เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 239

ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วที่เธอลงจากเครื่องบิน เธอลงจากเครื่องแล้วควรโทรหาเขาเลยทันทีเพื่อรายงานความปลอดภัยสิถึงจะถูกต้อง เกิดอะไรขึ้น?

“เที่ยวบินจากที่นี่ไปเมืองเหยียนลงจอดหรือยัง? ” เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“จอดตรงเวลาแล้ว” เลขาเฉินพูด

เลขาหลินมองหนานกงเฉิน แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณหนูอีคงไม่ยกเลิกการเดินทางชั่วคราวใช่ไหม? ”

เป็นไปไม่ได้ ถ้าไป๋มู่ชิงยกเลิกเที่ยวบินต้องบอกเขาทันที

ความเกลียดชังของผู่เหลียนเหยานั้นมากมาย ต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ข้างนอกแน่นอน ตอนนี้ไป๋มู่ชิงอยู่ในช่วงอันตราย คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกใช่ไหม……?

เขายิ่งคิดก็ยิ่งกังวล ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว รีบพูดกับเลขาหลินว่า “เธอหาวิธีช่วยฉันตรวจสอบคุณหนูอีว่าอยู่ในเที่ยวบินนั้นหรือเปล่า รีบไปซะ”

“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” เลขาหลินส่งสายตาให้กับเลขาเฉิน ทั้งคู่เดินออกจากห้องทำงานหนานกงเฉินด้วยกัน

หลังจากสองคนออกไปแล้ว หนานกงเฉินก็ไม่มีจิตใจอยากทำงานบริษัท เขาเริ่มโทรหาไป๋มู่ชิงพร้อมกับเดินไปรอบๆ ห้องทำงานอย่างกังวลคิดหาเหตุผล แต่คิดไม่ออกว่าทำไมไป๋มู่ชิงไม่เปิดเครื่อง และไม่ได้ลงมาจากเครื่องบิน

ยี่สิบนาทีต่อมา เลขาหลินปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง พูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คุณชายเฉิน เมื่อกี้ฉันให้คนไปตรวจสอบมา คุณหนูอีไม่ได้จองเที่ยวบินไปเมืองเหยียน แต่……จองเที่ยวบินไปอังกฤษตอนบ่ายสอง”

“อังกฤษ? ” หนานกงเฉินได้ยินก็ตื่นตระหนก จ้องมองเธอแล้วตะคอกอย่างโกรธๆ “เป็นไปได้ยังไง? สืบให้ฉันอีกรอบสิ!”

เลขาหลินเห็นความโกรธบนใบหน้าเขา ก็หดคอด้วยความกลัว “คุณชายเฉิน ฉันตรวจสอบหลายครั้งแล้วค่ะ มันไม่ผิดพลาด”

ไป๋มู่ชิงไปอังกฤษแล้ว? แต่เธอกลับหลอกเขาว่าไปเมืองเหยียน และหลบเลี่ยงทุกวิถีทางไม่ให้เขาไปส่งที่สนามบิน ทำไม? ทำไมเธอต้องทำแบบนี้?

หนานกงเฉินคิดเรื่องนี้อยู่นานมากก็คิดไม่ออก จนกระทั่งนึกถึงอีกคนหนึ่ง ก็หันกลับมาพูดกับเลขาหลินทันที “เธอไปช่วยตรวจสอบอีกทีว่าหนึ่งในผู้โดยสารเที่ยวบินเดียวกับเธอ มีผู้ชายที่ชื่อว่าเฉียวเฟิงไหม? ”

เลขาหลินยื่นกระดาษ A4 ในมือส่งไปให้แล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน นี่คือรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดในเที่ยวบิน คุณดูสิคะว่ามีเบาะแสอะไรไหม”

หนานกงเฉินรับกระดาษ A4 มา รีบกวาดตามองรายชื่อทั้งหมดในนั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเชื่อ ‘เฉียวเฟิง’ สองคำนี้ หัวใจก็บีบรัดทันที

พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันจริงๆ ไปอังกฤษด้วยกัน!

หมายความว่าไงกันแน่? ทำไมทำแบบนี้?

หนานกงเฉินโกรธจนฉีกกระดาษ A4 เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงถังขยะข้างๆ กัดฟันกรอด

เลขาหลินเห็นท่าทางเขาแบบนี้ ก็ถอยหลังเล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณยังโอเคไหม? ”

หนานกงเฉินหันศีรษะไปแล้วตะคอกใส่เธอ “ออกไป!”

เลขาหลินโดนเขาตะคอกใส่ ก็รีบหันตัวเดินไปที่ประตูทันที

หลังจากหนานกงเฉินเดินรอบห้องทำงานด้วยความโกรธ ก็หันตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์

เขารู้สึกว่าตัวเองต้องสงบสติอารมณ์จริงๆ คิดถึงปัญหาอย่างใจเย็น

ถ้าไป๋มู่ชิงอยากไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิงจริงๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่กับเขาไม่กี่วันนี้หรอกใช่ไหม? นอกจากนี้เขายังมองออกว่าความรู้สึกที่ไป๋มู่ชิงมีให้เขาในช่วงนี้ไม่ได้เสแสร้ง เขารู้สึกได้ว่าเธออยากกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง

แต่……ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมเธอต้องหลอกเขา?

เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงตอนนี้อยู่บนเครื่องด้วยกัน โทรศัพท์โทรไม่ติด เขาลังเลสักพักหนึ่ง ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์เฉียวซือเหิงด้วยความสิ้นหวัง เขาคิดว่าเฉียวซือเหิงต้องรู้แน่ๆ ว่าทำไมพวกเขาสองคนไปต่างประเทศกะทันหัน!

ไม่คิดว่าเฉียวซือเหิงจะรับโทรศัพท์เขาอย่างรวดเร็ว ถึงขนาดใช้ชีวิตเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน พูดขึ้นพร้อมหัวเราะเยาะเย้ย “คุณชายเฉิน ไม่เจอกันนานเลยนะ อยากชวนฉันไปดื่มเหล้าเหรอ? ”

หนานกงเฉินกัดฟัน กลั้นความโกรธไว้แล้วถามขึ้น “ทำไมมู่ชิงกับเฉียวเฟิงไปต่างประเทศกะทันหัน? ”

เฉียวเฟิงไม่รู้ข่าวเรื่องพวกเขาสองคนไปต่างประเทศอย่างเห็นได้ชัด ตกตะลึงอย่างชัดเจนแล้วก็พูดเยาะเย้ยต่อไป “เรื่องนี้นายมาถามฉันทำไม? ไป๋มู่ชิงกลับไปอยู่กับนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ”

“ได้โปรดบอกฉัน!” เสียงหนานกงเฉินเย็นชาขึ้น

“จึ๊ๆ ทั้งๆ ที่ขอร้องฉัน แต่ยังทำท่าทางเหมือนจะกินคน” เฉียวซือเหิงยิ้ม “ด้วยท่าทีของนายฉันไม่บอกนายหรอกว่าทำไม”

“นาย……”

“ฉันทำไม? ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะดูตัวเองให้ดีว่าทำไมสุดท้ายไป๋มู่ชิงถึงเลือกที่จะทิ้งนายแล้วไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิง ไม่ใช่มาถามคนอื่นว่าทำไม”

“นายจะพูดไม่พูด? !” ความอดทนของหนานกงเฉินใกล้หมดลง

“ไม่ใช่ฉันไม่พูด แต่ไม่รู้จริงๆ ” เฉียวซือเหิงแสร้งคร่ำครวญ “คุณชายเฉิน ฉันไม่รู้จริงๆ ขอโทษนะ ฉันมีโทรศัพท์เข้ามา……”

วินาทีต่อมา เฉียวซือเหิงก็วางสายไป

หนานกงเฉินโกรธจัดตะโกนฮัลโหลใส่ไมค์ไปสองสามที ในโทรศัพท์กลับมีเสียงตู๊ดๆ วางสายดังขึ้น

เขาโกรธจนแทบทุบโทรศัพท์ทิ้ง แต่สุดท้ายก็อดทนไว้

เฉียวซือเหิงเอาโทรศัพท์ลงมองหน้าจอ เห็นเป็นสายที่โทรมาจากอังกฤษก็กดปุ่มรับสายทันที เสียงโรเซ่ที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้น “คุณชายใหญ่เฉียว หว่านชิงหายตัวไปแล้ว”

เสียงเขาเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเฉียวซือเหิงได้ยินว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไปก็ตกตะลึงทันที ถามขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “นายว่าไงนะ? หว่านชิงหายตัวไปแล้ว? ”

“ใช่ ผมแจ้งคุณชายรองเฉียวแล้ว เขายังไม่บอกคุณจริงๆ เหรอ? ”

“ยัง” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างกังวล “ทำไมหว่านชิงหายตัวไป? เฉียวเฟิงจัดบอดี้การ์ดให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ”

“ขอโทษครับ ต้องโทษที่เราดูแลเธอได้ไม่ดี วันนี้ตอนเราไปซื้อของก็หาเธอไม่เจอภายในแป๊บเดียว ผมระดมเพื่อนๆ มาช่วยตามหาแล้ว หวังว่าจะพบเธอให้เร็วที่สุด” โรเซ่พูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด

ถึงแม้เขาจะจัดเตรียมคนไปตามหาแล้ว แต่คิ้วเฉียวซือเหิงกลับขมวดลึกขึ้น ครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งแล้วพูดด้วยใบหน้าเข้มงวด “โรเซ่นายฟังฉันพูดนะ หว่านชิงโตขนาดนี้แล้ว พูดภาษาอังกฤษได้ดี และรู้ว่าเวลาหลงทางต้องตามหาตำรวจ เธอไม่ถึงขนาดหาทางกลับบ้านไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ง่ายแบบนั้น หวังว่านายจะรับมืออย่างระมัดระวังหน่อยนะ อีกอย่าง……..ให้คนจับตาดูโทรศัพท์ในบ้านด้วย”

“ผมรู้แล้ว คุณชายใหญ่เฉียวไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“ฉันจะขึ้นเครื่องให้เร็วที่สุด” เฉียวซือเหิงพูดอีกครั้ง

โรเซ่พูด “คุณชายรองเฉียวกับอีหลินมาถึงแล้วนะครับ”

“ว่าไงนะ? เฉียวเฟิงไปแล้วเหรอ? ขาของเขาไม่สะดวกจะไปทำไม? ”

“เขากังวลมาก กังวลจะแย่แล้ว” โรเซ่เปลี่ยนคำพูด “ไม่งั้นคุณชายใหญ่เฉียวรออีกหน่อยไหมครับ? บางทีอีกสักครู่หว่านชิงจะกลับมา”

เฉียวซือเหิงมือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้ อีกข้างหนึ่งกำลังใช้คอมพิวเตอร์ตรวจสอบเที่ยวบินที่เร็วที่สุด พบว่าเร็วที่สุดคือพรุ่งนี้เช้า ก็พูดอย่างค่อนข้างหมดหนทาง “ฉันจะบินได้ตอนพรุ่งนี้เช้า นายมีข่าวอะไรก็โทรหาฉันนะ”

“โอเคครับ”

“อีกอย่าง รบกวนช่วยฉันดูแลเฉียวเฟิงด้วย”

“OK คุณชายรองเฉียวเป็นเพื่อนสนิทผม” โรเซ่รับปากเต็มที่

--

เมื่อเลขาเหยียนได้รับสายจากหนานกงเฉิน ก็รีบมาทันที

เมื่อเธอเข้ามาก็เห็นหนานกงเฉินนั่งบนพื้นพิงหน้าต่างบานใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและรู้สึกแย่

เลขาเหยียนเดินเข้าไป ย่อตัวตรงหน้าเขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันกำลังอยากตามหาคุณพอดี อาการป่วยของคุณเมื่อคืนฉันได้ยินเฉียวเฟิงบอกแล้ว มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? คุณได้ไปตรวจที่โรงพยาบาลไหม……”

หนานกงเฉินหันหน้ามา จ้องมองเธอแล้วถามอย่างไม่คาดคิด “เธอมีความสัมพันธ์กับเฉียวเฟิงจริงๆ เหรอ? ”

“เอ่อ……” เลขาเหยียนพูดไม่ออกสักพักแล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนฉันไปเจอเฉียวเฟิงกำลังดื่มเหล้าที่บาร์ ฉันคุยเป็นเพื่อนเขาไม่กี่ประโยค”

“แล้วเขาได้บอกอะไรเธอไหม? ” หนานกงเฉินคว้าข้อมือเธอไว้

เลขาเหยียนตกใจเขา ก้มหน้ามองฝ่ามือใหญ่ที่จับข้อมือเธอไว้แน่น แรงเขาเยอะมาก ทำจนเธอเจ็บ……

เธอเห็นความวิตกกังวลบนใบหน้าหนานกงเฉิน ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแต่ก็ยังพยักหน้า “บอกค่ะ เขาบอกว่าคุณถูกผู่เหลียนเหยาวางยา มู่ชิงตัดสินใจกลับไปหาคุณแล้ว แล้วก็……”

“เขาพูดว่าไง? เขาบอกว่าเขาจะปล่อยมู่ชิงไปเหรอ? หรือว่าจะสู้กับฉันจนถึงที่สุด? ”

เลขาเหยียนมองเขาอย่างหมดหนทาง เพราะอาการป่วยของเขาเธอจึงนอนไม่หลับเมื่อคืน เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด? ในใจเขามีแต่เรื่องไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงเหรอ?

“เฉียวเฟิงปล่อยแล้ว……”

“แล้วทำไมวันนี้เขาต้องพามู่ชิงไปต่างประเทศด้วย? ”

“คุณว่าไงนะ? ” เลขาเหยียนตกตะลึง “เฉียวเฟิงพาคุณหนูไป๋ไปต่างประเทศเหรอ? ”

เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เธอเจอเฉียวเฟิงเมื่อคืน แล้วพูดต่อ “”

“เมื่อคืนมู่ชิงก็บอกฉันว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไป” หนานกงเฉินยิ้มอย่างหงุดหงิด “แต่ในขณะที่เธอสัญญากับฉันก็โกหกฉัน โกหกฉันว่าวันนี้เธอจะไปเจอแม่และน้องชายเธอที่เมืองเหยียน ถ้าฉันไม่ได้จัดเตรียมคนไปรับที่สนามบิน จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเธอไปอังกฤษกับเฉียวเฟิงแล้ว เฮอะ……เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งนานแล้วตอนแรกไม่อยากให้เธอกลับมาหรอก……”

เมื่อเห็นท่าทางเศร้าๆ บนใบหน้าเขา เลขาเหยียนก็พูดปลอบ “คุณชายเฉิน บางทีพวกเขาอาจจะแค่ไปทำธุระที่ต่างประเทศก็ได้นะ ทำเสร็จแล้วก็จะกลับมา? ”

“ถ้าออกไปทำธุระแล้วทำไมเธอไม่ให้ฉันไปเป็นเพื่อนล่ะ? ทำไมต้องโกหกฉันว่าไปเมืองเหยียนด้วย? !” หนานกงเฉินโกรธจนตะคอกออกมา

“คุณชายเฉิน คุณอย่าโกรธ สุขภาพสำคัญ……”

“เจอเรื่องแบบนี้ฉันจะไม่โกรธได้ยังไง? ใครไม่โกรธได้บ้าง? ” หนานกงเฉินคว้ากล่องทิชชูที่อยู่ข้างกายขว้างไปที่ผนังฝั่งตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็เตะโต๊ะ “ขี้โกหก! เป็นคนขี้โกหกตลอดไป!”

“คุณชายเฉินคุณอย่าเป็นแบบนี้” เลขาเหยียนตกใจท่าทางสะเทือนใจของเขา รีบห้ามไม่ให้เขาเป็นบ้าต่อ แล้วโน้มน้าวไปด้วย “คุณอย่าเป็นบ้าทุกครั้งที่เจอกับเรื่องคุณหนูไป๋สิคะ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่าร่างกายตัวเองไม่เหมาะกับการโกรธ ถ้าโกรธถึงตายจะทำยังไง? ”

หนานกงเฉินยืนขึ้นมาจากพื้นทันที เดิมทีเขาอยากพุ่งไปที่ประตูห้องทำงาน แต่ขณะที่ลุกขึ้นก็เวียนศีรษะฉับพลัน เกือบล้มลงกับพื้น

เขาทำเสียงคร่ำครวญ มือข้างหนึ่งกุมศีรษะตัวเอง มือข้างหนึ่งประคองขอบหน้าต่าง พยายามให้ความรู้สึกเจ็บหายไปเร็วๆ

“คุณชายเฉินคุณยังโอเคไหม? ” เลขาเหยียนรีบประคองแขนเขา เอ่ยอย่างเป็นห่วง “ต้องการให้เรียกคุณหมอมาดูคุณหน่อยไหมคะ หรือให้ฉันพาคุณไปส่งโรงพยาบาล? ”

“ไม่ต้อง……” หนานกงเฉินสะบัดมือเธอออก พูดขึ้น “ฉันฝากไปบอกเฉียวเฟิงหน่อย ให้เขารีบส่งมู่ชิงคืนฉันเร็วๆ จะดีที่สุด ไม่งั้น……ไม่งั้น……” ร่างของเขาสั่น ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นทีละนิด

“คุณชายเฉิน คุณเป็นอะไร? ” เลขาเหยียนตกใจมากที่เขาเป็นลมกะทันหัน ร่างหนานกงเฉินหนักเกินไปเธอประคองไม่ขึ้น ล้มลงกับพื้นทันที

ด้วยความร้อนรนใจ เลขาเหยียนตะโกนเสียงดังไปที่นอกประตูสองคำว่า “ช่วยด้วย”

เลขาหลินและเลขาเฉินพวกเธอพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นหนานกงเฉินล้มลงกับพื้นก็ตกใจสะดุ้ง เลขาเหยียนรีบเรียกเพื่อนร่วมงานชายสองสามคนมาแบกหนานกงเฉินไปชั้นล่าง จากนั้นก็ขับรถไปส่งหนานกงเฉินเข้าโรงพยาบาลด้วยตัวเอง

--

หลังจากบินอยู่นานมาก ในที่สุดเที่ยวบินที่เฉียวเฟิงและไป๋มู่ชิงโดยสารมาก็มาถึงสนามบินจุดหมายปลายทาง

ทั้งสองเดินตามกระแสผู้คนไปด้านนอกสนามบิน ไป๋มู่ชิงสังเกตเฉียวเฟิงแล้วถามอย่างเป็นห่วง “อาเฟิง คุณปวดหัวดีขึ้นหรือยัง? ”

เฉียวเฟิงอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ตลอดทาง พูดก็น้อย เธอเคยถามว่าเขาอารมณ์ไม่ดีใช่ไหม แต่เขากลับบอกว่าเขาแค่เวียนศีรษะไปหน่อย ไม่ได้เป็นอะไร

ตอนนี้ลงจากเครื่องแล้ว เขาไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเลยสักนิด แต่ถึงขนาดรับสายแล้วสีหน้าดูยิ่งเคร่งเครียดขึ้นมา

“ดีขึ้นเยอะแล้ว” เฉียวเฟิงตอบอย่างสบายๆ ในใจก็กำลังเครียดว่าควรบอกเธออย่างไรว่าเสียวหว่านชิงหายตัวไป เขากังวลว่าไป๋มู่ชิงจะพังทลาย จะสับสนยุ่งเหยิง จึงไม่ได้บอกความจริงนี้กับเธอมาตลอดทาง

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ควักโทรศัพท์ออกมาจากในกระเป๋าเตรียมโทรหาหนานกงเฉิน มองดูเวลามันไม่ค่อยเหมาะสมจึงเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปแทน

ข้อความของเธอเพิ่งพิมพ์ไปครึ่งหนึ่ง ข้างหูก็มีเสียงลังเลของเฉียวเฟิงดังขึ้น “มู่ชิง……ฉันอยากบอกเธอหนึ่งเรื่อง”

เขาคิดว่าตัวเองต้องบอกเธอตอนนี้ดีกว่า เดี๋ยวเธอไปถึงบ้านโรเซ่ไม่เจอเสียวหว่านชิงแล้วจะเป็นคลุ้มคลั่งน้อยลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด