เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 252

หลังจากที่เดินลงรถมา ไป๋มู่ชิงก็กลับเข้าบ้านพร้อมพาหว่านชิงออกมาจากห้อง

“คุณพ่อคะ คุณพ่อคุยกับคุณแม่เสร็จแล้วเหรอคะ ?” เสียวหว่านชิงมองหน้าหนานกงเฉินพร้อมสอบถามขึ้นมา

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาจากบนพื้น : “คุยเสร็จแล้วครับ ตอนนี้คุณพ่อจะพาหว่านชิงออกไปทานข้าวเย็นนะ ได้ไหมครับ ?”

“ได้ค่ะ แล้วพ่อเฉียวกับคุณแม่ล่ะคะ ?” หว่านชิงหันไปถามไป๋มู่ชิง

หนานกงเฉินมองไปยังไป๋มู่ชิง เธอก็มองมาทางเขาพอดี เธอฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวว่า : “ไม่ไปหรอกค่ะ คุณแม่จะอยู่ทำกับข้าวเย็นให้พ่อเฉียวที่บ้าน หว่านชิงไปทานข้าวเย็นกับคุณพ่อดีไหมคะ ?”

“ทำไมคุณพ่อเฉียวไม่ไปกับพวกเราล่ะคะ ?”

“เพราะคุณพ่อเฉียวเหนื่อยแล้วยังไงล่ะคะ”

หว่านชิงพยักหน้า : “ก็ได้ค่ะ หนูกับคุณพ่อจะไปทานของอร่อย จากนั้นก็จะห่อกลับมาให้คุณพ่อเฉียวกับคุณแม่นะคะ”

“ค่ะ ลูกรักของแม่เป็นเด็กดีจริง ๆ” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปหาหนานกงเฉิน จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มบาง ๆ ให้เขา : “ดูแลหว่านชิงให้ดี ๆ นะอย่าให้ลูกวิ่งหนีหายไปล่ะ”

“คุณแม่ขาหนูจะไม่วิ่งซี้ซั้วเหมือนครั้งก่อนแล้วละค่ะ” เสียวหว่านชิงชิงกล่าวขึ้นก่อน เรื่องคราวก่อนเธอยังหวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้อยู่ จะกล้าวิ่งไปซี้ซั้วได้อย่างไร

“อืม คุณพ่ออยู่ด้วยทั้งคน หว่านชิงไม่มีทางหลงทางไปอีกแล้ว” หนานกงเฉินพยักหน้า พร้อมใช้มือลูบศีรษะของเธอ

สิ้นเสียงเขาก็หันหน้าไปหาไป๋มู่ชิงอีกครา มองเธอพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนนุ่ม : “คุยกับเฉียวเฟิงให้ดี ๆ พยายามกลับบ้านให้ได้เร็ว ๆ นะ”

คราวนี้เขาเจอตัวเธอแล้ว ตามนิสัยของเขาก็ควรจะบังคับขู่เข็นพาไป๋มู่ชิงกลับประเทศไปโดยตรง ทว่าเพื่อเป็นการดูแลความรู้สึกของเธอ เขาทำได้เพียงให้เวลากับเธอในการไปเจรจากับเฉียวเฟิงดี ๆ เมื่อเรื่องของมู่ชิงและหว่านชิงจัดการเสร็จสรรพแล้ว สิ่งที่เขาควรจะทำตอนนี้นั้นคือเร่งกลับประเทศไปจัดการเรื่องของบริษัทโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นบริษัทคงล้มละลายจนหมดสิ้นเป็นแน่

เรื่องนี้ไป๋มู่ชิงจะไม่ทราบได้อย่างไร เมื่อสักครู่นี้เธอถามเขาแล้ว ทั้งที่เวลานี้บริษัทต้องการเขามากเพียงนี้เหตุใดเขายังตามเธอมาอีก ครั้นคำตอบของเขาคือเธอและหว่านชิงสำคัญกว่าบริษัท แค่คำพูดเดียว ทำให้เธอหาเหตุผลที่จะปฏิเสธเขาไม่ได้อีกต่อไป !

ทั้งชาตินี้ระหว่างเธอกับเขายังจากกันไปได้อยู่หรือ ?

--

ไป๋มู่ชิงกลับมาอยู่ในบ้าน จึงพบเฉียวเฟิงที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าของหน้าต่างบานใหญ่ของชั้นสองอยู่ ซึ่งบริเวณนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของด้านนอกอย่างชัดเจน

เมื่อสักครู่นี้เขาจะต้องเห็นขณะที่เธอและหนานกงเฉินอยู่ด้วยกันสินะ หากเห็นแล้ว เช่นนั้นเขาคงเสียใจแย่เลยใช่หรือไม่ ?

ไป๋มู่ชิงยืนอยู่เบื้องหลังของเขา มีความรู้สึกผิดจนไม่กล้าเดินหน้าไปคุยกับเขาผุดขึ้นมา

บัดนี้ ไม่ว่าเธอจะกล่าวอันใดต่างก็เป็นการทำร้ายเขาทั้งนั้น

เธอควรจะเอ่ยปากบอกเขาให้ปล่อยเธอไปอย่างไรดี ? เอ่ยอย่างไรดี ?

ไป๋มู่ชิงยืนอยู่เบื้องหลังเขาเป็นเวลาเนิ่นนานครั้นก็ไม่พบคำพูดเปิดประเด็นอันเหมาะสมได้เลย สุดท้ายเฉียวเฟิงจึงเป็นฝ่ายหันหน้ามา เขาจ้องมองสบตากับเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นเจือจาง : “ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ ?”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็สาวเท้าเดินมานั่งยองยองลงเบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นสบตาเขา : “ขอโทษ ฉันคิดไม่ถึงว่าคุณชายเฉินจะตามมาด้วย”

เฉียวเฟิงหุบยิ้มลงจากนั้นก็ส่ายหน้า : “ไม่ คุณไม่ใช่ว่าคิดไม่ถึง คุณรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาจะต้องตามมาแน่นอน”

อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่เขาก็ทราบอยู่แล้วว่าไม่นานก็ช้าหนานกงเฉินจะต้องตามมาแน่นอน นิสัยของหนานกงเฉินเป็นอย่างไรเขาทราบดี !

“คุณลุกขึ้นก่อน มานั่งตรงนี้” เฉียวเฟิงจูงมือเธอให้ลุกขึ้น จากนั้นก็ตบเก้าอี้ข้าง ๆ ตนให้เธอเข้ามานั่ง

ไป๋มู่ชิงนั่งลงตามคำพูดของเขา ครั้นไม่ทราบว่าต่อไปควรพูดอะไรดี เมื่อพิจารณามาเป็นเวลาเนิ่นนาน แล้วต้องการจะเอ่ยปากพูดขึ้นนั้น เฉียวเฟิงกลับชิงเอ่ยขึ้นในเวลานี้เสียก่อน : “มู่ชิง คุณน่าจะไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าทำไมเฉียวซือเหิงถึงได้ส่งคุณมาหาผมให้ได้ใช่ไหม ?”

“ฉันทราบค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “เขารู้ว่าคุณชอบฉัน เพราะงั้นเลยสนองความฝันนี้ให้คุณ ไม่ใช่อย่างนี้เหรอคะ ?”

“ถูกต้อง” เฉียวเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเบา ๆ แล้วกล่าวว่า : “แม้ว่าผมกับเฉียวซือเหิงจะเป็นพี่น้องต่างแม่กัน แต่เขาโชคดีกว่าผม เพราะเป็นลูกที่คุณนายเฉียวคลอดออกมา แต่ผมเป็นลูกของเมียน้อยข้างนอกของคุณพ่อ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณนายเฉียวไม่ดีต่อกันมาโดยตลอด คุณนายเฉียวต้องการปกป้องตำแหน่งที่บ้านตระกูลเฉียวของตนเอง จึงตัดสินใจทำร้ายผมและคุณแม่จนสิ้นซาก แผนการอุบัติเหตุรถยนต์ที่เขาคิดเองนั้นไม่เพียงแต่พรากชีวิตของคุณแม่ผมไป ทั้งยังได้พรากสองขาของผมไปด้วย ตามหลักการแล้วคุณนายเฉียวจะต้องได้รับโทษประหารชีวิต ผมส่งเธอเข้าคุกได้ในทันที ให้เธออยู่ในคุกไปตลอดชีวิตตนแก่จนตาย แต่ว่าเฉียวซือเหิงเขาคุกเข่าขอร้องผม ขอร้องให้ผมปล่อยแม่เขาไปและให้คำสัญญาว่าจะดูแลผมไปตลอดชีวิต คุณพ่อก็เอาความรับผิดชอบทุกอย่างไปไว้บนเขาทั้งหมดเช่นเดียวกัน พร้อมขอร้องผมว่าอย่านำความอัปยศมาสู่ตระกูลเฉียว อย่าให้เฉียวซือเหิงไร้หน้าตาในสังคมตลอดไป ความจริงผมเข้าใจดีว่าคุณแม่ผมเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก เธอทำร้ายครอบครัวของผู้อื่นแถมยังลองแย่งชิงตำแหน่งคุณนายใหญ่ของตระกูลเฉียวไปจากคุณนายเฉียวมาอีก แต่ว่าแม้เธอจะไม่ดียังไงก็เป็นแม่ของผมอยู่ดี เป็นคนที่ให้กำเนิดชีวิตผม การที่ผมเห็นเธอถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตต่อหน้าต่อตา ผมจะไม่โกรธแค้นได้ยังไง ? ทางหนึ่งคือแม่ของตัวเอง อีกทางคือพ่อและพี่ชาย ผมทุกข์ทรมานและลังเลมาก แต่สุดท้ายยังคงรู้สึกซึ้งใจใจความอ้อนวอนของเฉียวซือเหิงอยู่ดี จึงล้มเลิกการเอาผิดทางกฎหมายในการสอบสวนคุณผู้หญิงเฉียวไป”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ นัยน์ตาของเฉียวเฟิงก็ยังคงมีความโทษตัวเองและความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ลึก ๆ เขาเงียบไปชั่วครู่จากนั้นค่อยกล่าวต่อว่า : “หลังจากนั้นสองปีคุณพ่อก็เสียชีวิตลง ผมที่สองขาพิการจึงสูญเสียความมั่นคงในชีวิตไปทั้งหมดชั่วพริบตา และเฉียวซือเหิงยังคงยึดมั่นคำสัญญาที่มีไว้กับผมด้วยการดูแลผมอย่างดี ปกติแล้วถ้าผมร้องขออะไรเขาก็จะสนองให้ทันที และที่ผมไม่ร้องขอ……เขาก็จะจัดเตรียมไว้ให้แทนผมทุกประการอย่างครบครัน อีกทั้งยังปกป้องผมในทุก ๆ ด้านอีก ผมจำได้ว่าตอนปีหนึ่งมีทายาทเศรษฐีหัวเราะเยาะว่าผมเป็นคนพิการเขาทราบเรื่องนี้เข้า จากนั้นเขาใช้เวลาเพียงสองเดือนในการทำให้ฝ่ายนั้นกลายเป็นคนอนาถาไปทันที ความจริงแล้วจนถึงตอนนี้อุบัติเหตุรถยนต์นั้นก็ผ่านไปเจ็ดแปดปีแล้ว คุณพ่อก็ไม่อยู่บนโลกนี้ตั้งนานแล้วเหมือนกัน ส่วนผมก็สูญเสียโอกาสที่จะจัดการคุณนายเฉียวไปแล้วเช่นกัน เขาไม่ต้องมาสนใจผมก็ย่อมได้ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่กลับดูแลผมอย่างดี ทำตามความต้องการของผมทุกประการเช่นที่เคยทำมาโดยตลอด รวมถึงด้านความรักด้วย……”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เฉียวเฟิงก็หยุดพูด

ไป๋มู่ชิงสบตาเขา เธอไม่คิดเลยว่าเฉียวซือเหิงจะเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้

เธอรอคอยให้เขาพูดต่อไป และเฉียวเฟิงก็จัดการกับอารมณ์ในตอนนี้ของตนแล้วกล่าวขึ้นว่า : “มู่ชิง……การที่ผมเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังก็แค่หวังว่าคุณกับหนานกงเฉินจะสามารถให้อภัยเขาได้ เขาไม่ใช่คนเลวโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยสิ่งที่เขากระทำทั้งหมดก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเขาเองแต่เพื่อชดเชยน้องชายพิการอย่างผมต่างหาก เขาก็แค่อยากนำสิ่งที่ผมต้องการมอบให้ผมทั้งหมดก็เท่านั้น”

“บนโลกนี้ไม่มีคนดีและคนเลวโดยสิ้นเชิงหรอก” ไป๋มู่ชิงยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “คุณไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่โทษเขาหรอก”

“ขอบใจนะ” เฉียวเฟิงกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ

“ความจริงแล้วแม้ครั้งนี้จะไม่มีคุณมาเป็นข้อแลกเปลี่ยน เขาก็จะช่วยเหลือคุณชายเฉินอยู่ดี แม้เขาจะไม่เอ่ยปากยอมรับแต่ว่าผมมองออก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ใช้เลือดของหว่านชิงมาสกัดสเต็มเซลล์ล่วงหน้าหรอก เขารู้ว่าหลังจากที่หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วจะต้องตามมาที่อังกฤษแน่นอน แต่ว่าเขายังทำแบบนั้นอยู่ดีและบอกผมว่าให้ไขว่คว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ให้ดี ๆ”

เฉียวเฟิงเงยหน้ามองเธอ พร้อมรอยยิ้มอันขมขื่นแล้วกล่าวว่า : “แต่ว่าก่อนที่จะออกนอกประเทศมาผมได้บอกเขาไว้ชัดเจนแล้วว่าผมได้ปล่อยวางแล้ว”

ไป๋มู่ชิงตกตะลึงไป เธอเงยเบิกตาจ้องหน้าเขา : “คุณว่าอะไรนะ ?”

“เมื่อก่อนผมบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ? เพราะว่าผมชอบคุณมากจริง ๆ เพราะงั้นผมเลยอยากให้คุณมีความสุข และชัดเจนอยู่แล้วว่าตอนที่คุณอยู่กับผมคุณไม่มีความสุขเลย”

“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ใช่ไป๋มู่ชิงที่ความจำเสื่อมคนนั้นอีกต่อไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกเสียใจ แม้จะรู้สึกผิด ครั้นก็รู้สึกดีใจอยู่ลึก ๆ ในใจอยู่ดี เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวเฟิงจะพูดหลีกทางให้ก่อนเองเช่นนี้ เมื่อสักครู่นี้เธอยังคิดหนักอยู่เลยว่าควรเอ่ยปากขอร้องเขาให้สนองความต้องการของเธอและหนานกงเฉินอย่างไรดี

“ถูกต้อง คุณไม่ใช่ไป๋มู่ชิงที่ความจำเสื่อมคนนั้นอีกต่อไปแล้ว และผมไม่สามารถเห็นรอยยิ้มอันมีความสุขบนใบหน้าของคุณได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน” เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าเบา ๆ ด้วยความรู้สึกอันขมขื่น : “แม้แต่ตอนไปเที่ยวด้วยกันคุณแทบจะทำตัวให้มีความสุขไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

“ยังจำช่วงเวลาตอนที่พวกเราไปไอล์ออฟแมนครั้งที่แล้วได้ไหม ? และที่เอดินบะระ และบนหอคอยชมวิวลอนดอนด้วย……ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ไม่ว่าจะสนุกหรือไม่ แต่ในสถานที่เหล่านั้นเคยทิ้งเสียงหัวเราะของคุณเอาไว้อยู่ แต่ครั้งนี้เราไปเที่ยวกันอีกครั้ง คุณใช้ความโศกเศร้าปกคลุมเสียงหัวเราะเมื่อครั้งอดีตไว้ทั้งหมดโดยไม่ต้องสงสัย……” น้ำเสียงของเขายังคงข่มขื่นและโศกเศร้าเช่นเคย : “มู่ชิง ความจริงแล้วผมอยากไปในที่ที่เราเคยไป ที่ที่เราเคยมีความสุขกันทั้งหมด เพื่อถือเป็นการบอกลางานแต่งงานที่ทั้งตลกและไม่สมควรมีขึ้นของพวกเราอย่างเป็นทางการ แต่ว่าผมกลับมองข้ามความรู้สึกของคุณไปอย่างไม่น่าให้อภัย ผมให้คุณเผชิญกับการเดินทางอันโศกเศร้าและยากลำบากนี้ ขอโทษด้วยนะ……”

ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลง จากนั้นน้ำตาไหลพราก ผ่านไปชั่วครู่จึงกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น : “อาเฟิง……ทำไมคุณไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ? ขอโทษนะคะ ฉันขอโทษจริง ๆ……”

“ถ้าผมบอกตั้งแต่เนิ่น ๆ คุณจะยังมาต่างประเทศกับผม ท่องเที่ยวทั่วประเทศอังกฤษกับผมอยู่หรือเปล่า ?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เลย ก็จริงของเขา ถ้าหากเขาบอกความคิดของเขาก่อนที่จะมาต่างประเทศ เธอยังจะทิ้งหนานกงเฉินที่สลบไสลอยู่แล้วมาประเทศอังกฤษกับเขาอยู่หรือเปล่า ? คงจะไม่ยอมสินะ ?

“มู่ชิงอย่าร้องไห้เลย” เฉียวเฟิงยื่นมือมาจับใบหน้าเรียวเล็กของเธอจากนั้นก็จ้องมองใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของเธอ : “ในเมื่อผมตกลงให้คุณอยู่กับหนานกงเฉินแล้ว ถ้างั้นก็ได้โปรดรับปากผมมาว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมเห็นคุณร้องไห้ ได้ไหม ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ฉันรับปากค่ะ”

“ถ้างั้นก็ดี” เฉียวเฟิงมองหน้าเธอ จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาเสียงเบาว่า : “ไปเถอะ กลับไปอยู่ข้างกายเขา”

ไป๋มู่ชิงมองใบหน้าอันจริงจังของเขา จึงถามขึ้นด้วยความรู้สึกโศกเศร้าว่า : “แล้วคุณชายใหญ่เฉียวจะทำยังไง ? เขาจะ……เอ่อ……ไม่พอใจหรือเปล่า ?”

“ต่อให้เขาไม่พอใจแล้วจะทำยังไงได้ ? คงไม่มีทางนำชีวิตของหนานกงเฉินกลับคืนไปเหมือนเดิมได้จริง ๆ หรอกใช่ไหม ?”

“……”

เฉียวเฟิงยิ้มขึ้นจาง ๆ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า : “ไม่ต้องห่วง ผมเพิ่งบอกแล้วว่าสิ่งที่เขาทำทุกอย่างก็เพื่อผม ตราบใดที่ผมวางมือแล้ว เขาไม่มีทางไปทำให้พวกคุณลำบากใจอีกแน่นอน”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขา รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลรินลงมา : “เลขาเหยียนพูดถูก คุณเป็นคนดี”

“เหยียนเยว่น่ะเหรอ ?”

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เวลาต่อมาเฉียวเฟิงที่นิ่งเงียบไปก็ฉีกมุมปากขึ้น : “เขาก็เหมือนกัน ช่วยไปบอกขอบคุณคำชมจากเขาแทนผมทีนะ ”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากนัยน์ตาของเขา เธอพยักหน้า จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพร้อมถามว่า : “แล้วคุณล่ะ ? จะทำยังไงต่อไป ? อยากอยู่ที่อังกฤษต่อไปหรือกลับเมืองซี ?”

เฉียวเฟิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “อยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน”

“อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี ๆ นะคะ”

“ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลตัวเองให้ดีแน่นอน”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกล่าวว่า : “เดี๋ยวฉันไปทำมื้อเย็นให้คุณนะคะ”

“มื้อเย็นวันสุดท้ายใช่ไหม ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า : “ใช่แล้วค่ะ ในเมื่อคุณตอบตกลงให้ฉันอยู่กับคุณชายเฉินแล้ว ฉันเลยอยากกลับไปกับเขาเร็ว ๆ เพื่อไปจัดการธุระของบริษัทค่ะ”

“ก็ดีเหมือนกัน” เฉียวเฟิงพยักหน้า

หลังจากที่มื้อเย็นทำเสร็จแล้ว เฉียวเฟิงได้หยิบไวน์หนึ่งขวดออกมาจากตู้เก็บไวน์โดยเฉพาะ หลังจากที่รินให้ทั้งคู่เสร็จแล้วจึงชูแก้วขึ้นมาพร้อมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “มาเถอะ ขอให้พวกเราแฮปปีกับการเลิกรา ดื่มหมดแก้วนี้พวกเราก็ถือว่าเลิกรากันอย่างเป็นทางการแล้ว”

ไป๋มู่ชิงมองใบหน้าของเขาที่ไม่สามารถบดบังความโศกเศร้าเอาไว้ได้ จึงรู้สึกเจ็บแปลบภายในใจขึ้นมา ทั้งยังมีความรู้สึกผิดเล็กน้อยเคล้าอยู่ด้วย เธอชูแก้วขึ้นมาชนกับแก้วของเขา จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกผิด : “แม้การพูดขอโทษขออภัยในตอนนี้จะดูไม่เข้าท่าและไม่มีความหมายก็ตาม แต่ว่าฉันยังคงต้องการบอกคุณอยู่ดีค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้คุณผิดหวัง และก็……ขอบคุณที่หลายปีมานี้คุณดูแลฉันอย่างดีมาไม่ขาดสาย ฉันและหว่านชิงจะรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของคุณไปตลอดชีวิต สุดท้ายคำพูดที่ฉันต้องการจะพูดยังคงไม่มีความหมายเหมือนกัน แต่ฉันอยากพูดมันอยู่ดี นั่นก็คือ……ขอให้คุณเจอผู้หญิงที่ดีกว่าฉันเร็ว ๆ และใช้ชีวิตที่เรียบง่ายมีความสุขนะคะ”

เฉียวเฟิงฉีกยิ้มขึ้นมา : “เอาเหอะ ผมจะรับไว้ทั้งหมด”

“ขอบคุณนะคะ” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าดื่มไวน์หนึ่งอึก ขณะที่วางแก้วกลับบนโต๊ะนั้นจึงกล่าวกับเขาว่า : “จริงสิ รบกวนคุณไปอธิบายให้ทางพวกโรเซ่ฟังทีนะ ฉันคงไม่ได้ไปลาพวกเขาแล้ว”

“ก็ดีเหมือนกัน เพื่อเป็นการป้องกันตอนพวกเขาถามคุณขึ้นมาคุณไม่รู้จะตอบยังไงดี”

“ค่ะ ช่วยขอบคุณที่พวกเขาดูแลพวกเรามาตั้งหลายปี โดยเฉพาะที่ดูแลหว่านชิงด้วยนะคะ”

“เดี๋ยวผมไปบอก คุณไม่ต้องห่วง” เฉียวเฟิงพยักหน้าพร้อมกล่าว

หลังจากรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว พร้อมจัดการห้องครัวและห้องนอนเสร็จแล้วนั้น ไป๋มู่ชิงจึงจัดเก็บกระเป๋าเดินทางของตนและหว่านชิง ขณะที่เธอลากกระเป๋าเดินทางลงมาชั้นล่างนั้น เฉียวเฟิงก็กำลังนั่งข้าง ๆ ประตูรอคอยเธออยู่พอดี

“แม้โรงแรมจะอยู่ใกล้มาก แต่ว่าต้องระวังตัวอยู่ดีนะ” เฉียวเฟิงกล่าวกำชับ

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า พร้อมสบตาเขา : “อาเฟิง ฉันจะไปจริง ๆ แล้วนะคะ”

“ลาก่อน”

“ลาก่อนค่ะ” ขณะที่ไป๋มู่ชิงเดินผ่านตัวเขา อยู่ ๆ เฉียวเฟิงก็ยื่นมือขึ้นมาจับมือน้อย ๆ ของเธอพร้อมเรียก : “มู่ชิง……”

ฝ่ามือของเขาร้อนและอบอุ่น แผดเผาอยู่บนหลังมือของไป๋มู่ชิง ทำให้หัวใจของเธอสั่นคลอน จึงหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยสันชาตญาณ : “มีอะไรคะ ?”

เฉียวเฟิงมองหน้าเธอ จากนั้นก็ขยับปากครั้นสุดท้ายก็กล่าวอันใดไม่ออก เวลาต่อมาจึงปล่อยมือเธอพร้อมทั้งส่ายหน้าและกล่าวว่า : “ไม่มีอะไรแล้ว”

ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ว่าเขามีอะไรจะพูด ทว่าเธอไม่ได้ซักไซ้ถามเขา เธอทำใจแข็งสาวเท้าเดินไปยังประตูใหญ่ในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด