ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วที่เธอลงจากเครื่องบิน เธอลงจากเครื่องแล้วควรโทรหาเขาเลยทันทีเพื่อรายงานความปลอดภัยสิถึงจะถูกต้อง เกิดอะไรขึ้น?
“เที่ยวบินจากที่นี่ไปเมืองเหยียนลงจอดหรือยัง? ” เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“จอดตรงเวลาแล้ว” เลขาเฉินพูด
เลขาหลินมองหนานกงเฉิน แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณหนูอีคงไม่ยกเลิกการเดินทางชั่วคราวใช่ไหม? ”
เป็นไปไม่ได้ ถ้าไป๋มู่ชิงยกเลิกเที่ยวบินต้องบอกเขาทันที
ความเกลียดชังของผู่เหลียนเหยานั้นมากมาย ต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ข้างนอกแน่นอน ตอนนี้ไป๋มู่ชิงอยู่ในช่วงอันตราย คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม……?
เขายิ่งคิดก็ยิ่งกังวล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบพูดกับเลขาหลินว่า “เธอหาวิธีช่วยฉันตรวจสอบคุณหนูอีว่าอยู่ในเที่ยวบินนั้นหรือเปล่า รีบไปซะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เลขาหลินส่งสายตาให้กับเลขาเฉิน ทั้งคู่เดินออกจากห้องทำงานหนานกงเฉินด้วยกัน
หลังจากสองคนออกไปแล้ว หนานกงเฉินก็ไม่มีจิตใจอยากทำงานบริษัท เขาเริ่มโทรหาไป๋มู่ชิงพร้อมกับเดินไปรอบๆ ห้องทำงานอย่างกังวลคิดหาเหตุผล แต่คิดไม่ออกว่าทำไมไป๋มู่ชิงไม่เปิดเครื่อง และไม่ได้ลงมาจากเครื่องบิน
ยี่สิบนาทีต่อมา เลขาหลินปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คุณชายเฉิน เมื่อกี้ฉันให้คนไปตรวจสอบมา คุณหนูอีไม่ได้จองเที่ยวบินไปเมืองเหยียน แต่……จองเที่ยวบินไปอังกฤษตอนบ่ายสอง”
“อังกฤษ? ” หนานกงเฉินได้ยินก็ตื่นตระหนก จ้องมองเธอแล้วตะคอกอย่างโกรธๆ “เป็นไปได้ยังไง? สืบให้ฉันอีกรอบสิ!”
เลขาหลินเห็นความโกรธบนใบหน้าเขา ก็หดคอด้วยความกลัว “คุณชายเฉิน ฉันตรวจสอบหลายครั้งแล้วค่ะ มันไม่ผิดพลาด”
ไป๋มู่ชิงไปอังกฤษแล้ว? แต่เธอกลับหลอกเขาว่าไปเมืองเหยียน และหลบเลี่ยงทุกวิถีทางไม่ให้เขาไปส่งที่สนามบิน ทำไม? ทำไมเธอต้องทำแบบนี้?
หนานกงเฉินคิดเรื่องนี้อยู่นานมากก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนึกถึงอีกคนหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับเลขาหลินทันที “เธอไปช่วยตรวจสอบอีกทีว่าหนึ่งในผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับเธอ มีผู้ชายที่ชื่อว่าเฉียวเฟิงไหม? ”
เลขาหลินยื่นกระดาษ A4 ในมือส่งไปให้แล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน นี่คือรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดในเที่ยวบิน คุณดูสิคะว่ามีเบาะแสอะไรไหม”
หนานกงเฉินรับกระดาษ A4 มา รีบกวาดตามองรายชื่อทั้งหมดในนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเชื่อ ‘เฉียวเฟิง’ สองคำนี้ หัวใจก็บีบรัดทันที
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ ไปอังกฤษด้วยกัน!
หมายความว่าไงกันแน่? ทำไมทำแบบนี้?
หนานกงเฉินโกรธจนฉีกกระดาษ A4 เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงถังขยะข้างๆ กัดฟันกรอด
เลขาหลินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ก็ถอยหลังเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณยังโอเคไหม? ”
หนานกงเฉินหันศีรษะไปแล้วตะคอกใส่เธอ “ออกไป!”
เลขาหลินโดนเขาตะคอกใส่ ก็รีบหันตัวเดินไปที่ประตูทันที
หลังจากหนานกงเฉินเดินรอบห้องทำงานด้วยความโกรธ ก็หันตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์
เขารู้สึกว่าตัวเองต้องสงบสติอารมณ์จริงๆ คิดถึงปัญหาอย่างใจเย็น
ถ้าไป๋มู่ชิงอยากไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิงจริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับเขาไม่กี่วันนี้หรอกใช่ไหม? นอกจากนี้เขายังมองออกว่าความรู้สึกที่ไป๋มู่ชิงมีให้เขาในช่วงนี้ไม่ได้เสแสร้ง เขารู้สึกได้ว่าเธออยากกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง
แต่……ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมเธอต้องหลอกเขา?
เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงตอนนี้อยู่บนเครื่องด้วยกัน โทรศัพท์โทรไม่ติด เขาลังเลสักพักหนึ่ง ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์เฉียวซือเหิงด้วยความสิ้นหวัง เขาคิดว่าเฉียวซือเหิงต้องรู้แน่ๆ ว่าทำไมพวกเขาสองคนไปต่างประเทศกะทันหัน!
ไม่คิดว่าเฉียวซือเหิงจะรับโทรศัพท์เขาอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน พูดขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะเย้ย “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะ อยากชวนฉันไปดื่มเหล้าเหรอ? ”
หนานกงเฉินกัดฟัน กลั้นความโกรธไว้แล้วถามขึ้น “ทำไมมู่ชิงกับเฉียวเฟิงไปต่างประเทศกะทันหัน? ”
เฉียวเฟิงไม่รู้ข่าวเรื่องพวกเขาสองคนไปต่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด ตกตะลึงอย่างชัดเจนแล้วก็พูดเยาะเย้ยต่อไป “เรื่องนี้นายมาถามฉันทำไม? ไป๋มู่ชิงกลับไปอยู่กับนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“ได้โปรดบอกฉัน!” เสียงหนานกงเฉินเย็นชาขึ้น
“จึ๊ๆ ทั้งๆ ที่ขอร้องฉัน แต่ยังทำท่าทางเหมือนจะกินคน” เฉียวซือเหิงยิ้ม “ด้วยท่าทีของนายฉันไม่บอกนายหรอกว่าทำไม”
“นาย……”
“ฉันทำไม? ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะดูตัวเองให้ดีว่าทำไมสุดท้ายไป๋มู่ชิงถึงเลือกที่จะทิ้งนายแล้วไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิง ไม่ใช่มาถามคนอื่นว่าทำไม”
“นายจะพูดไม่พูด? !” ความอดทนของหนานกงเฉินใกล้หมดลง
“ไม่ใช่ฉันไม่พูด แต่ไม่รู้จริงๆ ” เฉียวซือเหิงแสร้งคร่ำครวญ “คุณชายเฉิน ฉันไม่รู้จริงๆ ขอโทษนะ ฉันมีโทรศัพท์เข้ามา……”
วินาทีต่อมา เฉียวซือเหิงก็วางสายไป
หนานกงเฉินโกรธจัดตะโกนฮัลโหลใส่ไมค์ไปสองสามที ในโทรศัพท์กลับมีเสียงตู๊ดๆ วางสายดังขึ้น
เขาโกรธจนแทบทุบโทรศัพท์ทิ้ง แต่สุดท้ายก็อดทนไว้
เฉียวซือเหิงเอาโทรศัพท์ลงมองหน้าจอ เห็นเป็นสายที่โทรมาจากอังกฤษก็กดปุ่มรับสายทันที เสียงโรเซ่ที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้น “คุณชายใหญ่เฉียว หว่านชิงหายตัวไปแล้ว”
เสียงเขาเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเฉียวซือเหิงได้ยินว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไปก็ตกตะลึงทันที ถามขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “นายว่าไงนะ? หว่านชิงหายตัวไปแล้ว? ”
“ใช่ ผมแจ้งคุณชายรองเฉียวแล้ว เขายังไม่บอกคุณจริงๆ เหรอ? ”
“ยัง” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างกังวล “ทำไมหว่านชิงหายตัวไป? เฉียวเฟิงจัดบอดี้การ์ดให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
“ขอโทษครับ ต้องโทษที่เราดูแลเธอได้ไม่ดี วันนี้ตอนเราไปซื้อของก็หาเธอไม่เจอภายในแป๊บเดียว ผมระดมเพื่อนๆ มาช่วยตามหาแล้ว หวังว่าจะพบเธอให้เร็วที่สุด” โรเซ่พูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
ถึงแม้เขาจะจัดเตรียมคนไปตามหาแล้ว แต่คิ้วเฉียวซือเหิงกลับขมวดลึกขึ้น ครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งแล้วพูดด้วยใบหน้าเข้มงวด “โรเซ่นายฟังฉันพูดนะ หว่านชิงโตขนาดนี้แล้ว พูดภาษาอังกฤษได้ดี และรู้ว่าเวลาหลงทางต้องตามหาตำรวจ เธอไม่ถึงขนาดหาทางกลับบ้านไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ง่ายแบบนั้น หวังว่านายจะรับมืออย่างระมัดระวังหน่อยนะ อีกอย่าง……..ให้คนจับตาดูโทรศัพท์ในบ้านด้วย”
“ผมรู้แล้ว คุณชายใหญ่เฉียวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“ฉันจะขึ้นเครื่องให้เร็วที่สุด” เฉียวซือเหิงพูดอีกครั้ง
โรเซ่พูด “คุณชายรองเฉียวกับอีหลินมาถึงแล้วนะครับ”
“ว่าไงนะ? เฉียวเฟิงไปแล้วเหรอ? ขาของเขาไม่สะดวกจะไปทำไม? ”
“เขากังวลมาก กังวลจะแย่แล้ว” โรเซ่เปลี่ยนคำพูด “ไม่งั้นคุณชายใหญ่เฉียวรออีกหน่อยไหมครับ? บางทีอีกสักครู่หว่านชิงจะกลับมา”
เฉียวซือเหิงมือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้ อีกข้างหนึ่งกำลังใช้คอมพิวเตอร์ตรวจสอบเที่ยวบินที่เร็วที่สุด พบว่าเร็วที่สุดคือพรุ่งนี้เช้า ก็พูดอย่างค่อนข้างหมดหนทาง “ฉันจะบินได้ตอนพรุ่งนี้เช้า นายมีข่าวอะไรก็โทรหาฉันนะ”
“โอเคครับ”
“อีกอย่าง รบกวนช่วยฉันดูแลเฉียวเฟิงด้วย”
“OK คุณชายรองเฉียวเป็นเพื่อนสนิทผม” โรเซ่รับปากเต็มที่
--
เมื่อเลขาเหยียนได้รับสายจากหนานกงเฉิน ก็รีบมาทันที
เมื่อเธอเข้ามาก็เห็นหนานกงเฉินนั่งบนพื้นพิงหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกแย่
เลขาเหยียนเดินเข้าไป ย่อตัวตรงหน้าเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันกำลังอยากตามหาคุณพอดี อาการป่วยของคุณเมื่อคืนฉันได้ยินเฉียวเฟิงบอกแล้ว มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คุณได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม……”
หนานกงเฉินหันหน้ามา จ้องมองเธอแล้วถามอย่างไม่คาดคิด “เธอมีความสัมพันธ์กับเฉียวเฟิงจริงๆ เหรอ? ”
“เอ่อ……” เลขาเหยียนพูดไม่ออกสักพักแล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนฉันไปเจอเฉียวเฟิงกำลังดื่มเหล้าที่บาร์ ฉันคุยเป็นเพื่อนเขาไม่กี่ประโยค”
“แล้วเขาได้บอกอะไรเธอไหม? ” หนานกงเฉินคว้าข้อมือเธอไว้
เลขาเหยียนตกใจเขา ก้มหน้ามองฝ่ามือใหญ่ที่จับข้อมือเธอไว้แน่น แรงเขาเยอะมาก ทำจนเธอเจ็บ……
เธอเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าหนานกงเฉิน ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ก็ยังพยักหน้า “บอกค่ะ เขาบอกว่าคุณถูกผู่เหลียนเหยาวางยา มู่ชิงตัดสินใจกลับไปหาคุณแล้ว แล้วก็……”
“เขาพูดว่าไง? เขาบอกว่าเขาจะปล่อยมู่ชิงไปเหรอ? หรือว่าจะสู้กับฉันจนถึงที่สุด? ”
เลขาเหยียนมองเขาอย่างหมดหนทาง เพราะอาการป่วยของเขาเธอจึงนอนไม่หลับเมื่อคืน เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด? ในใจเขามีแต่เรื่องไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงเหรอ?
“เฉียวเฟิงปล่อยแล้ว……”
“แล้วทำไมวันนี้เขาต้องพามู่ชิงไปต่างประเทศด้วย? ”
“คุณว่าไงนะ? ” เลขาเหยียนตกตะลึง “เฉียวเฟิงพาคุณหนูไป๋ไปต่างประเทศเหรอ? ”
เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอเฉียวเฟิงเมื่อคืน แล้วพูดต่อ “”
“เมื่อคืนมู่ชิงก็บอกฉันว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป” หนานกงเฉินยิ้มอย่างหงุดหงิด “แต่ในขณะที่เธอสัญญากับฉันก็โกหกฉัน โกหกฉันว่าวันนี้เธอจะไปเจอแม่และน้องชายเธอที่เมืองเหยียน ถ้าฉันไม่ได้จัดเตรียมคนไปรับที่สนามบิน จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอไปอังกฤษกับเฉียวเฟิงแล้ว เฮอะ……เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วตอนแรกไม่อยากให้เธอกลับมาหรอก……”
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าๆ บนใบหน้าเขา เลขาเหยียนก็พูดปลอบ “คุณชายเฉิน บางทีพวกเขาอาจจะแค่ไปทำธุระที่ต่างประเทศก็ได้นะ ทำเสร็จแล้วก็จะกลับมา? ”
“ถ้าออกไปทำธุระแล้วทำไมเธอไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนล่ะ? ทำไมต้องโกหกฉันว่าไปเมืองเหยียนด้วย? !” หนานกงเฉินโกรธจนตะคอกออกมา
“คุณชายเฉิน คุณอย่าโกรธ สุขภาพสำคัญ……”
“เจอเรื่องแบบนี้ฉันจะไม่โกรธได้ยังไง? ใครไม่โกรธได้บ้าง? ” หนานกงเฉินคว้ากล่องทิชชูที่อยู่ข้างกายขว้างไปที่ผนังฝั่งตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็เตะโต๊ะ “ขี้โกหก! เป็นคนขี้โกหกตลอดไป!”
“คุณชายเฉินคุณอย่าเป็นแบบนี้” เลขาเหยียนตกใจท่าทางสะเทือนใจของเขา รีบห้ามไม่ให้เขาเป็นบ้าต่อ แล้วโน้มน้าวไปด้วย “คุณอย่าเป็นบ้าทุกครั้งที่เจอกับเรื่องคุณหนูไป๋สิคะ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่าร่างกายตัวเองไม่เหมาะกับการโกรธ ถ้าโกรธถึงตายจะทำยังไง? ”
หนานกงเฉินยืนขึ้นมาจากพื้นทันที เดิมทีเขาอยากพุ่งไปที่ประตูห้องทำงาน แต่ขณะที่ลุกขึ้นก็เวียนศีรษะฉับพลัน เกือบล้มลงกับพื้น
เขาทำเสียงคร่ำครวญ มือข้างหนึ่งกุมศีรษะตัวเอง มือข้างหนึ่งประคองขอบหน้าต่าง พยายามให้ความรู้สึกเจ็บหายไปเร็วๆ
“คุณชายเฉินคุณยังโอเคไหม? ” เลขาเหยียนรีบประคองแขนเขา เอ่ยอย่างเป็นห่วง “ต้องการให้เรียกคุณหมอมาดูคุณหน่อยไหมคะ หรือให้ฉันพาคุณไปส่งโรงพยาบาล? ”
“ไม่ต้อง……” หนานกงเฉินสะบัดมือเธอออก พูดขึ้น “ฉันฝากไปบอกเฉียวเฟิงหน่อย ให้เขารีบส่งมู่ชิงคืนฉันเร็วๆ จะดีที่สุด ไม่งั้น……ไม่งั้น……” ร่างของเขาสั่น ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นทีละนิด
“คุณชายเฉิน คุณเป็นอะไร? ” เลขาเหยียนตกใจมากที่เขาเป็นลมกะทันหัน ร่างหนานกงเฉินหนักเกินไปเธอประคองไม่ขึ้น ล้มลงกับพื้นทันที
ด้วยความร้อนรนใจ เลขาเหยียนตะโกนเสียงดังไปที่นอกประตูสองคำว่า “ช่วยด้วย”
เลขาหลินและเลขาเฉินพวกเธอพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นหนานกงเฉินล้มลงกับพื้นก็ตกใจสะดุ้ง เลขาเหยียนรีบเรียกเพื่อนร่วมงานชายสองสามคนมาแบกหนานกงเฉินไปชั้นล่าง จากนั้นก็ขับรถไปส่งหนานกงเฉินเข้าโรงพยาบาลด้วยตัวเอง
--
หลังจากบินอยู่นานมาก ในที่สุดเที่ยวบินที่เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงโดยสารมาก็มาถึงสนามบินจุดหมายปลายทาง
ทั้งสองเดินตามกระแสผู้คนไปด้านนอกสนามบิน ไป๋มู่ชิงสังเกตเฉียวเฟิงแล้วถามอย่างเป็นห่วง “อาเฟิง คุณปวดหัวดีขึ้นหรือยัง? ”
เฉียวเฟิงอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ตลอดทาง พูดก็น้อย เธอเคยถามว่าเขาอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม แต่เขากลับบอกว่าเขาแค่เวียนศีรษะไปหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร
ตอนนี้ลงจากเครื่องแล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่ถึงขนาดรับสายแล้วสีหน้าดูยิ่งเคร่งเครียดขึ้นมา
“ดีขึ้นเยอะแล้ว” เฉียวเฟิงตอบอย่างสบายๆ ในใจก็กำลังเครียดว่าควรบอกเธออย่างไรว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไป เขากังวลว่าไป๋มู่ชิงจะพังทลาย จะสับสนยุ่งเหยิง จึงไม่ได้บอกความจริงนี้กับเธอมาตลอดทาง
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ควักโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าเตรียมโทรหาหนานกงเฉิน มองดูเวลามันไม่ค่อยเหมาะสมจึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปแทน
ข้อความของเธอเพิ่งพิมพ์ไปครึ่งหนึ่ง ข้างหูก็มีเสียงลังเลของเฉียวเฟิงดังขึ้น “มู่ชิง……ฉันอยากบอกเธอหนึ่งเรื่อง”
เขาคิดว่าตัวเองต้องบอกเธอตอนนี้ดีกว่า เดี๋ยวเธอไปถึงบ้านโรเซ่ไม่เจอเสียวหว่านชิงแล้วจะเป็นคลุ้มคลั่งน้อยลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...