ไป๋มู่ชิงออกมาจากที่พักของเฉียวเฟิง ขณะที่มาถึงโรงแรมแล้วนั้น หนานกงเฉินกับเสียวหว่านชิงได้อยู่ในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เธอยกมือเคาะประตูห้อง ไม่นานก็มีคนเปิดประตูจากด้านในออก
เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง หนานกงเฉินจึงชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็กวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่สายตาหล่นไปอยู่บนกระเป๋าเดินทางที่อยู่ข้างเท้าเธอ ความประหลาดใจที่อยู่บนใบหน้าจึงมีมากขึ้นกว่าเดิม
เขาให้ไป๋มู่ชิงไปเจรจากับเฉียวเฟิง ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะจัดการเจรจาทุกอย่างให้เสร็จสรรพภายในคืนนี้ได้เลยเช่นนี้ เขาได้เตรียมตัวในการพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว รอให้เธอค่อย ๆ เจรจากับเฉียวเฟิงไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อยพาเธอและหว่านชิงกลับประเทศไปด้วยกัน
“เธอ……นี่หมายความว่าเจรจาสำเร็จแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงที่ขอบตาแดงก่ำ พร้อมทั้งเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าช้า ๆ : “หรือว่า……ทะเลาะกับเขาเลยหนีออกจากบ้าน ? ไม่ใช่สิ……เธอไป๋มู่ชิงไม่มีความกล้าและความเด็ดขาดแบบนั้นหรอกเธอ……”
หนานกงเฉินยังไม่ทันได้กล่าวจบประโยค ก็ถูกเธอที่อยู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมกอดรัดตัวเขาเอาไว้แน่นจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ไป๋มู่ชิงกอดเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าเรียวเล็กซุกอยู่ซอกคอของเขา เธอกระพริบตาไล่น้ำตาที่คลอเบ้าออกพร้อมทั้งกักเก็บความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่เอาไว้ จากนั้นก็กล่าวเสียงสะอื้นว่า : “ฉันเป็นอิสระแล้ว……”
“งั้นเหรอ ? ราบรื่นแบบนี้เลยเหรอ ?” หนานกงเฉินยังคงสงสัยไม่คลาย
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น : “ไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหม ? ฉันก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเหมือนกัน เหลือเชื่อไปเลย”
“เฉียวเฟิงปล่อยมือไปอย่างง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ ?”
“ค่ะ เขาบอกว่าเขาได้ตัดสินใจปล่อยมือฉันไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ที่เขาพาฉันมาต่างประเทศก็แค่อยากย้อนความรู้สึกที่อยู่กับฉันในเมื่อก่อน ไปในสถานที่ที่เคยไปด้วยกันในเมื่อก่อนเท่านั้น” ไป๋มู่ชิงใช้กำหมัดต่อยเข้าไปยังไหล่ของเขา : “ทำให้ฉันเป็นกังวลใจเปล่า ๆ ตั้งนาน ฉันนึกว่าจะไม่สามารถกลับมาอยู่กับคุณได้อีกแล้วเสียอีก……”
“ฉันก็เหมือนกัน……ทำให้ฉันเป็นกังวลใจเปล่า ๆ ตั้งนานแหนะ” หนานกงเฉินพรมจูบไปยังเส้นผมของเธอพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า : “รู้อย่างนี้ฉันไม่ตามมาหรอก ไปจัดการคนชั่วเหล่านั้นที่บริษัทต่อไปและรอให้เธอกลับเมืองซีมายังจะดีกว่า”
“ขอโทษนะคะ ฉันผิดเอง……ทำให้คุณบึ่งมาตั้งไกลและนานแบบนี้เสียเปล่าเลย”
“พูดขอโทษทำไมกัน ?” หนานกงเฉินยิ้มพร้อมใช้มือเคาะหน้าผากของเธอ : “อย่าเอาแต่พูด ‘ขอโทษ’ กับฉันสิ อีกอย่างฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดีออกนะ ก็ถือซะว่าเป็นความแห้วเล็ก ๆ ในชีวิตก็แล้วกัน อืม……ถือซะว่าตอนนั้นที่ฉันติดค้างเธอ ก็ถือโอกาสถูกเธอทรมานคืนในตอนนี้ก็แล้วกัน……”
“จริงด้วยนะ ฉันคิดว่าเฉียวเฟิงจะต้องคิดอย่างนี้แน่เลย สร้างโอกาสให้ฉันได้ทรมานคุณกลับหนึ่งครั้ง”
“ดูสิ ได้ใจใหญ่เลยนะ” หนานกงเฉินยิ้มพร้อมพรมจูบไปบนริมฝีปากของเธอ หลังจากที่ทั้งสองคนจูบหัวเราะเฮฮากันพักใหญ่แล้ว ไป๋มู่ชิงจึงกล่าวถามขึ้นว่า : “จริงสิ หว่านชิงล่ะ ?”
“เล่นเหนื่อยแล้ว เพิ่งนอนหลับไปน่ะ” หนานกงเฉินชี้ไปยังด้านในห้อง
“เป็นยังไงบ้าง ? ยังว่านอนสอนง่ายอยู่ไหม ?”
“ว่านอนสอนง่ายมากเลย เหมือนเธอนั่นแหละ” หนานกงเฉินกล่าวไป พร้อมพรมจูบริมฝีปากของเธออีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นมาผลักหน้าอกของเขาออก : “คุณหนานกงเฉิน คุณแน่ใจนะว่าจะแสดงเรียลลิตีโชว์อยู่หน้าประตูน่ะ ?”
“อืม พวกเราเข้าไปด้วยกันเถอะ” หนานกงเฉินใช้เท้าแตะกระเป๋าเดินทางบนพื้นเข้าห้อง จากนั้นก็ใช้เท้าปิดประตูห้อง สองมือของเขาไม่คลายออกจากเธอในทุกขั้นตอน ยังคงโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่แน่นเช่นเคย ทั้งริมฝีปากยังประกบกับปากสีแดงอันระเรื่อของเธอไม่คลาย
ทั้งสองคนพรมจูบกันตั้งแต่หน้าประตูจนถึงเตียงนอน หนานกงเฉินจับเธอกดลงบนเตียง จากนั้นบนเตียงก็สั่นคลอนเบา ๆ เป็นระยะหนึ่งเหมือนที่เคยเป็นมา ไป๋มู่ชิงนึกถึงหว่านชิงขึ้นมาจึงดิ้นขัดขืนเล็กน้อยพร้อมกล่าวกระซิบว่า : “เฉิน พวกเราทำอย่างนี้จะทำให้หว่านชิงตื่นได้นะ……”
“ไม่หรอก ฉันว่าลูกหลับลึกมากเลยนะ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นเบา ๆ
“ไม่ได้นะ ถ้าอยู่ ๆ ลูกตื่นขึ้นมาจะทำยังไง ?”
“แล้วจะทำยังไง ? ไปห้องน้ำไหม ?” หนานกงเฉินจงใจแสดงสีหน้าที่ลำบากใจพร้อมมองหน้าเธอ
“อย่าเลย……พวกเราเอาไว้วันหลังก็ได้”
“เธอทนไหวเหรอ ? ฉันไม่เชื่อ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นพริ้มพร้อมมองใบหน้าเรียวเล็กสีแดงอมชมพูของเธอ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า : “ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่อื่น ๆ เขาทำกิจบนเตียงกันยังไงเนอะ ? คงไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วก็ไม่ทำการบ้านหรอกนะ ?”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า จากนั้นก็มองหน้าเขา : “จริงสิ ร่างกายของคุณยังฟื้นฟูไม่เต็มที่เลยนะคะ ทำการบ้านไหวเหรอ ?”
“ยังไม่เคยลอง รอเธอมาทดลองอยู่น่ะ” หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้นพร้อมทั้งพรมจูบไปยังซอกคอของเธอ จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปกดปิดไฟหัวเตียง ทันใดนั้นความมืดก็เข้าปกคลุมแสงสว่างภายในห้อง
คราวนี้แม้หว่านชิงจะตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เขาคิดเช่นนี้อย่างลำพองใจอยู่ในใจ
--
หลังจากเสร็จกิจแล้ว ไป๋มู่ชิงได้นอนหลับไปเรียบร้อย เมื่อหนานกงเฉินได้ยินเสียงหายใจของเธอค่อย ๆ มั่นคงลงและจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าเธอนอนหลับจริง ๆ เขาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปกดเปิดไฟดวงน้อยที่อยู่บนหัวเตียง
จากนั้นเขาจึงเก็บเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกเขาโยนไว้บนพื้นขึ้นมาคลุมบนตัวไว้ และค้นหาพาสปอร์ตของไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงอยู่ในกระเป๋าเดินทางของไป๋มู่ชิง หาเจอแล้วก็เดินไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์พร้อมเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำการจองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองซีเวลาบ่ายของวันพรุ่งนี้สามใบในอินเทอร์เน็ต
หลังจากที่จองตั๋วเสร็จแล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์แล้วรินน้ำดื่มหลายอึก จากนั้นก็เดินกลับมายังริมขอบเตียง
เขามองสองแม่ลูกที่กำลังหลับลึกอยู่บนเตียงภายใต้แสงสีเหลืองส้มอันสลัว ๆ บนหัวเตียง ในใจพลางรู้สึกอ่อนยวบขึ้นมาเองตามธรรมชาติ รู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง
นี่คือภรรยาและลูกสาวของเขา เขาเคยสูญเสียพวกเธอไปซึ่งไม่ง่ายเลยว่าจะเจอตัวและพาพวกเขาภรรยาและลูกสาวกลับคืนมาได้ !
เขาผู้ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ครั้นในเวลานี้กลับไร้ซึ่งความง่วงใด ๆ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมจ้องมองใบหน้าที่หลับใหลอยู่ของสองแม่ลูกอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ากำลังชื่นชมผลงานศิลปะอันมีค่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ไม่สิ สำหรับเขาแล้วแม้จะเป็นผลงานศิลปะอันมีค่าเท่าใดก็ไม่เทียบเท่าพวกเธอสองแม่ลูกได้เลย !
จนกระทั่งไป๋มู่ชิงตื่นนอนขึ้นมาจากห้วงนิทรา และขณะที่เธอยื่นมือออกมาแล้วคลำหาหนานกงเฉินไม่เจอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมานั้น ก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียงนอนอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ตกอยู่ในภวังค์เช่นนั้น
เธอขยี้ดวงตาทั้งสองข้าง กวาดสายตามองเวลาบนกำแพง ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เขายังไม่นอนอีกงั้นหรือ ?
“เฉิน คุณมองอะไรอยู่เหรอ ? ทำไมยังไม่นอนอีก ?” เธอถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“มองเธอไง” หนานกงเฉินตอบตามความจริง
“มองฉันเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงขมวดคิ้ว
“อืม รู้สึกว่าแม้จะดูยังไงก็ดูไม่พอเลย”
ใบหน้าเรียวเล็กของไป๋มู่ชิงแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเขินอาย เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเองเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มมองหาเสื้อผ้าของตนเอง
หนานกงเฉินกลับฉีกยิ้มขึ้นและถอดชุดนอนบนตัวออก จากนั้นก็มุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วโอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ : “ไม่ต้องใส่แล้ว ฉันอยากกอดเธอนอนหลับไปอย่างนี้แหละ”
“คุณแน่ใจนะว่าคุณนอนกลับได้น่ะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองหน้าเขาพร้อมฉีกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย
มือของเขาเริ่มอยู่ไม่นิ่งแล้ว เธอไม่เชื่อโดยสิ้นเชิงว่าเขาจะนอนหลับลงได้
หนานกงเฉินเองก็ไม่เชื่อว่าตนเองจะนอนหลับได้เช่นกัน จึงจัดการเธออีกรอบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...