หลังจากที่เดินลงรถมา ไป๋มู่ชิงก็กลับเข้าบ้านพร้อมพาหว่านชิงออกมาจากห้อง
“คุณพ่อคะ คุณพ่อคุยกับคุณแม่เสร็จแล้วเหรอคะ ?” เสียวหว่านชิงมองหน้าหนานกงเฉินพร้อมสอบถามขึ้นมา
หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาจากบนพื้น : “คุยเสร็จแล้วครับ ตอนนี้คุณพ่อจะพาหว่านชิงออกไปทานข้าวเย็นนะ ได้ไหมครับ ?”
“ได้ค่ะ แล้วพ่อเฉียวกับคุณแม่ล่ะคะ ?” หว่านชิงหันไปถามไป๋มู่ชิง
หนานกงเฉินมองไปยังไป๋มู่ชิง เธอก็มองมาทางเขาพอดี เธอฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “ไม่ไปหรอกค่ะ คุณแม่จะอยู่ทำกับข้าวเย็นให้พ่อเฉียวที่บ้าน หว่านชิงไปทานข้าวเย็นกับคุณพ่อดีไหมคะ ?”
“ทำไมคุณพ่อเฉียวไม่ไปกับพวกเราล่ะคะ ?”
“เพราะคุณพ่อเฉียวเหนื่อยแล้วยังไงล่ะคะ”
หว่านชิงพยักหน้า : “ก็ได้ค่ะ หนูกับคุณพ่อจะไปทานของอร่อย จากนั้นก็จะห่อกลับมาให้คุณพ่อเฉียวกับคุณแม่นะคะ”
“ค่ะ ลูกรักของแม่เป็นเด็กดีจริง ๆ” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปหาหนานกงเฉิน จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้เขา : “ดูแลหว่านชิงให้ดี ๆ นะอย่าให้ลูกวิ่งหนีหายไปล่ะ”
“คุณแม่ขาหนูจะไม่วิ่งซี้ซั้วเหมือนครั้งก่อนแล้วละค่ะ” เสียวหว่านชิงชิงกล่าวขึ้นก่อน เรื่องคราวก่อนเธอยังหวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้อยู่ จะกล้าวิ่งไปซี้ซั้วได้อย่างไร
“อืม คุณพ่ออยู่ด้วยทั้งคน หว่านชิงไม่มีทางหลงทางไปอีกแล้ว” หนานกงเฉินพยักหน้า พร้อมใช้มือลูบศีรษะของเธอ
สิ้นเสียงเขาก็หันหน้าไปหาไป๋มู่ชิงอีกครา มองเธอพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนนุ่ม : “คุยกับเฉียวเฟิงให้ดี ๆ พยายามกลับบ้านให้ได้เร็ว ๆ นะ”
คราวนี้เขาเจอตัวเธอแล้ว ตามนิสัยของเขาก็ควรจะบังคับขู่เข็นพาไป๋มู่ชิงกลับประเทศไปโดยตรง ทว่าเพื่อเป็นการดูแลความรู้สึกของเธอ เขาทำได้เพียงให้เวลากับเธอในการไปเจรจากับเฉียวเฟิงดี ๆ เมื่อเรื่องของมู่ชิงและหว่านชิงจัดการเสร็จสรรพแล้ว สิ่งที่เขาควรจะทำตอนนี้นั้นคือเร่งกลับประเทศไปจัดการเรื่องของบริษัทโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นบริษัทคงล้มละลายจนหมดสิ้นเป็นแน่
เรื่องนี้ไป๋มู่ชิงจะไม่ทราบได้อย่างไร เมื่อสักครู่นี้เธอถามเขาแล้ว ทั้งที่เวลานี้บริษัทต้องการเขามากเพียงนี้เหตุใดเขายังตามเธอมาอีก ครั้นคำตอบของเขาคือเธอและหว่านชิงสำคัญกว่าบริษัท แค่คำพูดเดียว ทำให้เธอหาเหตุผลที่จะปฏิเสธเขาไม่ได้อีกต่อไป !
ทั้งชาตินี้ระหว่างเธอกับเขายังจากกันไปได้อยู่หรือ ?
--
ไป๋มู่ชิงกลับมาอยู่ในบ้าน จึงพบเฉียวเฟิงที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าของหน้าต่างบานใหญ่ของชั้นสองอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของด้านนอกอย่างชัดเจน
เมื่อสักครู่นี้เขาจะต้องเห็นขณะที่เธอและหนานกงเฉินอยู่ด้วยกันสินะ หากเห็นแล้ว เช่นนั้นเขาคงเสียใจแย่เลยใช่หรือไม่ ?
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่เบื้องหลังของเขา มีความรู้สึกผิดจนไม่กล้าเดินหน้าไปคุยกับเขาผุดขึ้นมา
บัดนี้ ไม่ว่าเธอจะกล่าวอันใดต่างก็เป็นการทำร้ายเขาทั้งนั้น
เธอควรจะเอ่ยปากบอกเขาให้ปล่อยเธอไปอย่างไรดี ? เอ่ยอย่างไรดี ?
ไป๋มู่ชิงยืนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นเวลาเนิ่นนานครั้นก็ไม่พบคำพูดเปิดประเด็นอันเหมาะสมได้เลย สุดท้ายเฉียวเฟิงจึงเป็นฝ่ายหันหน้ามา เขาจ้องมองสบตากับเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นเจือจาง : “ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ ?”
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็สาวเท้าเดินมานั่งยองยองลงเบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นสบตาเขา : “ขอโทษ ฉันคิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉินจะตามมาด้วย”
เฉียวเฟิงหุบยิ้มลงจากนั้นก็ส่ายหน้า : “ไม่ คุณไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึง คุณรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาจะต้องตามมาแน่นอน”
อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าไม่นานก็ช้าหนานกงเฉินจะต้องตามมาแน่นอน นิสัยของหนานกงเฉินเป็นอย่างไรเขาทราบดี !
“คุณลุกขึ้นก่อน มานั่งตรงนี้” เฉียวเฟิงจูงมือเธอให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ตบเก้าอี้ข้าง ๆ ตนให้เธอเข้ามานั่ง
ไป๋มู่ชิงนั่งลงตามคำพูดของเขา ครั้นไม่ทราบว่าต่อไปควรพูดอะไรดี เมื่อพิจารณามาเป็นเวลาเนิ่นนาน แล้วต้องการจะเอ่ยปากพูดขึ้นนั้น เฉียวเฟิงกลับชิงเอ่ยขึ้นในเวลานี้เสียก่อน : “มู่ชิง คุณน่าจะไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมเฉียวซือเหิงถึงได้ส่งคุณมาหาผมให้ได้ใช่ไหม ?”
“ฉันทราบค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “เขารู้ว่าคุณชอบฉัน เพราะงั้นเลยสนองความฝันนี้ให้คุณ ไม่ใช่อย่างนี้เหรอคะ ?”
“ถูกต้อง” เฉียวเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า : “แม้ว่าผมกับเฉียวซือเหิงจะเป็นพี่น้องต่างแม่กัน แต่เขาโชคดีกว่าผม เพราะเป็นลูกที่คุณนายเฉียวคลอดออกมา แต่ผมเป็นลูกของเมียน้อยข้างนอกของคุณพ่อ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณนายเฉียวไม่ดีต่อกันมาโดยตลอด คุณนายเฉียวต้องการปกป้องตำแหน่งที่บ้านตระกูลเฉียวของตนเอง จึงตัดสินใจทำร้ายผมและคุณแม่จนสิ้นซาก แผนการอุบัติเหตุรถยนต์ที่เขาคิดเองนั้นไม่เพียงแต่พรากชีวิตของคุณแม่ผมไป ทั้งยังได้พรากสองขาของผมไปด้วย ตามหลักการแล้วคุณนายเฉียวจะต้องได้รับโทษประหารชีวิต ผมส่งเธอเข้าคุกได้ในทันที ให้เธออยู่ในคุกไปตลอดชีวิตตนแก่จนตาย แต่ว่าเฉียวซือเหิงเขาคุกเข่าขอร้องผม ขอร้องให้ผมปล่อยแม่เขาไปและให้คำสัญญาว่าจะดูแลผมไปตลอดชีวิต คุณพ่อก็เอาความรับผิดชอบทุกอย่างไปไว้บนเขาทั้งหมดเช่นเดียวกัน พร้อมขอร้องผมว่าอย่านำความอัปยศมาสู่ตระกูลเฉียว อย่าให้เฉียวซือเหิงไร้หน้าตาในสังคมตลอดไป ความจริงผมเข้าใจดีว่าคุณแม่ผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก เธอทำร้ายครอบครัวของผู้อื่นแถมยังลองแย่งชิงตำแหน่งคุณนายใหญ่ของตระกูลเฉียวไปจากคุณนายเฉียวมาอีก แต่ว่าแม้เธอจะไม่ดียังไงก็เป็นแม่ของผมอยู่ดี เป็นคนที่ให้กำเนิดชีวิตผม การที่ผมเห็นเธอถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตต่อหน้าต่อตา ผมจะไม่โกรธแค้นได้ยังไง ? ทางหนึ่งคือแม่ของตัวเอง อีกทางคือพ่อและพี่ชาย ผมทุกข์ทรมานและลังเลมาก แต่สุดท้ายยังคงรู้สึกซึ้งใจใจความอ้อนวอนของเฉียวซือเหิงอยู่ดี จึงล้มเลิกการเอาผิดทางกฎหมายในการสอบสวนคุณผู้หญิงเฉียวไป”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นัยน์ตาของเฉียวเฟิงก็ยังคงมีความโทษตัวเองและความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ลึก ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่จากนั้นค่อยกล่าวต่อว่า : “หลังจากนั้นสองปีคุณพ่อก็เสียชีวิตลง ผมที่สองขาพิการจึงสูญเสียความมั่นคงในชีวิตไปทั้งหมดชั่วพริบตา และเฉียวซือเหิงยังคงยึดมั่นคำสัญญาที่มีไว้กับผมด้วยการดูแลผมอย่างดี ปกติแล้วถ้าผมร้องขออะไรเขาก็จะสนองให้ทันที และที่ผมไม่ร้องขอ……เขาก็จะจัดเตรียมไว้ให้แทนผมทุกประการอย่างครบครัน อีกทั้งยังปกป้องผมในทุก ๆ ด้านอีก ผมจำได้ว่าตอนปีหนึ่งมีทายาทเศรษฐีหัวเราะเยาะว่าผมเป็นคนพิการเขาทราบเรื่องนี้เข้า จากนั้นเขาใช้เวลาเพียงสองเดือนในการทำให้ฝ่ายนั้นกลายเป็นคนอนาถาไปทันที ความจริงแล้วจนถึงตอนนี้อุบัติเหตุรถยนต์นั้นก็ผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้ว คุณพ่อก็ไม่อยู่บนโลกนี้ตั้งนานแล้วเหมือนกัน ส่วนผมก็สูญเสียโอกาสที่จะจัดการคุณนายเฉียวไปแล้วเช่นกัน เขาไม่ต้องมาสนใจผมก็ย่อมได้ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่กลับดูแลผมอย่างดี ทำตามความต้องการของผมทุกประการเช่นที่เคยทำมาโดยตลอด รวมถึงด้านความรักด้วย……”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เฉียวเฟิงก็หยุดพูด
ไป๋มู่ชิงสบตาเขา เธอไม่คิดเลยว่าเฉียวซือเหิงจะเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้
เธอรอคอยให้เขาพูดต่อไป และเฉียวเฟิงก็จัดการกับอารมณ์ในตอนนี้ของตนแล้วกล่าวขึ้นว่า : “มู่ชิง……การที่ผมเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังก็แค่หวังว่าคุณกับหนานกงเฉินจะสามารถให้อภัยเขาได้ เขาไม่ใช่คนเลวโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยสิ่งที่เขากระทำทั้งหมดก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเองแต่เพื่อชดเชยน้องชายพิการอย่างผมต่างหาก เขาก็แค่อยากนำสิ่งที่ผมต้องการมอบให้ผมทั้งหมดก็เท่านั้น”
“บนโลกนี้ไม่มีคนดีและคนเลวโดยสิ้นเชิงหรอก” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “คุณไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่โทษเขาหรอก”
“ขอบใจนะ” เฉียวเฟิงกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ความจริงแล้วแม้ครั้งนี้จะไม่มีคุณมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน เขาก็จะช่วยเหลือคุณชายเฉินอยู่ดี แม้เขาจะไม่เอ่ยปากยอมรับแต่ว่าผมมองออก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ใช้เลือดของหว่านชิงมาสกัดสเต็มเซลล์ล่วงหน้าหรอก เขารู้ว่าหลังจากที่หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วจะต้องตามมาที่อังกฤษแน่นอน แต่ว่าเขายังทำแบบนั้นอยู่ดีและบอกผมว่าให้ไขว่คว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ดี ๆ”
เฉียวเฟิงเงยหน้ามองเธอ พร้อมรอยยิ้มอันขมขื่นแล้วกล่าวว่า : “แต่ว่าก่อนที่จะออกนอกประเทศมาผมได้บอกเขาไว้ชัดเจนแล้วว่าผมได้ปล่อยวางแล้ว”
ไป๋มู่ชิงตกตะลึงไป เธอเงยเบิกตาจ้องหน้าเขา : “คุณว่าอะไรนะ ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...