยังไม่แห้งสนิท

เธอนั้นไม่ได้สนใจตัวเองว่าจะเป็นยังไง แต่กลับกังวลใจว่าหนานกงเฉินจะเป็นหวัด

“กลับกันเถอะ” เธอนั่งข้างๆเขาและยืดตัวตรง

“ ฉันยังไม่อยากกลับไปเลยจะทำยังไงดี ” หนานกงเฉินยื่นมือไปโอบไหล่ของเธอแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน

ที่แท้เขาก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ไป๋มู่ชิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “แต่พวกเราไม่สามรถนั่งแบบนี้ไปทั้งคืนได้ เราจะต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ไม่งั้นจะเป็นหวัดได้"

"อืม งั้นก็กลับกันเถอะ" หนานกงเฉินก็กังวลขึ้นมาว่าเธอจะเป็นหวัดเหมือนกัน ดังนั้นจึงดึงเธอขึ้นจากก้อนหิน

หนานกงเฉินกังวลหินปะการังที่อยู่ใต้เท้าจะทิ่มแทงฝ่าเท้าของเธอ ดังนั้นจึงก้มหลังลงตรงหน้าเธอ "มา ฉันจะแบกคุณไปถึงที่ทางไม้กระดาน"

ไป๋มู่ชิงอมยิ้มพูดว่า "คุณแน่ใจหรือว่าจะไม่แบกฉันจนล้มเงยหลังไป"

"ว่างใจได้ น้ำหนักตัวของคุณยังไม่ถึงขนาดทำให้ฉันล้มเงยได้"

"งั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะ" ไป๋มู่ชิงพูดจบเธอก็เอนตัวขึ้นไปขี่หลังเขา ใช้มือทั้งสองกอดคอเขาไว้แน่น

หนานกงเฉินค่อยๆก้าวไปข้างหน้าบนหินปะการังอย่างระมัดระวัง มองเห็นเท้าที่เนียนขาวของเขาเหยียบบนพื้นหินที่ตะกุตะกะ นึกถึงว่าปกติเขาไม่เคยเดินเท้าเปล่า ไป๋มู่ชิงเพียงแค่มองดูก็รู้สึกถึงความเจ็บ

“ คุณแน่ใจนะว่าจะไม่ปล่อยฉันลง” เธอตั้งใจเป่าลมไปที่หลังหูเขา

หนานกงเฉินถูกเธอแกล้งเป่าจนมีอาการคัน พูดด้วยความโกรธ "อย่าซนสิ"

"ฉันเปล่านะ ฉันแค่เป็นห่วงคุณ" ไป๋มู่ชิงเป่าลมไปที่หลังหูอีกข้างของเขา ทำให้เขาเกือบจะบ้าคลั่ง

หนานกงเฉินก้าวเท้าหนึ่งตรงบนทางไม้กระดาน จึงปล่อยเธอลงจากหลัง ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากำลังจะคว้าจับมือของเธอ ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทางไม้ทันที ขณะวิ่งไปยังตะโกนไปว่า "หนานกงเฉินอย่าใจแคบขนาดนั้นเลย ... . ฉันแค่เป่าหูคุณไปสองครั้งเอง

“ ฉันใจแคบแล้วไง ” หนานกงเฉินเร่งวิ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เขาขายาวก้าวยาว แป๊บเดียวก็จับตัวเธอได้และจับเธอเข้าสู่อ้อมแขน

ไป๋มู่ชิงถูกเขากอดจากด้านหลัง ก้มตัวลงหัวเราะคิกคัก หนานกงเฉินก้มหัวลงกัดที่คอของเธอเพื่อแก้แค้นแล้วกัดไปที่ติ่งหูของเธอทีหนึ่งพูดว่า "ฉันแค่กัดคุณไปสองทีเอง คุณจะมาใจแคบไม่ได้นะรู้ไหม”

"น่าเกลียด คุณกัดจนฉันเจ็บแล้วนะ"

"มีที่ไหน ไม่เห็นมีรอยเลย" หนานกงเฉินใช้มือแตะที่คอของเธอ

ทั้งสองหยอกล้อกันสักพักใหญ่ๆ ไป๋มู่ชิงกระโดดขึ้นไปขี่บนหลังของเขาอีกครั้ง พูดอย่างยั่วยวน "ฉันอยากให้คุณแบกฉันไปจนถึงลานจอดรถ"

"ไม่มีปัญหา ถ้าหากคุณไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ"

"ฉันไม่กลัว ไม่มีใครรู้จักฉันอยู่แล้ว" ไป๋มู่ชิงหัวเราะอิ อิ ๆ "แต่คุณเองสิ ช่วงนี้พาดหัวข่าวไปเยอะขนาดนั้น ไม่รู้ว่าแว่นกันแดดดำจะช่วยบังได้ไหม"

"ไม่เป็นไร อย่างมากก็แค่รายงานเพิ่มมาว่าฉันมีเมียน้อยแค่นั้น "

"ในเมื่อคุณยังไม่สนใจเลนย ฉันก็ยิ่งไม่ต้องสนใจอะไร" ไป๋มู่ชิงกอดคอของเขาแน่นและยิ้มอย่างมีความสุขเป็นพิเศษ

ณ เวลาตอนนี้ พวกเขาไม่อยากไปคิดถึงว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่อยากไปคิดถึงโรคของหนานกงเฉิน

ในตอนนี้พวกเขาแค่อยากใช้ช่วงเวลานี้อย่างมีค่า เพราะมันยากมากกว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้ ถ้าเสียไปแล้ว ก็ไม่อาจรู้ว่าจะมีโอกาสมาอีกเมื่อไร

-

และแล้วก็เป็นตามอย่างที่ไป๋มู่ชิงคาดไว้ ในตอนกลางดึกหนานกงเฉินมีไข้ขึ้น สิ่งที่ทำให้เธอกังวลมากที่สุดคือโรคจะกำเริบ

แม้ว่าเธอจะรีบป้อนยาเข้าปากให้เขาในช่วงเวลาอันสั้นที่สุด แต่เขาก็ยังทรมานมากกับความเจ็บปวดนั้น จนทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เหมือนอย่างเคย

ไป๋มู่ชิงอ้อมกอดเขาไว้ เพื่อพยายามให้เขาสงบลง แต่หนานกงเฉินก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์จนโยนเธอลงไปบนพื้นพรมทันที

แม้ว่าพื้นพรมจะนุ่ม แต่เขาใช้แรงทั้งหมดโยนเธอล้มลงไป ทำให้ไป๋มู่ชิงถูกกระแทกจนดาวเต็มตาไปหมด

"เฉิน ฉันเจ็บมาก ... " เธอทรุดตัวบนพื้นเสียงเธอเบามาก

เธอหวังว่าหนานกงเฉินจะได้ยินเสียงเรียกของเธอ หนานกงเฉินไม่เคยที่อยากจะทำร้ายเธอ เขาต้องได้ยินเสียงของเธออย่างแน่นอน

แน่นอนว่า หนานกงเฉินได้ยินเสียงเรียกของเธอแล้วดูสามารถสงบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็คลานลงจากเตียงไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้นด้วยอาการสั่นเทา "มู่ชิง ... มู่ชิง ... "

ไม่เพียงแต่เสียงของเขาสั่นเท่านั้น แต่ร่างกายของเขายังสั่นเทาอย่างน่าเจ็บปวดใจ

"เฉิน ... คุณยังโอเคไหม คุณทรมาณมากใช่ไหม ไม่งั้นคุณกัดฉันก็ได้... " ไป๋มู่ชิงร้องไห้พูดว่า ถ้าการกัด จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะก็ เธอยินดีที่จะให้เขากัดเธอ เหมือนแต่ก่อนที่เขาเคยกัดข้อมือเธอจนเป็นแผลเลยก็ได้

แต่หนานกงเฉินกลับไม่ยอม เขาไม่ต้องการทำร้ายเธอ ไม่อยากทำร้ายเธอ

ดังนั้น เขาผลักเธอออกจากอ้อมแขนอย่างแรง ตะโกนออกมา "ถอยออกไป ออกไป"

ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักไปด้านข้างอย่างรุนแรง เธอถูกผลักจนมึนงง กว่าจะหายมึนมาหน่อย พอหันหัวไปก็พบว่า หนานกงเฉินนอนหดตัวอยู่บนพื้นตัวสั่นมาก

เธอนั่งข้างๆเขาร้องไห้อย่างปวดใจ ความรู้สึกที่อยากช่วยเขาแต่ไม่รู้จะลงมือช่วยยังไง มันอึดอัดใจมากทรมาณใจมาก

ในที่สุด หนานกงเฉินก็สงบลง อาการหมดสติเหมือนอย่างเคย

ไป๋มู่ชิงกับคุณหมอจางช่วยกันพยุ่งตัวหนานกงเฉินที่อยู่ในอาการหมดสติกลับไปบนเตียง ทำการหยดน้ำเกลือให้เขา

คุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียงร้องไห้แล้วพูดว่า “เฉินเมื่อคืนก่อนพึ่งจะโรคกำเริบไปไม่ใช่หรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้กำเริบอีก หรือว่าจะเป็นจริงเหมือนอย่างที่ผู่เหลียนเหยาผู้หญิงสำส่อนคนนั้นพูด โรคของเฉินจะกำเริบมากขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

คุณหมอจางก็ไม่สามารถตอบได้ว่าทำไม ได้แต่ยืนมือใส่เอวอยู่ข้างๆ

"คุณย่า ... ฉันขอโทษ ... " ไป๋มู่ชิงน้ำตาอาบแก้ม พูดด้วยความรู้สึกผิด "โทษที่ฉันไม่ดีเอง ช่วงบ่ายตอนเราอยู่ริมชายหาดปล่อยให้คุณชายใหญ่ต้องเป็นหวัด ตอนเมื่อตะกี้เขาเลยเป็นไข้ ... "

คุณผู้หญิงยกมือขึ้นตบบนหัวเธอไปทีหนึ่งด้วยความโกรธ ตำหนิว่า "ปกติเธอดูแลเฉินได้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรอ ทำไมสมองถึงสับสนจนยังพาเขาไปที่ชายหาดแถมยังปล่อยให้เขาเป็นหวัดอีก ... "

ไป๋มู่ชิงก้มหัวลง ได้แต่ร้องไห้

พี่เหอโอบรอบแขนของคุณผู้หญิงพูดอย่างปลอนโยน "คุณผู้หญิง ในเวลาแบบนนี้อย่าโทษนายหหญิงน้อยเลย โรคของคุณชายใหญ่กำเริบ นายหญิงน้อยเธอก็เสียใจเหมือนกับท่าน ”

ถึงจะเป็นอย่างที่พูด แต่ว่าคุณผู้หญิงก็ยังอดต่อว่าเธอไม่ได้ เพราะท่านกังวลใจมาก จนต้องหาที่ระบาย

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ใส่ใจที่ถูกคุณผู้หญิงต่อว่า ใช่ว่าเธอจะยังไม่รู้จักนิสัยของคุณผู้หญิง ท่านแค่กังวลว่าถ้าหนานกงเฉินล้มป่วยบ่อยๆอย่างงี้ เขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหนึ่งเดือน

ไป๋มู่ชิงโดนหยดน้ำเกลือ ภายในห้องนอนก็เงียบสงบลงอีกครั้ง หลังจากคุณผู้หญิงต่อว่าไปแล้วอารมณ์ผ่อนคลายอ่อนลง เช็ดน้ำตาแล้วพูดกับไป๋มู่ชิงว่า "มู่ชิง เธอไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยขนาดนี้ทุกครั้ง ปล่อยให้คนอื่นเขาดูเฉินก็บ้างก็ได้ เธอไปพักผ่อนให้สบายที่ที่ห้องนอนตรงข้าม”

แม้ว่าที่ผ่านมาท่านจะไม่ค่อยชอบไป๋มู่ชิง แต่ ณ ตอนนี้ตระกูลหนานกงนอกจากท่านแล้วก็เหลือแค่ไป๋มู่ชิงที่เป็นเสาหลักของตระกูล และท่านมองออกว่าไป๋มู่ชิงนั้นจริงใจและหวังดีกับหนานกงเฉินอย่างแท้จริง เป็นคนสุดท้ายที่จะสามราถดูแลตระกูลหนานกงได้ ท่านไม่ต้องการให้เธอเหนื่อยล้าจนเกินไปเพราะโรคป่วยของหนานกงเฉิน

ไป๋มู่ชิงส่ายหัวไปมา สูดจมูกแล้วพูดว่า "คุณยายไปนอนเถอะ ฉันจะอยู่เฝ้าคุณชายใหญ่เอง"

“ นายหญิงน้อยคุณทำแบบเพื่ออะไร พี่เหอก็ช่วยพูดห้ามขึ้นอีกคน

"ทุกครั้งที่มีฉันอยู่ ครั้งไหนที่ไม่ใช่ฉันเป็นคนเฝ้าเขา ถ้าไม่ให้ฉันเฝ้าฉันกับรู้สึกไม่เคยชินซะแล้ว " เธอยิ้มอย่างขมขื่น คว้าฝ่ามือของหนานกงเฉินจับไว้ " คุณชายใหญ่ยังไม่ตื่นขึ้นมาจะให้ฉันนอนหลับได้ยังไง”

เมื่อเห็นเธอยืนยันขนาดนั้น คุณผู้หญิง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามใจเธอ

หลังจากคุณผู้หญิงออกไป ในห้องนอนก็เงียบสนิท ไป๋มู่ชิงเฝ้าหนานกงเฉินอยู่ตรงขอบเตียง มองไปที่ใบหน้าซีดขาวอันหล่อเหลาของเขา เธอจับฝ่ามือของเขาอย่างแน่น พูดออกมาอย่างทุกข์ใจ "เฉิน พรุ่งนี้เช้า ตื่นมาแต่เช้าหน่อยนะ"

-

แม้ว่าจะเตือนหนานกงเฉินให้ตื่นมาแต่เช้าแล้วก็ตาม แต่ว่าหนานกงเฉินก็ไม่ได้ตื่นเช้าเหมือนอย่างเช่นเคย

ไป๋มู่ชิงที่ก้มตัวนอนอยู่บนขอบเตียงตื่นขึ้นมาอีกทีก็เก้าโมงเช้าแล้ว ตามปกติแล้วหนานกงเฉินน่าจะตื่นขึ้นมาตั้งนานแล้ว แต่วันนี้กับไม่ใช่อย่างนั้น

เธอขยี้ตาทั้งสองข้าง จับแขนของเขาเขย่าเล็กหน่อยเรียกเบาๆ "เฉิน คุณยังไม่ตื่นนอนอีกเหรอ เฉิน ... "

หนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงยังคงนอนไม่ตอบสนอง ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้น ใช้มือแตะไปที่หน้าผากอย่างลังเล หลังจากสัมผัสถึงอุณหภูมิร่างกายที่ปกติของเขาแล้ว จึงค่อยโล่งใจเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้วางใจลงทั้งหมดเพราะแค่นี้ แต่รีบคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะข้างเตียงแล้วกดโทรหมายเลขของคุณหมอจางออกไป

เมื่อได้ยินว่าหนานกงเฉินเวลานี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา คุณหมดจางจึงวางโทรศัพท์ทันทีแล้วรีบตรงมาที่ห้องนอนของหนานกงเฉิน

ในขนาดที่คุณหมอจางกำลังตรวจเช็คให้หนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงแทบรอไม่ไหวที่จะถามว่า "คุณหมอจางสรุปเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณชายใหญ่เขายังไม่ตื่นขึ้นมา"

คุณหมอจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า "ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก ถ้าภายในหนึ่งชั่วโมงนี้คุณชายใหญ่ยังไม่ตื่นขึ้นมา งั้นก็ต้องย้ายไปที่โรงพยาบาลแล้ว"

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างอึดอัดใจ ถ้าถึงขั้นต้องย้ายไปที่โรงพยาบาล นั้นหมายความว่าอาการของเขาร้ายแรงหนักมาก

ภายในหนึ่งชั่วโมงนี้ คุณผู้หญิงนั่งอยู่ข้างล่างอย่างไม่เป็นสุข ไป๋มู่ชิงนั่งเฝ้ามองหนานกงเฉินอย่างกับเข็มนาฬิกาอยู่ตรงหน้าเตียง ตาของเธอจ้องมองแบบไม่กล้าละสายตาจากหน้าของหนานกงเฉิน เพราะกลัวว่าจะพลาดทุกปฏิกิริยาของเขา

เมื่อเวลาใกล้เข้าถึงสิบโมงนั้น เธอกังวลจนรีบร้อนเขย่ามือของเขาพูดว่า "เฉิน ... คุณตื่นได้แล้ว ถ้าคุณยังไม่ยอมตื่นอีกคุณก็จะถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้วนะ ฉันไม่อยากส่งคุณไปที่ ... "

"เฉิน คุณได้ยินเสียงที่ฉันพูดไหม ฉันขอให้คุณรีบตื่นมาเร็ว ๆ ...... " เธอกระซิบเสียงแข็ง

อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงความทุกข์ในใจของเธอ หนานกงเฉินค่อยๆตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาสุดท้าย ความจำของเขาค่อย ๆ กลับมา ข้างๆหูนั้นได้ยินแต่เสียงเรียกอย่างวิตกกังวลของไป๋มู่ชิง

เขาทุกข์ใจจนพลิกฝ่ามือที่เธอกุมมือเขาไว้ มาจับมือเล็ก ๆ ของเธอ

เดิมทีไป๋มู่ชิงก้มตัวทับอยู่บนแขนของเขา เมื่อเธอรู้สึกถึงฝ่ามือของเขากำลังขยับ เธอก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาโดยสัญชาตญาณ

เขาตื่นแล้ว เขาตื่นขึ้นมาจริงๆ

ไป๋มู่ชิงหัวเราะออกมาด้วยความตื่นเต้น จ้องมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างมึนงงนิดๆว่า "เฉิน คุณตื่นหรือยัง"

"ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าฉันเป็นมามี่หรือไง" หนานกงเฉินพูดขณะอมยิ้ม

“ เมื่อตะกี้คุณทำให้ฉันตกใจกังวลแทบตายอยู่แล้ว คุณยังจะมาพูดเรื่องน่ากลัวแบบนี้มาแกล้งทำให้ฉันตกใจอีก” ไป๋มู่ชิงตบตีมือเขาด้วยความโกรธ พูดด้วยน้ำตา "ฉันคิดว่าคุณจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว"

“ เป็นไปได้ไง ฉันเคยรับปากสัญญากับคุณแล้วว่าจะมีชีวิตต่อให้ดี”

“ แต่คุณดูสิว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเวลาบนกำแพงตอนนี้ สิบโมงแล้ว ใช่มันสายเกินไปหน่อย ไม่แปลกใจที่เธอร้องไห้ขนาดนี้

เขายกมือขึ้นไปปาดน้ำตาออกจากแก้มของเธอ พูดอย่างอ่อนโยนเบาๆว่า "ฉันขอโทษ ฉันไม่ดีเอง"

คำขอโทษอย่างกะทันหันของเขาทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกไม่สบายใจ เธอยกมือขึ้นแล้วปัดฝ่ามือของเขาออก พูดอย่างโกรธและโทษเขา "คราวนี้ฉันให้อภัยคุณ แต่คราวหน้าอย่าทำอย่างงี้อีก เข้าใจไหม”

"โอเค ฉันเข้าใจแล้ว "หนานกงเฉินมองสังเกตร่างกายของเธอ ถามอย่างเป็นห่วง "มู่ชิง เมื่อคืนฉันทำให้คุณได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า"

เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเขาโยนไป๋มู่ชิงจนตกเตียง เกือบทุกครั้งที่เขาโรคกำเริบก็จะทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงกังวลมาก

ไป๋มู่ชิงส่ายหัว "ฉันโอเคมาก สบายใจได้"

"จริงเหรอ ถอดเสื้อผ้าของคุณให้ฉันดูหน่อย " หนานกงเฉินยังคงจ้องมองอย่างกับกำลังสแกนร่างกายของเธอ

ไป๋มู่ชิงใช้สองมือกอดร่างของตัวเองไว้ จ้องมองเขาพูดว่า "เวลาแบบนี้ ทำไมคุณยังมีอารมณ์ที่จะลวนลามผู้หญิงอีก"

"ในเวลาแบบนี้คุณยังมีอารมณ์เข้าใจความหมายของคนอื่นเขาผิด ดูเหมือนว่าคุณจะสบายดีจริงๆ " หนานกงเฉินหัวเราะเบา ๆ

รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงค่อยจางลง จับมือของเขาแน่นและจ้องมองเขานิ่งๆอย่างจริงจัง “ คุณรู้ไหม ทุกครั้งที่คุณโรคกำเริบ สิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายที่สุดไม่ใช่ตอนที่คุณทำร้ายฉัน แต่เป็นเวลาที่ฉันกำลังรอคุณตื่นขึ้นมาเหล่านั้นต่างหาก ก็อย่างตอนเมื่อกี้ "

หนานกงเฉินมองน้ำตาตรงใต้ตาของเธอที่ยังไม่แห้งดี พยักหน้าอย่างทุกข์ใจ " ฉันเห็นแล้ว" เขายกมือขึ้นลูบหน้าของเธอเบา ๆ อย่างรู้สึกผิด "ฉันขอโทษ ทุกครั้งที่โรคฉันกำเริบไม่เพียงแต่ทำร้ายคุณเท่านั้น ยังทำให้คุณไม่สบายใจมาก ... "

ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาลงมา กุมมือของเขาส่ายหัวแล้วยิ้ม "เฉิน ฉันไม่ได้จะตำหนิคุณ ฉันแค่ ... เป็นห่วงคุณ หวังแค่ว่าคุณจะรีบหายดีขึ้นเร็วๆ "

หนานกงเฉินพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงหยุดพักหนึ่ง กล่าวต่อว่า " ต้องโทษฉันที่ไม่ได้เรื่อง ทั้งที่รู้ว่าคุณสุขภาพไม่คอยดียังปล่อยให้คุณอยู่ตรงชายหาดเป็นเวลานานแถมเสื้อยังเปียกอีก"

“ เป็นเพราะฉันผลักคุณตกน้ำเอง”

“ แต่ถ้าเราขึ้นฝั่งเร็วกว่านี้ รีบกลับบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้าบางทีคุณก็อาจจะไม่เป็นไข้ก็ได้ ”

"ที่รัก ตอนนี้เรากำลังประชุมเรื่องการขอโทษอยู่หรือเปล่า" หนานกงเฉินยิ้มและใช้มือบีบปลายจมูกของเธอเบาๆ "มา ช่วยพยุ่งฉันขึ้นมาหน่อย"

ไป๋มู่ชิงเอนตัวแนบชิดไปดึงเขาขึ้นจากเตียง อาจเป็นเพราะเขานอนนานเกินไป หนานกงเฉินมีความรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย เขาพึ่งลุกขึ้นนั่งก็ล้มตัวนอนไปบนเตียงทันที

"เฉิน คุณยังโอเคไหม" ไป๋มู่ชิงถามอย่างกังวล

หนานกงเฉินจับสัมผัสร่างกายของเขาครู่หนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ตายแล้ว ฉันไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ฉันคงไม่ใช่ว่าถึงขั้นไม่สามารถจัดการชีวิตประจำวันของตัวเองได้แล้ว "

สีหน้าของไป๋มู่ชิงซีดลงทันที จ้องมองเขาอย่างประหลาดใจ “ ไม่สามารถลุกขึ้นแล้วจริงๆหรือ”

"จริงๆ" หนานกงเฉินถูขาทั้งสองข้างของเขา "ทำอย่างไงดี แค่ข้ามคืนก็พิการแล้ว คุณช่วยไปหารถเข็นมาให้ฉันหน่อย "

ใบหน้าของไป๋มู่ชิงยิ่งซีดลง ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น รอยน้ำตาที่ใต้ตาพึ่งจากแห้งไปของเธอก็กลับมาชุ่มชื้นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

เมื่อเห็นว่าเธอโดนตัวเองแกล้งจนกลัวขนาดนี้ ในที่สุดหนานกงเฉินก็ไม่อาจทนแกล้งเธออีกต่อไป พลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วอุ้มเธอขึ้นสูงๆปล่อยให้เธอใช้มือกอดคอใช้ขาเกี่ยวที่เอวของเขา

ไป๋มู่ชิงถูกเขาแกล้งจนร้องเสียงออกมา โฮ้ เบาๆ ก้มหัวลงไปดูเขายืนตัวตรงอยู่บนพื้น พึ่งรู้ว่าเมื่อกี้เธอถูกแกล้งถูกหลอกแล้ว

เธอทุบไหล่ของเขาด้วยมือทั้งสองข้างและพูดด้วยความโกรธ: "น่าเกลียด! ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ฉันคิดว่าคุณพิการแล้วจริงๆ ... "

หนานกงเฉินจับร่างของเธอแน่นเพื่อให้คงที่กับพื้น แล้วจูบที่คางของเธอยิ้มพูดว่า "ถ้าฉันพิการจริงๆ คุณจะทอดทิ้งฉันไปหรือไม่"

“ แน่นอน ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนที่ได้แค่มองแต่ทำอะไรไม่ได้ แถมยังมีโรคเต็มไปหมด”

“ แล้วทำไมคุณถึงแต่งงานกับเฉียวเฟิงล่ะ”

“ เพราะเขาดีกว่าเธอตรง ... ”

"ฉันไม่เชื่อหรอว่าเขาจะมีอะไรดีกว่าฉัน" หนานกงเฉินพูดขัดเธอขึ้นมา เพื่อไม่ให้เธอไม่มีโอกาสพูดต่อ

ไป๋มู่ชิงกอดคอเขาไว้แล้วยิ้มพูดว่า " ฉันดูคุณรู้สึกเหมือนว่าตัวเองดีเยี่ยมไปหมด ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตามจะไม่ยอมพ่ายแพ้เป็นอันขาด"

หนานกงเฉินไม่ได้จริงจังและใส่ใจ " ถ้าฉันไม่ดีพอ ทำไมคุณถึงกลับมาดูแลร่างกายที่เต็มไปด้วยโรคอย่างฉัน"

“ หน้าด้านจริงๆ…….”

"ฉันยังคงหน้าด้านได้ต่อ ... " หนานกงเฉินพูดจบก็จูบลงไปที่ริมฝีปากเธอ จากนั้นก็หันไปใช้ร่างของเขากดทับร่างของเธอบนเตียง

ขณะที่ไป๋มู่ชิงขัดขืนใช้สองมือตบตีไหล่ของหนานกงเฉินพูดขึ้นว่า " เฉิน ... อย่าทำแบบนี้ ร่างกายของคุณยังอ่อนแอมาก และ ... คุณยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย ... "

“ แต่ตอนนี้ฉันอยากกินคุณมากกว่า ” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าคลุมเครือขณะไล่เลียที่บริเวณหูของเธอ

“ ไม่ได้นะ คุณอยากจะให้โรคกำเริบอีก อยากทำให้ฉันตกใจกลัวอีก อยากให้ฉันเฝ้ารอคุณอีกครั้งหรอ” ไป๋มู่ชิงกลัวว่าเธอจะถูกเขาล่อลวงจนปล่อยให้ทุกอย่างเลยเถิดไปเหมือนเช่นเคย เพราะว่าเขาเพิ่งตื่นจาก การหมดสติเมื่อกี้นี่เอง ร่างกายของเขาอ่อนเพลียมาก เธอจะมาบ้าบอตามเขาไม่ได้

และคำพูดของเธอก็มีประโยชน์มาก หนานกงเฉินค่อยๆคลายตัวเธอออก และดึงเธอขึ้นจากเตียง "คราวนี้ฉันจะปล่อยคุณไปก่อน"

“ ปล่อยตัวคุณต่างหาก” ไป๋มู่ชิงใช่ตาเหลือบมองเขาไปทีหนึ่งขณะดึงเสื้อผ้าที่เขาทำวุ่นวายให้เรียบร้อย

หนานกงเฉินมองเธอด้วยรอยยิ้มนิดๆ ไม่ได้ต่อเถียงกับเธอต่อ

"รีบ ๆ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ ฉันจะลงไปเตรียมอาหารเช้าให้คุณ" ไป๋มู่ชิงผลักเขาเข้าไปในห้องน้ำจากนั้นก็หมุนตัวลงไปชั้นล่าง

ชั้นล่างนั้น คุณผู้หญิงยังคงกังวลใจวนไปวนมา ไป๋มู่ชิงรู้สึกผิดเล็กน้อยขึ้นมาทันทีที่ไม่ได้ลงมาแจ้งให้ท่านทราบถึงการตื่นขึ้นของหนานกงเฉินก่อน ยังไม่ทันรอให้คุณผู้หญิงถามเธอก่อนจึงรีบกล่าวออกมาว่า "คุณย่าคะ คุณชายใหญ่ตื่นแล้วคะ”

"เฉินตื่นขึ้นมาแล้วหรอ" คุณผู้หญิงรีบถามอย่างดีใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า "ใช่คะ ตื่นขึ้นมาแล้วคะ"

“ เขา ยังโอเคไหม”

"โอเคมากคะ" ไป๋มู่ชิงพูดปลอบใจท่านไปด้วยประโยคสั้นๆ

คุณผู้หญิงยังคงกังวลเล็กน้อย จนกระทั่งท่านได้เห็นหนานกงเฉินเดินลงมาจากชั้นบน ถึงได้โล่งใจในที่สุด

-

ไป๋มู่ชิงมาถึงภายในร้านอาหารตะวันตกลวี่หยวนของเฉียวเฟิงตามนัด เฉียวเฟิงได้สั่งอาหารโปรดของเธอไว้เต็มโต๊ะเลย

เธอมองไปที่อาหารบนโต๊ะ จากนั้นมองไปที่เฉียวเฟิงถามว่า "วันนี้เป็นวันอะไรหรอ"

"ไม่ใช่วันสำคัญอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากดูว่าคุณสบายดีไหม" เฉียวเฟิงมองมาที่เธอ " ไม่เห็นคุณหลายวันดูเหมือนว่าคุณผอมลงเยอะมาก ฉันรู้ว่าคุณไม่มีกระจิตกระจายจะกิน แต่จะมากน้อยก็กินหน่อยนะ"

"ขอบคุณ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้า " พอดี ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณด้วย"

"เรื่องอะไรหรอ"

"เรื่องของหว่านชิง ฉันวางแผนว่าสองสามวันนี้จะไปรับเธอกลับมา " ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขา พูดขึ้นอย่างลังเล " อาเฟิง ฉันรู้ว่าคุณต้องรู้สึกไม่สบายใจ แต่ ... ไม่ว่ายังไงหว่านชิงก็เป็นลูกสาวแท้ๆของหนานกงเฉิน . ดังนั้น ... ”

"ดังนั้นคุณต้องการจะพาหว่านชิงกลับไปบ้านของตระกูลหนานกงใช่ไหม" เฉียวเฟิงพูดขัดเธอ

"ใช่คะ " ไป๋มู่ชิงพยักหน้า "ฉันดูออกว่าหนานกงเฉินอยากได้ลูกคนหนึ่งมาก และฉันดูออกว่าเขาชอบหว่านชิงมากด้วย ฉันไม่รู้ว่าเขาจะผ่านอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ไหม ุถ้าหากเขาไม่รอด .. " ดวงตาของเธอแดงระเรื่อกล่าวต่อว่า " ฉันหวังว่าในเวลาอันมีค่าที่เหลือของเขานี้จะมีหว่านชิงอยู่เป็นกำลังใจให้เขา เขาจะได้หมดกังวลเรื่องที่อยากมีลูกเป็นของตัวเอง หวังว่าเขาจะเข้าใจว่าตระกูลหนานกงใช่ว่าจะไม่มีเชื้อสายสืบทอด ฉัน ... ฉันไม่อยากให้เขาจากโลกนี้ไปพร้อมกับความสิ้นหวัง "

น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอมากขึ้น

เฉียวเฟิงมองเห็นความกังวลบนใบหน้าของเธอ ยิ้มอย่างขมขื่น " ถ้าชีวิตนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้เพื่อฉันขนาดนี้แล้วล่ะก็ ฉันก็จะเหมือนหนานกงเฉินแม้ต้องตายก็จะไม่ยอมปล่อยมือเธอไป"

เขาหยิบกระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะยื่นไปให้ ไป๋มู่ชิงรับกระดาษทิชชู่มาเช็ดน้ำตาออกกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า "ฉันขอโทษ ... ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเสียมารยาทต่อหน้าคุณ "

“ ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่พูดไปแบบลวกๆ”

ไป๋มู่ชิงสงบอารมณ์ลง จากนั้นจ้องมองที่เขาถามว่า "อาเฟิง คืนหวานชิงให้หนานกงเฉิน ได้ไหม"

เฉียวเฟิงมองเธอแล้วยิ้ม " ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้คุณจะยอมปล่อยมือหรือเปล่า เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย?"

หว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ๆของหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิง ตอนนี้แม้แต่ไป๋มู่ชิงก็กลับสู่ตระกูลหนานกงแล้ว เขาจะมีสิทธิ์อะไรรั้นหว่านชิงไว้ เขารู้ดีว่าที่ไป๋มู่ชิงมาปรึกษาหารือกับเขาเป็นเพราะความเคารพที่มีต่อเขา เธอจะพาเด็กกลับสู่ตระกูลหนานกงอย่างแน่นอน

ต่อให้เขาดื้นรั้นไม่ให้ไป ต่อให้ขึ้นศาลสุดท้ายแล้วโอกาสที่เขาจะชนะแม้แต่ 0.1% ก็ไม่มี ท้ายสุดแล้วยังต้องเป็นศัตรูกับไป๋มู่ชิงอีก

ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลงได้แต่เงียบ

เฉียวเฟิงดูดต่อ " คุณวางแผนว่าจะไปเมื่อไหร่ ไปด้วยตัวเองหรือเปล่า"

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า " ไม่งั้นจะทำยังไงได้"

"ประเทศอังกฤษไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แค่ระหว่างไปกลับหยุดพักอย่างน้อยต้องใช้เวลาสี่วันแล้ว คุณแน่ใจหรือว่าจะวางใจหนานกงเฉินได้"

เมื่อเห็นเธอเงียบ เฉียวเฟิงก็พูดขึ้นว่า " ให้ฉันช่วยคุณไปรับเธอกลับมาดีกว่า"

"คุณ" ไป๋มู่ชิงมองเขาด้วยความตกใจ

"ทำไมล่ะ คุณไม่ไว้ว่างใจเหรอ" เฉียวเฟิงหัวเราะอย่างไม่พอใจนิดๆ " คุณไม่ต้องกังวล ในเมื่อฉันตกลงรับปากที่จะคืนหว่านชิงให้คุณแล้ว ฉันจะไม่เล่นตลกอะไรกับคุณหรอก"

"ไม่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น" ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัว " ฉันแค่คิดว่าขาของคุณไม่ค่อยสะดวก ฉันไม่อาจลำบากคุณอีก"

เธอหยุดไปชั่วคราว แล้วพูดว่า " อาเฟิง ฉันรู้สึกผิดต่อคุณมากพอแล้ว รบกวนคุณเยอะแล้ว ฉันไม่อาจจะรบกวนคุณได้อีกต่อไป ดังนั้นให้ฉันไปด้วยตัวเองจะไปกว่า"

เฉียวเฟิงส่ายหัว "ฉันไม่เคยรู้สึกว่าเป็นการรบกวนเลย"

"แต่ฉันรู้สึก" ไป๋มู่ชิงดูดอย่างรู้สึกผิด

-

หลังจากแยกตัวกับเฉียวเฟิงแล้ว ไป๋มู่ชิงได้ทำการจองเที่ยวบินไปอังกฤษในบ่ายวันรุ่งขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ตทันที ในเวลาอันสั้นนี้เธอคิดหาเหตุผลไม่ออกว่าจะบอกหนานกงเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงดี ดังนั้นช่วงเวลาเที่ยงคืนเธอจึงหาข้ออ้างง่ายๆพูดกับเขาว่า "เฉิน พรุ้งนี้ช่างบ่ายฉันจำเป็นต้องออกไปข้างนอก ประมาณสามถึงสี่วัน คุณสามารถรอฉันอยู่ที่บ้านดีๆได้ไหม"

"ฉันไม่อยู่บ้านรอคุณดีๆ หรือว่าจะให้ฉันวิ่งออกไปขโมยกินหรอ " หนานกงเฉินยิ้มขณะใช้ปลายมือลูบหลังมือของเธอพูดว่า " วางใจได้ ฉันในตอนนี้แค่บ้านฉันยังไม่มีปัญญาเลย จะให้มีแรงออกไปหากินที่สาธารณะได้อย่างไร"

เขากอดแขนเธอไว้แน่น ความรู้สึกที่กอดได้แต่ไม่สามารถขย้ำได้เป็นความรู้สึกที่ทรมาณมาก ยิ่งภรรยาคนสวยของเขาชอบพูดหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาใช้พลังงานมากเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพและไม่ยอมให้เข้าใกล้ร่างกายเลย

"ฉันหมายความว่า ให้คุณอยู่บ้านให้ความร่วมมือกับคุณหมอจางในการรักษาตัวดีๆ ดูแลตัวเองให้ดีๆอย่าให้โรคกำเริบคุณคิดไปถึงไหนเนี๊ยบ"

"สบายใจได้ ฉันจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี หนานกงเฉินพยัญหน้าให้สัญญา ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเขาดูเหมือนจะมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วยืดตัวตรงถามว่า "คุณจะไปไหน ไปทำไมนานจัง”

"ฉัน ... จะไปที่เมืองเหยียน" ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นอย่างลวก ๆ

“ คุณจะไปเมืองเหยียนทำอะไร”

"ไปเยี่ยมดูคุณแม่กับน้องชายฉัน" เธอยังคงพูดโกหกต่อ

ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้วางแผนที่จะไปเยี่ยมหาคุณแม่และเสี่ยวอี้ในช่วงนี้ เธอวางแผนไว้ว่ารอให้อาการของหนานกงเฉินดีขึ้นหน่อย ถึงเวลานั้นคอยพาเสี่ยวหว่านชิงไปเมืองเหยียนไปดูพวกเขาด้วยกัน

"ฉันไปกับคุณด้วย"

“ ไม่ได้ ถ้าหากโรคคุณกำเริบระหว่างทางจะให้ทำยังไง”

“ คุณไปคนเดียวเหงาจะตาย”

"ใช้เวลาบินเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเอง แป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว"

"แล้วทำไมคุณถึงต้องไปนานขนาดนี้ หรือว่าคุณจะไปอยู่ที่นั่นหลายวัน" หนานกงเฉินกอดเธอไว้แน่น " คุณอย่าอยู่นานขนาดนั้นสิ เดียวฉันจะคิดถึงคุณ ... "

"ฉันก็จะคิดถึงคุณเหมือนกัน" ไป๋มู่ชิงใช้มือสัมผัสหน้าอันหล่อเหลาของเขาพร้อมกับยิ้มและพูดว่า "คุณอดทนหน่อย ฉันจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด แถมยังจะนำของขวัญกลับมาให้คุณด้วยโอเคไหม?"

"ของขวัญที่คุณบอกที่ชายหาด"

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า "ฉันวางแผนแต่เนิ่นๆจะให้คุณก่อนเร็วๆนี้"

"สามารถเฉลยให้ก่อนได้ไหม " หนานกงเฉินทำปากจู๋ ยิ้มอย่างมีความสุข " ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เคยให้ของขวัญฉันเลยนะ"

" แค๊กๆ... " ไป๋มู่ชิงไอเล็กน้อยแล้วพูดว่า " คนอย่างฉันไม่ให้ก็คืนไม่ให้ ถ้าจะให้ต้องใหญ่และเซอร์ไพรส์ที่สุด"

“ จริงหรือหลอก” หนานกงเฉินยิ่งร้อนรนเมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตาม เขาก็โน้มตัวลงจูบเธอ " ถ้าอย่างนั้นฉันจะอดทนรอ แต่เพื่อเป็นการชดเชยให้ฉันที่จะไม่ได้เจอหน้าคุณในสามสี่วันหลังนี้ ไม่สามารถกอดคุณได้ คืนนี้คุณต้อง ... "

"ไม่ได้" ไป๋มู่ชิงขัดเขาอย่างจจริงจังและเด็ดขาด

“ ได้สิ มันต้องได้”

"เฮ้ หนานกงเฉิน ... "หลังจากที่เธอขัดขืนอยู่พักหนึ่งนั้น หนานกงเฉินก็ไม่ได้ปล่อยให้เธอรอดตัวไปได้ ความบ้าครื้นหยิ่งผยองทำให้ร่างเธอถูกทับอยู่ข้างล่าง

ก็รู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ ไป๋มู่ชิงได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ในใจของเธอ ทำได้เพียงปล่อยตามใจเขาไป

-

ในวันรุ่งขึ้นของช่วงบ่าย ไป๋มู่ชิงมุ่งหน้าไปสนามบินคนเดียว

ขณะที่เธอกำลังเช็คอินเครื่องบินนั้น เธอบังเอิญเจอเฉียวเฟิงที่สนามบิน แถมใบหน้าของเฉียวเฟิงดูไม่ค่อยดีนัก

"อาเฟิง ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่" ไป๋มู่ชิงสังเกตมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองไปที่เขาแล้วถาม

"แล้วคุณล่ะ หนานกงเฉินไม่ได้มาส่งคุณเหรอ" เฉียวเฟิงมองไปรอบ ๆ ข้างหลังเธอ

"พอดีเขามีงานเร่งด่วนที่บริษัท ฉันเลยไม่ได้ให้เขามาส่ง" ไป๋มู่ชิงกล่าว

"เขาไม่มาก็ดีแล้ว" เฉียวเฟิงยิ้มอย่างฝืนๆ " ฉันตัดสินใจจะไปประเทศอังกฤษกับคุณ กังวลว่าเขาอาจจะเข้าใจผิดฉันจึงไม่กล้าติดต่อแจ้งคุณล่วงหน้า"

"คุณจะไปพร้อมกับฉัน" ไป๋มู่ชิงแปลกใจ แล้วรีบโบกมือปฏิเสธ "ไม่ต้อง ฉันไปเองได้"

"ฉันได้ซื้อตั๋วของฉันเรีบยร้อยแล้ว อีกอย่างฉันไม่ได้เจอครอบครัวของโรเซ่เขามานานแล้วเหมือนกัน อยากไปพบเจอพวกเขาหน่อย " เพื่อให้ไป๋มู่ชิงยอมรับความจริงที่ว่ามีเขารวมเดินทางไปด้วยกัน เฉียวเฟิงเลยต้องหาข้ออ้างดังกล่าว

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ไม่สามารถปฏิเสธเขาได้อีกต่อไป จึงได้แต่พยักหน้าพูดว่า " งั้นก็ได้ เราไปด้วยกัน"

ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ทั้งสองได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยด้วยกัน เดินตรงไปที่ประตูขึ้นเครื่องบิน

-

หนานกงเฉินไม่สามารถไปส่งไป๋มู่ชิงไปที่สนามบินได้ ดังนั้นจึงให้ลุงหวังไปส่งเธอที่สนามบิน จากนั้นให้เลขาหลินให้ฝ่ายบุคคลที่บริษัทเมืองเหยียนช่วยจัดการรับไฟท์ที่สนามบิน

หลังจากจบการประชุมออกมา หนานกงเฉินกลับถึงห้องทำงาน

เลขาหลินบอกเขาอย่างเคร่งขรึมเครียด " คุณชายเฉิน ฉันเพิ่งได้รับข่าวว่า ท่านประทานหลานได้ขายหุ้นในมือ 3% ของตัวเองให้กับท่านประธานเซิ่งแล้ว"

"คุณพูดอะไรนะ " หนานกงเฉินหันหัวไปจ้องเธอถามว่า " ทำไมท่านประทานหลานถึงได้ขายหุ้นให้กับเขา"

เลขาหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า " ฉันคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับข่าวลือของบริษัทล่าสุด ท่านประธานเซิ่งคอยจะหาโอกาสทำลายชื่อเสียงของบริษัทและชื่อเสียงของคุณตลอด ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก"

“ แล้วทำไมท่านประทานหลานถึงไม่ขายหุ้นให้กับฉัน หรือคิดว่าฉันจะให้ราคาไม่ดีเท่าตระกูลเซิ่งหรอ”

"อันนี้ไม่ทราบคะ" เลขาหลินกล่าว: " ฉันจะติดตามตรวจสอบสืบเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินต้องการพบท่านประทานหลานด้วยตัวเองหรือไม่"

“ ได้ จัดวางให้เป็นคืนนี้เลย”

"โอเคคะ ฉันเข้าใจแล้ว" ทันทีที่เลขาหลินกำลังจะหันตัวเดินออกไป เลขาเฉินก็เคาะประตูเดินเข้ามาแล้ว หลังจากมองไปที่ผู้ช่วยเลขาหลินแล้วพูดกับหนานกงเฉิน "คุณชายเฉิน ฝั่งเมืองเหยียนพวกเขาบอกว่ารับไม่เจอคุณหนูอีในไฟท์บิน....”

"รับไม่เจอ" หนานกงเฉินขมวดคิ้ว: "ทำไมทำงานสะเพร่าอย่างงี้"

"พี่หลิงฝั่งนู่นบอกว่าพวกเขาไปกันสองคน เธอได้สังเกตดูผู้โดยสารขาออกทุกคนอย่างจริงจัง แต่ก็ไม่เห้นแม้แต่เงาของคุณหนูอี และโทรศัพท์ของคุณหนูอีก็อยู่ระหว่างปิดเครื่องตลอด" เลขาเฉินพูดจบก็เหลือบมองเลขาหลินอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

หนากงเฉินหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วกดเบอร์โทรของไป๋มู่ชิงโทรออกไป ไม่สามารถติดต่อได้จริงๆด้วย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด